Hands On Education Consultants

ประสบการณ์ชีวิตของกระเหรี่ยงนิวบอร์นใน UK

สวัสดีค่าาา . A .
ขอแนะนำตัวเองก่อนเเล้วกันนะคะ เราชื่อ บี๋ นะคะ

วันนี้มาจะมาเล่าประสบการณ์ชีวิตของกระเหรี่ยงนิวบอร์นในต่างแดนให้ เพื่อนๆฟัง ก่อนอื่นต้องขอเล่าความหลัง และ สาเหตุของแรงบันดาลในการมาเรียนภาษาที่อังกฤษนิดนึงนะคะ คือเราเป็นคนนึงที่กลัวภาษาอังกฤษมากกกกกก เพราะเคยมีความหลังไม่ดีเลยกลัวที่จะใช้ กลัวมากถึงขนาดที่แบบถ้ามีชาวต่างชาติเดินมา เราจะรู้สึกเเบบผะอืดผะอมทันที (=__= ถ้านึกไม่ออกให้นึกถึงสิ่งที่กลัวมากๆ) แต่ก็มีความฝันว่าอยากไปเรียนต่อปริญญาโทที่อังกฤษ เท่าที่หาข้อมูลมาก็พอรู้มาว่าถ้าอยากเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษเราจำเป็นต้องยื่นคะแนนสอบ IELTS ก่อนถึงจะทำเรื่องต่อได้

สอบ IELTS

สำหรับปัญหาเรื่องการใช้ภาษาอังกฤษของเรา ตอนสมัยเรียนมหาลัย กับ มัธยมปลายเวลาสอบภาษาอังกฤษก็อาศัยจำเข้าห้องสอบไปทำเอา ก็ผ่านมาได้ ไม่ได้คะแนนสวยงาม แต่ก็ไม่เคยคิดว่าเป็นปัญหาอะไร จนวันนึงที่เราอยากไปเรียนต่อ ทำให้เราโอกาสต้องลองไปสอบ IELTS คือแบบ ในความรู้สึกเรา เราก็คิดว่าเราพอใช้ภาษาได้บ้าง ไม่ได้เก่งมาก เเต่ก็คงไม่แย่หรอก (หลอกตัวเองมาตลอด TT^TT ) ก็ไปลองสอบเเบบไม่รู้อะไรเลย รู้เเค่ชื่อกะรายละเอียดว่ามี สอบ ฟัง พูด อ่าน เขียน โอโหวววว~~~ การสอบครั้งนั้น เป็นความรู้สึกที่ฝังใจเรามาก…..เ พ ร า ะ มั น พั ง ! ! แบบพังมากๆๆ เราทำไม่ได้เลย กระดาษคำตอบของเรามันแทบจะว่างเปล่า ถ้าใครเคยสอบจะรู้ว่า Part Listening มันฟังได้รอบเดียว ตอนนั้นเราช๊อคไปเลย เห้ยเค้าพูดอะไรอ่ะ นี่มันข้อไหนเเล้ว ซักพัก เอ๊าาาา!!! จบเเล้ววว 40 ข้อ ความตกใจยังไม่จบเท่านั้น ข้อสอบถัดไปคือ Part Reading ทีนี้ดีงามเลยจ้าาาาา เหมือนอ่านภาษาต่างดาว I YOU WE THEY HE SHE IT รู้อยู่เท่านั้น คำศัพท์ที่มีในสมองก็มีเท่า หอยเบี้ย TT^TT โผล่มาให้เห็นเป็นตัวๆ ให้พอชื้นใจว่ายังพอมีคำศัพท์ที่ผ่านตาเคยเห็นมาบ้าง แต่!!!…..ก็เท่านั้น โจทย์ไหนที่ตอบเป็น A B C D ได้ก็รอดตัวไป กาๆตอบๆ ตลอดการสอบเป็นความรู้สึกที่เเย่มากจริงๆ ยิ่ง Part Writing เราเขียนกราฟไม่เป็นเลย ต้องเริ่มจากอะไร เเล้ว Task 2 ก็ไม่แน่ใจว่าแปลโจทย์ถูกมั้ย เขียนไปนอกเรื่องรึป่าว ต้นทุนทางภาษาของเราของเราในตอนนั้นคือติดลบมาเลยก็ว่าได้ เพราะมันไม่ใช่เเค่ศูนย์นะ แต่พอมัน บวก ลบ กับความที่เรามีอคติกับภาษามันยิ่งทำให้เราเรียนรู้ได้ยากกว่าเดิม เรื่องการพูดเราที่ไม่มีความมั่นใจในการพูดแม้แต่ติดเดียว Tense และ หลักไวยากรณ์ แทบไม่มีในหัวของเรา อารมณ์ตอนนั้นคือเหลือเเต่กายหยาบในห้องสอบ วิญญาณเรานี่หลุดปลิวไปตั้งเเต่ข้อสอบการฟังแล้ว

หลังจากสอบเสร็จ

เราจำได้เลยหลังสอบเสร็จ เราโทรหาพี่สาว (พี่สาวบอกให้เราลองมาสอบ เป็นคนที่เป็นเเรงผลักดันเราอย่างมากในการมาเรียนภาษาที่อังกฤษ) เรารู้สึกแย่มาก ตลอดเวลาที่นั่งทำข้อสอบ มันทำให้เรารู้เลยว่าจะอยู่เเบบนี้ต่อไปไม่ได้ จะอยู่กับความโง่ของตัวเองแบบนี้ไปตลอดชีวิตหรอ เรารับตัวเราที่เป็นเเบบนั้นไม่ได้จริงๆ เราหนี เราหลีกเลี่ยงมันมาตลอด เราไม่ได้อะไรจากมันเลย ยิ่งเราหนีเราก็ยิ่งโง่ หลังจากนั้นยิ่งเรามารู้ราคาค่าสอบ โอ้โห!!! เราแทบจะตีตัวเองให้รู้เเล้วรู้รอด ให้ตายเถอะ!! หลังจากนั้นเราตัดสินใจลงเรียนภาษาแถวอารีย์ เราพยายามมาก เลิกรับงานที่ทำ (ลืมบอกไปเราทำฟรีแลนช์) ทุ่มเท่กับภาษาอังกฤษทุกวัน ไปเรียน เลิกเรียนก็หัดฟังเทป ฝึกแชทกับชาวต่างชาติ (วิธีนี้ค่อนข้างอันตราย เพราะมันมีปะปนทั้งคนดีเเละคนไม่ดี ก็ต้องพยายามเลือกคุยเอา) ดูหนังภาษาอังกฤษ โหลดโปรแกรมฝึกภาษามาไว้ในเครื่อง นั่งรถไปไหนก็เอามาหัดทำ หัดฟัง จะคิดอะไรหรือคุยกับใคร ก็จะพยายามคิดเป็นภาษาอังกฤษควบคู่ไปตลอด ตอนนั้นหายใจเข้าออกเราเป็นภาษาอังกฤษหมดเลย ถึงขนาดมีคืนนึงฝันเป็นภาษาอังกฤษเลย เรานี่ตลกตัวเองมาก หลังจากลองอยู่ร่วมกันมาก ประมาณ 3 เดือน เรียนจบคอร์สเรียนก็ตัดสินใจลงสอบอีกครั้ง

ลงสอบครั้งต่อไป

หลังจากเตรียมตัวมา 3 เดือนก็ได้เวลาทดสอบตัวเองอีกรอบ หึหึหึ~~ เป็นความรู้สึกที่น่าขนลุกขนผองมาก ในช่วงเวลาที่เดินเข้าห้องสอบอีกครั้ง ใจนิ่เต้นดังกว่าลำโพง ถึงเวลาปั๊บ กรรมการบอกเริ่มทำ ผลิกกระดาษเปิดอ่าน เห้ยยยยยย~~ ก็พอทำได้ ฟังออกมากกว่าครั้งก่อน (ก็แหง่เส่!! แกเตรียมตัวมาตั้งสามเดือนนะ) ตอบได้บ้าง บางข้อก็ไม่ทัน ค่อยๆผ่านแต่ละพาทแบบ Slow life เหงื่อนี่ผุดแบบตึงเครียดเลย ผ่านไปสามชม. ออกห้องสอบมารอสอบ การพูดตอนบ่าย ได้สอบคนที่สี่ของห้อง ไม่กินข้าวละ รอสอบเลยกินก็กินไม่ลง พอเข้าไปก็เริ่มแนะนำตัว และตอบคำถามจนครบ15 นาที ทุกอย่างเสร็จสิ้น รอผลคะแนนออกอีก 2 อาทิตย์ ช่วงเวลานั้นเป็นอาทิตย์ที่ยาวนานมาก คือส่วนนึงเราก็มั่นใจว่าเราพอทำได้ แต่!!!!! มันจะถูกมั้ย นี่แหละประเด็น นั่งนับวันรอผลสอบไป ก่อนนอนก็สวดมนต์ บนบานศาลกล่าว เอามันทุกวิธีให้สบายใจ

ผลสอบออก กับ สถานฑูตอังกฤษเปลี่ยนกฏการไปเรียนต่อ

เเละแล้ววันที่ผลสอบออกก็มาถึง (ใส่ดนตรีแบบยิ่งใหญ่เข้าไป) คะแนนที่ได้มา คือ 5 จ้าาาา เป็นไปตามที่คาดไว้ สำหรับบางคนอาจจะเป็นคะแนนที่น้อยมาก เเต่สำหรับเราคือเราดีใจมาก รู้สึกภูมิใจกับมันมาก ดูเป็นการเริ่มต้นที่ดี ซึ่งเป้าหมายของเราคือ เราต้องสอบให้ได้ 6 เพื่อยื่นคะเเนนไปให้มหาลัยเเละรอเค้าตอบกลับมา เราคิดว่าถ้าเราอ่านหนังสือเพิ่มขึ้น ทำโจทย์ให้มากขึ้น เราน่าจะพอเพิ่มคะเเนนของเราได้ทัน และสามารถไปเรียนต่อได้ทันในปีนี้ เเต่ความดีใจของเราก็อยู่ได้ไม่นาน เพราะพี่ที่เรียนที่เดียวกับเราโทรมาบอกว่าสถานฑูตอังกฤษ มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการสมัครเรียนต่อจาก ผลคะแนนที่ใช้ยื่น IELTS เป็น UKVI เเละมีผลบังคับใช้ทันที (ในส่วนนี้ มีรายละเอียดค่อนข้างซับซ้อนขออนุญาตข้ามไป ) จากเรื่องนี้ทำให้เป้าหมายที่จะไปเรียนโทของเราในปีนี้ต้องเลื่อนออกไป เราใช้เวลาอยู่ประมาณ 2 อาทิตย์ คิดทบทวนตัวเราเอง ว่าเราอยากจะเรียนต่อหรือกลับไปหางานทำ ช่วงนั้นเป็นช่วงเวลาที่คิดเยอะมากจริงๆ ไหนเรื่องค่าใช่จ่าย การใช้ชีวิตในที่ใหม่ๆ ที่ไกลจากบ้าน ที่ที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นกิจวัตร ที่ที่เราต้องพึ่งตัวเองอย่างถึงที่สุด หรือจะกลับไปหางานเเล้วเริ่มตินชีวิตคนทำงานอย่างจริงๆ จังๆ จนสุดท้ายเราก็คิดออก เราอยากเก่งภาษาอังกฤษ อยากจะลองไปในโลกที่เราไม่เคยรู้จัก ลองใช้ชีวิต ลองพัฒนาตัวเองให้กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งอยากจริงๆ จังๆ ซักครั้ง เราอยากไปเรียนภาษา นั้นคือคำตอบของตัวเรา เราตัดสินใจไปคุยกับที่บ้านเรื่องเรียนภาษา หลังจากนั้นก็เข้าไปคุยกับทาง เอเจนซี่ของ Hands On เเละ ทำเรื่องการสมัครเรียน เตรียมเอกสาร เเละทำวีซ่า…

เขียนโดย น้องบี่บี๋, Hilderstone College, Kent

ติดตามเรื่องราวของน้องบี่บี๋ได้ในตอนต่อไป >>