แชร์ประสบการณ์ Work placement ที่อังกฤษ โดยนักเรียน De Montfort University
“แล้วก็กลายเป็นบริษัทเดียวที่ติดต่อมา แล้วเป็นบริษัทที่ดีมากๆๆๆๆๆๆ ถ้าให้เทียบกับบริษัทที่โดน reject ทั้งหมดมาก่อนหน้านี้ คือสู้ไม่ได้เลย คิดไว้ว่าดีแล้วที่เค้าปฏิเสธเรา (หัวเราะ) เพราะบริษัทที่ได้มันเป็นบริษัทที่ดีมาก job function ก็ใช่ ชื่อเสียงก็ดี มันแบบสุดยอด!” เพียว MSc Intelligent System – De Montfort University
เพียว เด็กนักเรียนทุนจากโครงการ King Power รุ่นแรก กับประสบการณ์การทำ work placement บริษัทรถยนต์ชั้นนำระดับโลกที่อังกฤษ ติดตามประสบการณ์การทำงานและการเตรียมตัวได้ที่นี่
อ่านบทสัมภาษณ์รีวิวคอร์ส MSc Intelligent System ที่ De Montfort University ได้ที่นี่ คลิก
Work placement
สวัสดีครับ พี่ชื่อเพียว เป็นนักเรียนโปรแกรม MSc Intelligent Systems จาก De Montfort University ตอนนี้พี่กำลังทำ work placement กับบริษัทรถยนต์ในอังกฤษอยู่นะครับ โดยมีสัญญา 1 ปี การทำ Placement ที่นี่เหมือนกับเรามาทำงานจริงๆเลย โดยลักษณะงานจะเป็นการนำ Intelligent Computational Methods ไปประยุกต์กับรถยนต์ครับ วัฒนธรรมของการทำงานที่นี่มันดีมากเลยนะ เค้ายอมรับความคิดเห็นใหม่ๆ และทุกๆคนมีความเป็นมืออาชีพมากๆ สนุกครับ ท้าทาย แล้วงานมันก็ flexible ด้วย หลายครั้งเราก็มีโอกาสได้เป็น meeting lead ให้กับทีมด้วย ซึ่งเราก็ต้อง handle meeting ให้ได้ จากภาษาอังกฤษไม่ค่อยดี ตอนนี้ก็ดีขึ้นเยอะเลยครับ (หัวเราะ)
Preparation
ตอนแรกที่เข้าไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเค้าก็จะมีทีมๆ นึงที่เรียกว่า ทีม placement ซึ่งมีทุกคณะ อย่างคณะพี่ชื่อ CEM Placement ในช่วงเปิดเรียนแรกๆ เค้าจะมาแนะนำว่ามันมีโปรแกรม placement ซึ่งเป็น optional ให้กับนักเรียนที่นี่ ทั้งนักเรียน first degree และ Master program เราจะทำหรือไม่ทำก็ได้ แต่ถ้าทำเราจะได้ประสบการณ์
ด้วยความที่ De Montfort University เค้ามีทีมนี้ที่สตรองและมีประสบการณ์ในเรื่องนี้มาก เค้าจะมี workshop ที่ให้เราได้เข้าไปเตรียมตัวและพัฒนาตัวเองสำหรับ Work Placement Process เริ่มตั้งแต่ เขียน CV ยังไง, หางาน Placement ยังไง, เตรียมตัวสอบ Assessment, จะเข้าไปสัมภาษณ์ยังไง?, ไปจนถึงถ้าได้งานแล้วจะต้องเตรียมตัวอย่างไร คือเค้าจะมีเป็น section ให้เราเลือกเข้าไปทำ workshop ได้ หรือจะนัดไปคุยตัวต่อตัวก็ได้
วิธีการหางาน
ก็หางานปกติใน internet ครับ เหมือนเวลาหางาน สมัครงาน เราก็พิมพ์ placement ใน Google แล้วก็มีเว็บไซต์ให้เราไปติดตามข่าวสาร พอมีงานที่เกี่ยวกับ AI พี่ก็ค่อยสมัคร และก็สมัครไปเยอะมาก แล้วก็โดนปฏิเสธมาเยอะมาก คือเยอะมากๆ จนจำไม่ได้ ก็ท้อเหมือนกันนะ ก็มีคุยกับแม่ บอกแม่ว่าหาไม่ได้เลย เดี๋ยวก็คงกลับแล้วแหล่ะ แต่มีเพื่อนที่สนิทกันมันบอกว่า “Don’t give up, keep applying. You have nothing to lose”
มีบริษัทหนึ่งโทรมาเรียกสัมภาษณ์
ตอนที่สมัครมาที่บริษัทนี้คือสมัครตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2017 แล้ว เขียน cover letter ในใบสมัครว่าจะพร้อมทำงานตอนช่วงใกล้ๆ จะจบเทอมที่ 2 ประมาณช่วงเดือนเมษายน พอเขียนไปแบบนั้นตอนเราใกล้ๆ จะจบแล้วเค้าก็ติดต่อมา
แล้วก็กลายเป็นบริษัทเดียวที่ติดต่อมา แล้วเป็นบริษัทที่ดีมากๆๆๆๆๆๆ ถ้าให้เทียบกับบริษัทที่โดน reject ทั้งหมดมาก่อนหน้านี้คือสู้ไม่ได้เลย คิดไว้ว่าดีแล้วที่เค้าปฏิเสธเรา (หัวเราะ) มันเป็นบริษัทที่ดีมาก job function ก็ใช่ ชื่อเสียงก็ดี มันแบบสุดยอด!
แล้วตอนที่เค้าติดต่อมาเรียกให้ไปสัมภาษณ์ เรามีเวลาเตรียมตัวล่วงหน้าแค่ 3 อาทิตย์ แล้วช่วงนั้นมันใกล้ๆ ปลายเทอม ซึ่ง Course work เยอะและก็หนักมาก แถมต้องเตรียมตัวไปงานแต่งเพื่อนด้วย ซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นพิธีกร แล้วก็มีนัดสัมภาษณ์แทรกเข้ามาอีก คือตอนที่บริษัทเรียกให้ไปสัมภาษณ์ เราก็แจ้งทางทีม Placement ของคณะว่า ผมได้ที่นี่นะ แล้วก็มานั่งลิสต์กันว่าทักษะอะไรบ้างที่บริษัทนี้จะต้องการ
เตรียมตัวสัมภาษณ์
เตรียมตัวกับทางมหาวิทยาลัย
ใช่ครับ เราก็ลิสต์ skills มาว่าใน job description เค้าต้องการคนที่มีทักษะอะไรบ้าง แล้วก็ลิสต์ว่าเรามีอะไรบ้าง พี่ก็ทำ portfolio เตรียมไปเลยว่า skill อะไรบ้างที่ทางบริษัทต้องการ ก็คือทำไปโชว์เลยว่าเราทำอะไรได้บ้าง นอกจากนี้ก็มีเตรียมตัวเรื่องการสัมภาษณ์ ตอนแรกก็ไม่รู้หรอกว่าเค้าจะสัมภาษณ์ยังไง ก็มีไปคุยกับทางทีม Placement และด้วยการที่ทางทีมเค้ามีข้อมูลเก่าของนักเรียนที่เคยมาสัมภาษณ์งานกับบริษัทนี้ เค้าก็จะมีแนวคำถามให้เรา แล้วเหมือนเก็งข้อสอบถูกอ่ะ (ยิ้ม) เพราะเราเตรียมคำตอบมาไว้แล้ว คือหลังจากจบนี่คิดว่าจะต้องไปเขียนอีเมลขอบคุณทีม Placement เลย
เตรียมตัวกับเพื่อนๆ
ด้วยการที่เราจะไปทำงานด้าน Artificial Intelligence (AI) แน่นอนว่า เค้าต้องถามคำถามทางด้าน Technical questions พี่ก็เลยไปปรึกษาเพื่อนที่อยู่อเมริกาที่เค้าเป็นเหมือน AI engineer ให้เค้าซ้อมสัมภาษณ์พวก Technical questions ให้ แล้วมันก็เอาเพื่อนที่ทำงานมันมาซ้อมสัมภาษณ์ให้พี่ด้วย (หัวเราะ) ก็ซ้อมสัมภาษณ์กันทุกอาทิตย์ทั้งกับเพื่อนแล้วก็ทีม Placement ด้วย
จนวันนึงเพื่อนพี่พูดว่า “You ต้องแข่งกับคนทั้ง UK นะ ถ้าจะเตรียมตัวแค่นี้ มันจะได้เหรอ??”
เพื่อนพี่ก็แนะนำว่าต้องเตรียม Technical skills ยังไง พี่ก็ไปซ้อมมาใหม่ ซ้อมไปทุกอาทิตย์ๆๆ แล้วด้วยความที่พี่ก็ไม่ค่อยมั่นใจเรื่องภาษาอังกฤษ ก็ส่งอีเมลไปบอกทางทีม Placement ของที่มหาวิทยาลัยอีกว่าไม่มั่นใจภาษาอังกฤษเลย ทางทีมเค้าก็นัดกับครูที่สอนภาษาอังกฤษของที่ DMU ให้ ให้เราไปนั่งคุยกับเค้าชั่วโมงนึง แล้วอาจารย์เค้าก็บอกว่าภาษาอังกฤษเราโอเคอยู่นะ แต่ก็มีแก้พวกการออกเสียงบางคำที่เรายังออกไม่ชัด
วันสัมภาษณ์
พอไปถึงวันที่สัมภาษณ์จริงใช้เวลา 1 ชั่วโมงในการสัมภาษณ์ ครึ่งชั่วโมงแรกคือ Technical skill อย่างเดียว ก็สัมภาษณ์ลึกมากจนพี่ตอบไม่ได้ พี่ก็ตอบเค้าไปว่า “ผมไม่แน่ใจว่าผมต้องตอบว่ายังไง แต่ถ้าให้ผมตอบ ผมตอบแบบนี้ เพราะ….” คือจริงๆ เค้าแค่อยากทดสอบไหวพริบเรา
อีกครึ่งชั่วโมงหลังก็ถามเกี่ยวกับเรื่อง soft skill อย่างเดียว ซึ่งคำถามครึ่งหลังนี้ก็เก็งมาจากที่ DMU แล้ว ส่วนครึ่งแรกก็เก็งมากับเพื่อน มันก็เลยกลายเป็นว่าคำถามที่เค้าถามเกือบ 90% พี่เตรียมมาหมดแล้ว ก็ภายใน 3 อาทิตย์อ่ะ ทั้งการทำ Portfolio ให้ตรงกับ skills ที่เค้าต้องการ การซ้อมสัมภาษณ์ การเตรียมตัวตอบคำถามต่างๆ แต่ยังไม่จบแค่นี้คือหลังจากสัมภาษณ์เสร็จ เค้าก็บอกว่าเค้ายังให้คำตอบไม่ได้นะว่าจะรับหรือเปล่า เพราะยังมี candidate อีกที่จะมาสัมภาษณ์อาทิตย์หน้า คือถ้าได้ยังไงเค้าจะติดต่อกลับมา ซึ่งจังหวะนั้นพี่ก็ต้องไปงานแต่งเพื่อนที่ Prague พี่บอกเค้าว่าช่วงนี้จะติดต่อผมไม่ได้นะ เพราะผมจะไม่ได้อยู่ใน UK แต่หารู้ไม่ว่า EU มันใช้เครือข่ายโทรศัพท์ร่วมกันได้ คือเพิ่งรู้ตอนอยู่ที่โน่นแล้ว (หัวเราะ) ทีนี้เค้าก็ไม่ติดต่อมาเลย พอวันนึงเปิดอีเมล ตอนนั้นยังอยู่ที่ Prague เห็นหัวอีเมลว่า Offer letter แล้วกดอ่านดูก็ดีใจมาก กระโดดร้องกับเพื่อนเลย
ตอนช่วงเตรียมตัวพี่เพียวมีอะไรต้องทำเยอะแยะเลย แล้วเราจัดการทุกอย่างยังไง?
มันไม่มีอะไรต้องเสียอ่ะ คือเข้าใจว่าเวลาเราสมัครงานไปแล้วเราไม่ได้ คนส่วนใหญ่จะรู้สึก fail แต่จริงๆ แล้วมันเป็นแค่ feedback ที่บอกเราว่าที่ผ่านมาเรายังทำไม่ถูก เรียนรู้จากตรงนี้ แล้วแก้ไข ลองทำใหม่ ถ้ายังไม่สำเร็จ ก็เป็น feedback เพื่อมาแก้ไข ทำใหม่ ก็ทำวนไปอย่างนี้ จนสำเร็จ
คือในระยะเวลาเทอม 1 เทอม 2 อ่ะ เรามีระยะเวลาตั้ง 6-7 เดือน มันสามารถลองผิดลองถูกจนกว่ามันจะสำเร็จได้ จริงๆ มันอยู่ที่ทัศนคติในการมองนะ
อย่าไปมองว่าการที่เค้าไม่เลือกเรามันทำให้เราล้มเหลว ให้มองว่ามันเป็น feedback ที่ให้เราปรับปรุงจากตรงนั้น คือพี่จะบอกกับตัวเองว่า ถ้ามาแล้วจะมาเล่นๆ จะข้ามน้ำข้ามทะเลมาไกลขนาดนี้ทำไม อยู่ที่ไทยดีกว่ามั้ย คือโอกาสมันไม่ได้มีมาง่ายขนาดนั้น
พี่เพียวคิดว่าเราได้อะไรจากการทำ Work placement ที่นี่
จริงๆ ข้อดีของการมาทำงานที่นี่คือ ทางด้าน technical เนี่ย เราได้พัฒนาทักษะของเราขึ้นมาก เหมือนได้เห็นอะไรจริง แล้วก็ได้ใช้เครื่องมือที่มัน up to date จริงๆ ซึ่งถ้าไม่ได้มาทำที่นี่ก็คงไม่มีโอกาสได้พัฒนาตรงนี้ได้เลย นอกจากนี้ทางด้าน soft skill พวกทักษะทางด้านการสื่อสาร คือ เราไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ใช่มั้ย ด้วยความที่มีคนหลากหลายเชื้อชาติที่มาอยู่ที่นี่ ตอนมาแรกๆ ก็ฟังบางสำเนียงไม่ออกเลย ว่า British ยากแล้วนะ เจอสำเนียง Indian เข้าไปยากกว่าอีก แต่อยู่ไปเรื่อยๆ ก็เริ่มชินแล้ว หลังๆ นี่นั่งฟังประชุมอยู่ก็งงตัวเองว่าทำไมฟังรู้เรื่องหว่า ก็มีสงสัยตัวเอง (หัวเราะ)
แนะนำเคล็ดลับการเตรียมตัวทำ work placement
วันแรกที่มาทำงานก็เจอ 2 คนที่สัมภาษณ์ก็พูดกับเค้าเลยว่า ขอบคุณนะที่เลือกผม เค้าก็ตอบกลับมาว่า “Easy choice” (ยิ้ม)
ก็ถ้าถามพี่ว่า ‘ถ้าอยากทำ work placement ให้ได้ต้องทำยังไง?’ (1) ทุก workshop ที่ทางมหาวิทยาลัยเตรียมไว้ให้ก็แนะนำว่าให้เข้าให้หมด เพราะมันเป็นประโยชน์มากๆ มันช่วยประหยัดเวลาเราได้เยอะ (2) ทำ research ดูว่า ตลาดงานตอนนี้ เค้าต้องการคนที่ทำงานด้านไหนได้ มันตรงกับเรารึเปล่า แล้วก็เตรียมตัว skill ให้ตรงกับเค้า ปกติเค้าจะบอกอยู่แล้วว่า job function คืออะไร เค้าต้องการคนที่มี skill ด้านไหน สิ่งที่เราต้องทำก็คือเราต้องไปเตรียมตัว skill ของเราให้มัน match กับของเค้า และก็ต้องยอมรับแหล่ะว่า
พอเราเรียนตามคอร์สเรียนปกติ เราจบมา skill และ knowledge ของเรามันก็เหมือนคนทั่วไป แต่ถ้าเราอยากได้งานเราก็ต้องมีอะไรที่มากกว่านั้น เช่นมี skill หรือ knowledge ที่โดดเด่นกว่า ซึ่งเราต้องใช้เวลาส่วนตัวของเราไปเรียนรู้ให้ลึกหรือมากกว่าคอร์สที่เราเรียน
ก็เตรียม portfolio ดีๆ ก็เอาพวก course work ที่เราทำตอนเรียนแหล่ะ ก็เอาไปโชว์เค้า หลังจากนั้นถ้าได้สัมภาษณ์ก็เตรียมตัวให้ดีแหล่ะ ไปเก็งข้อสอบ
ฝากอะไรถึงน้องๆ ที่อยากมาเรียนต่อ UK
ถ้ามีตังค์อ่ะ อยากให้มาเลยครับ (หัวเราะ) หรือถ้าไม่มีตังค์ก็อยากให้หาทุนมา การที่มาเรียนที่นี่มันจะได้อะไรเยอะมาก ระบบการศึกษาที่นี่เค้าเน้นให้เรานำมาใช้งานได้จริง ยกตัวอย่างเช่น ทุกๆ สาขาวิชาเลย เวลาเค้าให้คะแนนนักเรียนเนี่ย เค้าจะให้จาก course work ที่ทำ คือจะไม่ใช่มาจัดสอบว่าเด็กรู้อะไรไม่รู้อะไรแล้วให้คะแนนตามนั้น แต่เค้าจะให้คะแนนเราจากชิ้นงานว่าเราสามารถเอาความรู้ที่ได้มา นำไปทำเป็นชิ้นงานออกมาได้ดีขนาดไหน ถ้าเราอยากได้เกียรตินิยม หรือ Distinction เราก็ต้องทำให้ได้มากกว่าที่เค้าต้องการ มันก็จะบังคับให้เราไปหาความรู้เพิ่มขึ้นเอง ไม่ใช่อ่านหนังสือหน้านี้ๆๆ แล้วให้จำได้เพื่อไปสอบ แต่การเรียนแบบนี้คือมันจะทำให้เราได้สร้างองค์ความรู้ใหม่เพิ่มขึ้นเอง เพื่อให้นำมาทำงานตรงนี้ให้ได้ มันจะพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ได้ดีมากๆ
พี่ว่า นักเรียนไทยที่มาเรียนต่อที่นี่ พบจบไปแล้ว ค่อนข้างจะได้เปรียบเวลาทำงานนะ อันนี้ความคิดเห็นส่วนตัว เพราะโดนส่วนใหญ่เราจะแน่นทฤษฎีมากจากที่เรียนที่ไทย พอมาเรียนที่อังกฤษเราจะได้ทำ coursework เยอะมาก ซึ่งมันจะทำให้เราได้พัฒนาการปฏิบัติ ถ้าเทียบกับกีฬานักฟุตบอลนะ เหมือนอยู่ไทยเราเรียนรู้กติกาฟุตบอลแบบละเอียดมาก พอมาเรียนที่นี่เราได้ลงไปเตะจริง เล่นจริง แล้วก็เจ็บจริง ซึ่งพอจบไปแล้ว กลับกลายเป็นว่าเราแน่นทั้งทฤษฎีและการนำไปประยุกต์ใช้ พี่ว่า.. มันได้เปรียบในการทำงานในอนาคตมากๆเลยนะ