กลับมาพบกันอีกครั้งนึงแล้วนะครับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกคน ก่อนอื่นเลยก็ต้องขอกล่าวคำว่าสวัสดีปีใหม่นะครับ 2014 หรือ 2557 แบบไทยๆ ผ่านไป 2015 และ 2558 ก็มาแทนที่ เรื่องอะไรที่ไม่ดีในปีที่ผ่านมาก็ทิ้งไว้กับปีที่แล้ว แล้วมาเริ่มต้นใหม่ในปีใหม่นี้กันนะครับ ผมก็อยากจะถือโอกาสนี้ส่งความปรารถนาดีไปยังทุกๆ คน ขอให้พบแต่ความสุข คิดสิ่งใดขอให้สมปรารถนา ใครที่กำลังเตรียมตัวเรียนต่อก็ขอให้ได้มหาวิทยาลัยตามที่ได้หวังไว้นะครับ
สำหรับวันนี้ผมก็จะพาเพื่อนๆ เข้าลอนดอนอีกครั้งตามที่ได้สัญญาเอาไว้ว่าจะพามาเค้าท์ดาวน์แบบชิดติดริม แม่น้ำเทมส์ในงาน London NYE 2014 Fireworks ที่จัดโดย Mayor of London ซึ่งปีนี้พิเศษกว่าปีไหนๆ เพราะเป็นปีแรกที่มีการขายบัตรเข้าร่วมงาน คุณพระ!! อะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปหมดเนอะประเทศนี้ งานนี้ทางลอนดอนเค้าแบ่งโซนบริเวณ London eye ออกเป็น 3 โซน คือ North 1 และ North 2 ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม London Eye (ฝั่งเดียวกับ Big Ben) กับฝั่ง South ซึ่งโซนที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือโซน North 1 ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับ London Eye พอดี เรียกได้ว่าตั๋วหมดก่อนวันงานหลายเดือน เดือดร้อนผมที่หาตั๋วไม่ทันต้องไปหาซื้อตั๋วต่อจากคนอื่นอีกที (เพื่อให้ได้ประสบการณ์ที่ดีที่สุด ต้องยอมลงทุนหน่อย เห้อ) สรุปผมก็ได้ตั๋วโซน North 1 มาจากคุณ Kevin (ผมไม่รู้จักเค้าหรอก) ผ่านทาง Website stubhub.com ในราคาประมาณ 30 ปอนด์จากราคาหน้าตั๋ว 10 ปอนด์ ทีแรกก็กังวลอยู่เหมือนกันว่าจะได้ตั๋วมั๊ย เพราะก็มีหลายคนที่เคยมีปัญหากับการซื้อตั๋วในลักษณะนี้ แต่สุดท้ายตั๋วก็ถูกส่งมาแบบไร้ปัญหาใดๆ
การเดินทางเข้าลอนดอนเที่ยวนี้ผมใช้รถไฟครับ โดยจองตั๋วออนไลน์ผ่าน www.nationalrail.co.uk ในราคา 17 ปอนด์ (จองล่วงหน้า ประมาณ 1 เดือนและรวมส่วนลดจาก 16-25 railcard แล้ว) ออกเดินทางจากสถานี Picadilly ในเมือง Manchester ถึง London Euston ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงครับ ส่วนการเดินทางเข้าไปในบริเวณงานนั้นทางลอนดอนได้ปิดสถานีรถไฟใต้ดินที่อยู่ ติดกับสถานทีาจัดงานอย่างสถานี Embankment กับสถานี Westminster ทำให้ต้องเดินเท้าเข้าไปอย่างเดียว ที่หน้างานก็จะมีเจ้าหน้าที่ยืนตรวจบัตร รวมถึงตรวจอาวุธ ก่อนที่จะเข้าไปในงานใครที่หวังจะเข้าฟรีหรือเข้าโซนอื่นที่ไม่ใช่โซนตัวเอง หมดสิทธิครับ
ผมเข้าไปถึงริมแม่น้ำเทมส์ฝั่งตรงข้าม London Eye ตอนประมาณทุ่มครึ่ง ปรากฏว่าที่แถวหน้าสุดที่ติดกับริมแม่น้ำถูกจับจองเต็มไปหมดแล้วโดยเฉพาะ บริเวณตรงข้ามกับตัว London Eye พอดีนั้นคนแน่นมาก (ข่าวว่าตั๋วทั้ง 100,000 ใบขายหมดเกลี้ยง) ผมเลยต้องขยับออกมาเยี้องๆ หน่อยแต่ก็อยู่แถวเกือบหน้าสุดเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่ถูกหัวคนข้างหน้าบัง เราคนเอเชียเตี้ยกว่าฝรั่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้วอยู่หน้าๆ ไว้ปลอดภัยกว่าครับ ฮาฮา หลังจากได้ที่เป็นหลักเป็นแหล่งกิจกรรมหลังจากนี้ก็คือรอ รอ และ รอครับ งาน countdown ที่นี่ไม่เหมือนกับที่ Central world บ้านเราที่จะมีคอนเสิร์ตไปเรื่อยๆ จนถึงช่วงใกล้จะเที่ยงคืน ที่นี่เค้าจะใช้เปิดเพลงไปเรื่อยๆ สลับกับมีดีจีมาพูดคุยเป็นครั้งคราว เอนเตอร์เทนเม้นสองอย่างที่มีก็คือฟังเพลงไปเรื่อยๆ (สามารถขยับตามจังหวะดนตรีได้ในพื้นที่เล็กๆ ของคุณ) กับดูเจ้า London Eye โชว์ความสามารถในการเปลี่ยนสีระดับกิ้งก่าชิดซ้าย เรียกได้ว่าบรรยากาศชวนง่วงไม่น้อย แต่ยังไงก็หลับไม่ลงเพราะที่จะยืนยังแทบจะไม่มี
สลับมาพูดเรื่องดินฟ้าอากาศกันหน่อย ก็ถือว่าผมโชคดีมากที่วันนั้นฝนไม่ตก เพราะปกติอังกฤษเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องฝนตกมากตกๆหยุดๆ ได้ทั้งวัน ส่วนอุณหภูมิวันนั้นน่าจะราวๆ ซัก 4-5 องศาได้แต่ไม่รู้สึกว่าหนาวเลยเพราะยืนชิดกันจนอุ่นไปเอง เนื่องจากว่างจัดไม่มีอะไรทำผมก็เลยหันไปสนใจเรื่องของชาวบ้านแทนครับ แฮ่ จากที่สังเกตุคนที่มางานนี้หลากหลายมากครับ ไม่ว่าจะเป็นคนท้องถิ่นเอง ถัดจากผมไปทางขวามากันเป็นกลุ่มหน้าตาเป็นยุโรปแต่คุยกันด้วยภาษาที่ผมไม่ คุ้นหูเดาว่าน่าจะเป็นแถบเยอรมัน โปแลนด์อะไรประมาณนั้น ส่วนข้างหน้าผมมาเป็นกลุ่มเหมือนกันดูจากหน้าตาและภาษาที่ใช้เดาไม่ยากเลยคน จีนแน่นอน ส่วนทางด้านซ้ายมากันเป็นคู่ดูจากลักษณะแล้วเป็นแขกผมก็ขอเหมาเอาว่ามาจาก อินเดียละกัน สรุปว่ามุมที่ผมยืนนี่สหประชาชาติมากเลย มีอังกฤษ ยุโรป จีน และผมเป็นตัวแทน AEC ฮาาาาา
หลังจากเวลาผ่านไปทีละชั่วโมงๆ บรรยากาศที่ชวนง่วงก่อนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นคึกคักขึ้นเรื่อยๆ ตามเวลาที่กระชั้นเข้ามาประกอบกับดีเจที่พยายามสร้างบรรยากาศชวนผู้ชมเล่น กับกล้องจาก BBC ที่ถ่ายทอดสดไปทั่ว UK รวมถึงที่อื่นๆ อีกทั่วโลก จาก 3 ชั่วโมงเป็น 2 ชั่วโมงจนกระทั่งเหลือครึ่งชั่วโมงก่อนที่ปี 2015 จะมาถึง ตอนนี้บรรยากาศตื่นเต้นมากๆ แล้ว ดีเจเริ่มเปิดเพลงน้อยลง คุยกับผู้ชมมากขึ้น พ่อแม่ก็เริ่มปลุกลูกๆ ที่หลับอยู่ให้ตื่นขึ้นมาเตรียมพร้อม เจ้า London Eye ก็โชว์ความสามารถที่ Advance มากขึ้นจากเปลี่ยนสีทีละสีตอนนี้แทบจะเป็นสีรุ้งแล้ว ทุกคนพร้อมต้อนรับปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง
สามนาทีสุดท้ายของปี 2014 ตึกข้างๆ London Eye ถูกเปลี่ยนเป็นนาฬิกาเรือนยักษ์พร้อมกับตัวเลข 180 อันหมายถึง 180 วินาทีก่อนที่ปี 2015 จะมาถึง แล้วก็ลดลงเรื่อยๆ 120… 60… ดีเจปลุกเร้าผู้ชม Are you ready London? 30… 10… ผู้คนนับถอยหลังพร้อมกัน 5… 4… 3… 2… 1… จากนั้นก็เป็นเสียงระฆังแรกของปี 2015 จาก Big Ben ที่มาพร้อมกับพลุจากตัว London Eye และบริเวณโดยรอบ คำว่า Happy New Year และเสียงโห่ร้องดังจากทั่วสารทิศ บรรยากาศตอนนี้ Peak มากๆ หลังจากนั้นก็เป็นการแสดงพลุที่ยาวนานต่อเนื่องกว่า 15 นาทีที่ยิ่งใหญ่อลังการการมาก สำหรับผมแล้ว กว่า 5 ชั่วโมงที่ยืนรอมาคุ้มใน 15 นาทีนี้แล้วครับ หลังจากนั้นผู้ชมที่อยู่ตรงนั้นก็ร้องเพลง Auld Lang Syne ร่วมกัน (ทำนองเดียวกับ สามัคคีชุมนุม) บรรยากาศน่าขนลุกมาก หลังจากนี้ก็จะมี live concert จากใครซักคนผมไม่แน่ใจเหมือนกันเพราะผมออกมาจากบริเวณนั้นเพื่อขึ้น Tube ที่เปิดให้บริการฟรีในวันปีใหม่จนถึงช่วงตี 4 เพื่อย้ายคนออกจากใจกลางลอนดอน โดยตลอดรายทางก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งตำรวจม้า ตำรวจคนมาดูแลความเรียบร้อย ก็เรียกได้ว่าปลอดภัยในระดับนึงเลยทีเดียว พอมาถึงสถานีถึงแม้คนจะเยอะ แต่ด้วยรถไฟที่ให้บริการถี่มากทำให้การเคลื่อนคนออกไปทำได้เร็วมากต้องยก ความดีความชอบนี้ให้กับระบบขนส่งสาธารณะชั้นยอด อยากให้บ้านเรามีแบบนี้มั่งจัง
โดย สรุปแล้ว London ก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่น่ามา countdown มากๆ นับจากนี้เพราะการที่มีการจำหน่ายตั๋วทำให้การควบคุมคน การดูแลความปลอดภัยทำได้ดีกว่าปีก่อนๆ มาก ปีก่อนๆ หน้านี้มีการประมาณกันว่ามีคนเข้ามา countdown ในบริเวณนี้ถึง 500,000 คนซึ่งมันเบียดเสียดและง่ายต่อการเกิดปัญหามาก เรื่องความยิ่งใหญ่อลังการผมยกให้ที่นี่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่ผมเคยสัมผัสมา แล้ว ผมเห็นความตั้งใจของทางผู้บริหารที่พยายามผลักดัน London Eye ในฐานะของตัวแทน London Countdown เพื่อแข่งกับ Times Square ของทางฝั่งอเมริกา และไม่ว่าอย่างไรก็ตามนี่ก็จะเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่ผมไม่มีวันลืมแน่นอน ครับ
สุดท้ายนี้ถ้าใครสนใจอยากชมวีดีโอบันทึกเหตุการณ์ countdown ก็สามารถเข้าไปชมได้ที่ www.london.gov.uk ส่วนถ้าใครอยากชมวีดีโอจากมุมมองของผมก็เข้าไปดูได้ที่ facebook ผม Sumit Niwatcharoenchaikul ครับ สำหรับวันนี้ลาไปก่อน คราวหน้ากลับมาต่อเรื่องทริปลอนดอนที่คราวที่แล้วค้างไว้ อย่าลืมติดตามกันนะครับ บ๊ายบาย