สวัสดีครับเพื่อนๆ ทุกคน เจอกันอีกครั้งหลังจากหายไปนานเลยนะครับ คราวนี้ก็มาช้าเลยเพราะว่าเป็นช่วง deadline ส่งงานวิชาต่างๆ ก่อนปิด Easter ก็ปั่นกันจนถึงนาทีสุดท้ายตามสไตล์นักเรียนไทยเลยครับ ฮาฮา หลังจากนั้นก็ต้องรับบทไกด์จำเป็นพาที่บ้านตะลอนทัวร์ต่อ ยังไงก็ต้องขอโทที่มาช้านะคร้าบบบบ
ตอนพิมพ์ต้นเรื่องฉบับนี้ก็เป็นตอนที่ผมอยู่บนรถไฟ Eurostar เพื่อไปฝรั่งเศสในช่วงปิด Easter เนื่องจากยังตัดสินใจไม่ได้ก่อนหน้านี้ว่าคราวนี้จะมาคุยเรื่องอะไรดี แต่ด้วยความที่ว่ากำลังจะไปฝรั่งเศสพอดีเลยบอกตัวเองว่า เอางี้ละกันไหนๆ เราก็เพิ่งเตรียมตัวเรื่องการเดินทางไปเที่ยวยุโรป ความรู้กำลังแน่นก็เขียนเรื่องการเตรียมตัวเดินทางไปยุโรปน่าจะเหมาะที่สุด วันนี้ก็เลยจะมาคุยกันเรื่องการเตรียมตัวด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ที่พัก การเดินทาง และที่สำคัญเลย คือ เรื่องของเอกสารต่างๆ เพื่อใช้ในการขอวีซ่า โดยจะเขียนแบบเน้นไปที่การขอจากอังกฤษเพื่อเข้าฝรั่งเศสนะครับ
ก่อน อื่นเลยผมก็จะเริ่มจากการเตรียมเอกสารเพื่อเตรียมขอวีซ่าก่อนเพราะว่าพอเรา เตรียมเอกสารแล้ว เราก็จะรู้ว่าต้องทำอะไรต่อไป สำหรับการเข้าประเทศในกลุ่ม EU เราก็จะต้องขอ Visa ที่เรียกว่า Schengen ซึ่งทุกประเทศในกลุ่ม EU จะใช้ Visa แบบนี้เป็นเกณฑ์การอนุญาตให้เข้าประเทศ ซึ่งจะใช้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งหมด นั่นก็หมายความว่าหากเราได้ Visa Schengen มาแล้ว เราสามารถใช้เข้าประเทศไหนก็ได้ในกลุ่ม EU (ภายในระยะเวลาที่กำหนด) สำหรับเอกสารแบบฟอร์มเราก็สามารถเข้าไป download ได้ที่ www.ambafrance-ku.org ในแบบฟอร์มนี้ก็จะบอกเราว่าเค้าต้องการเอกสารอะไรจากเราบ้างซึ่งหลักๆ แล้วก็จะมีตามนี้นะครับ
1. หลักฐานแสดงว่าเราอาศัยอยู่ใน UK นะครับในที่นี้ก็คือ Visa Tier 4 ของเรานั่นเอง ซึ่งจะต้องมีอายุเหลืออยู่ไม่น้อยกว่า 60 วันนะครับ
2. เอกสารรับการการเป็นนักเรียน อันนี้เราสามารถไปขอได้จากทางมหาวิทยาลัยเลยครับ บอกเค้าไปว่าขอใบรับรองนักเรียนเพื่อไปทำวีซ่าเค้าก็จะจัดการให้ครับขอวัน นั้นได้วันนั้นเลย ซึ่งเอกสารใบนี้ผมเข้าใจว่าน่าจะขอฟรีนะครับ เพราะว่าที่ u of Manchester ขอฟรี แต่ที่อื่นก็ไม้รู้เหมือนกัน
3. Bank Statement ของบัญชีเรา ซึ่งต้องดูดีๆ ว่าเป็นบัญชีประเภทอะไรนะครับ เพราะบางประเทศเค้าจะระบุมา ส่วนของฝรั่งเศสนั้นได้ทั้ง saving และ current เลยครับ ทีนี้มันจะมีคำถามว่าควรจะมีเงินในบัญชีเท่าไหร่และฝากมานานแค่ไหน? ตรงนี้เค้าไม่ได้ระบุเรื่องจำนวนมา แต่จะให้ปลอดภัยก็ควรจะมีในบัญชีซัก 1,000 ปอนด์ เพราะเคยมีคนโดนขอให้ไปเพิ่มเงินในบัญชีเพราะมีไม่ถึง ส่วนที่ว่าควรจะฝากนานแค่ไหนอันนั้น จากประสบการณ์ของผม ผมเอาเงินเข้าบัญชีประมาณ 2 อาทิตย์ก่อนไปขอ visa เพราะฉะนั้น ผมว่าเค้าไม่ซีเรียสเรื่องจำนวนวันเพียงแต่ว่า เราต้องอย่าถอนออกจนกว่าจะได้วีซ่าเท่านั้นเองครับ
4. รูปถ่าย ก็เป็นพื้นหลังขาวเหมือนตอนเราขอ visa เข้าอังกฤษนี่แหละครับ แต่ว่าไม่แนะนำให้ใช้รูปเดียวกับใน Visa Tier 4 เรานะครับ เพราะอายุของรูปมันเกินแล้วเค้าจะจับได้ (ผมโดนไล่ไปถ่ายใหม่มาแล้ว) แต่ถ่ายใหม่ก็ไม่ยากอะไรเพราะเค้ามีตู้ถ่ายรูปอัตโนมัติ แบบเดียวกับตู้ถ่ายสติ๊กเกอร์สมัยก่อน (ทันกันมั๊ยเอ่ย) ไว้ให้บริการ สนนราคาก็ 5 ปอนด์ครับ
5. หลักฐานการเดินทาง อันนี้เราต้องเตรียมแผนการเดินไปให้เค้าดูแต่เอาแค่ตอนเข้าและออกจากประเทศ ก็พอครับ จะรถไฟ รถบัส เรือ เครื่องบินอะไรได้หมด แต่การเดินทางในประเทศนี่ไม่ต้องนะครับ เค้าไม่ดู หลักๆ ก็แค่ดูวันที่ให้ตรงกับที่เราจะเดินทางจริงๆ ก็น่าจะโอเคละครับ
6. หลักฐานที่พัก อันนี้เราต้องมีที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่งไปให้เค้าดูว่าจะพักที่ไหนอย่างไร ที่พักที่ว่านี้จะเป็นโรงแรมก็ได้ บ้านเพื่อนบ้านญาติก็โอเค แต่ต้องให้เจ้าของสถานที่รับรองมานะครับ ส่วนกรณีที่ไปกันหลายคนอันนี้ต้องระวังนิดนึงเพราะพวกหลักฐานการจองที่พัก ต่างๆ จะต้องมีชื่อของทุกคนที่ร่วมเดินทางกับเรา
7. ประกันการเดินทาง เราสามารถหาซื้อได้จากอินเตอร์เน็ตเลยครับ www.insureandgo.com อันนี้เป็นเว็บที่ผมซื้อนะครับ เพื่อนๆ เอาไว้ลองดูเปรียบเทียบได้ แต่ว่าไม่จำเป็นต้องซื้อจากเว็บนี้ก็ได้นะครับ เดี๋ยวจะหาว่าผมมาขายประกัน ฮาฮา เวลาเราซื้อประกันพวกนี้เนี่ย มันจะมีให้เลือกมากมายหลายแผนเลยครับ ทีนี้หลักเกณฑ์ในการเลือกซื้อก็คือ ระยะเวลาที่คุ้มครองต้องให้ครอบคลุมวันที่เราจะไปอยู่ในประเทศนั้นๆ ซึ่งหลักๆ แล้วมันจะมีอยู่ 2 แบบ คือซื้อแบบระบุระยะเวลา กับซื้อแบบเหมาทั้งปี ก็ตามแต่เพื่อนๆ จะสะดวกเลยครับ แน่นอนว่าแบบระบุช่วงเวลาก็ต้องถูกกว่าอยู่แล้ว แต่ถ้าใครมีแผนจะเดินทางบ่อยๆ ซื้อทั้งปีอาจจะคุ้มกว่าครับเพราะราคามันต่างกันไม่เท่าไหร่ อีกอย่างที่เราต้องดูคือวงเงินที่คุ้มครองทางสถานฑูตเค้าจะกำหนดมาว่าประกัน เราต้องคุ้มครองเป็นวงเงินเท่าไหร่ แต่ส่วนใหญ่แล้วทุกแผนก็จะเกินกว่าที่กำหนดอยู่แล้วล่ะครับ เพราะผมซื้อแบบถูกสุดก็ยังเกินแบบหายห่วง สุดท้ายสำหรับใครที่จะเดินทางช่วงฤดูหนาวไปยังเมืองที่เค้านิยมไปเล่น winter sport เช่น พวกสกีอะไรแบบนี้อาจต้องซื้อประกันที่มันครอบคลุม winter sport ไปด้วยนะครับ
8. สัมภาษณ์ พอเรากรอกข้อมูลต่างๆ ครบตามที่เค้ากำหนดแล้ว ทางสถานฑูตจะให้เรานัดวันเพื่อเข้าไปสัมภาษณ์ ซึ่งการสัมภาษณ์ก็ไม่มีอะไรครับเพราะถ้าเอกสารเราครบก็ไม่มีปัญหาแน่นอน อ้อ สำหรับสถานที่สัมภาษณ์ของฝรั่งเศสจะมีอยู่ที่ลอนดอนกับเอดินบะระเท่านั้นนะ ครับ เพราะฉะนั้นใครที่อยู่นอก 2 เมืองดังกล่าวก็อย่าลืมดูว่าเราพร้อมจะไปในวันนั้นๆ มั๊ย สุดท้ายก็คืออย่าลืมพกเงินไปด้วยนะครับเพราจะมีค่าทำวีซ่าประมาณเกือบๆ 80 ปอนด์ได้ แพงเอาเรื่องเหมือนกันนะเนี่ย
สำหรับเรื่องการเดินทางในฝรั่งเศสเนี่ยหลักๆ แล้วเราก็จะใช้รถไฟใต้ดิน หรือที่บ้านเค้าเรียกว่า Metro เนี่ยล่ะครับ ยกเว้นบางที่ที่ต้องออกนอก Paris ไปอย่าง พระราชวัง Versailles เนี่ยเราต้องนั่งรถไฟไปครับ การซื้อตั๋วเนี่ยก็ต้องดูให้เหมาะสมกับแผนการในแต่ละวันของเราเลยครับ แต่ผมจะแนะนำอยู่ 2 แบบ คือ ซื้อแบบเหมา 10 ใบ ซึ่งแน่นอนว่ามันจะถูกกว่าซื้อใบเดียวโดดๆ โดยที่ระบบการใช้ตั๋วของที่นี่ก็คือ เค้าจะแยกสถานีออกเป็นโซนๆ ถ้าเราใช้เดินทางภายในโซน 1-2 เนี่ยตั๋วแบบ 10 ใบสามารถใช้ได้หมดรวมถึงใช้กับ RER และ Busในโซน 1-2 ได้ด้วย ซึ่งสถานที่สำคัญๆ ที่เราต้องไปในปารีสก็อยู่ในโซน 1-2 แทบทั้งหมดครับ ส่วนอีกแบบที่อยากจะแนะนำคือ day ticket ซึ่งผมจำไม่ได้ว่าเค้าใช้ชื่อว่าอะไรแต่มันก็คือ ตั๋วโดยสารแบบเหมาทั้งวันนั่นแหละครับ โดยมันจะมีให้เลือกแบบ 1,2,3 วันด้วยก็ลองวางแผนดูครับวันไหนต้องใช้รถไฟใต้ดินเยอะตั๋ววันอาจจะคุ้มกว่า ครับ
สุดท้ายนี้ผมก็จะแนะนำว่าการเดินทางควรจะแพลนล่วงหน้าไปดีๆ ครับ เพราะว่าป้ายต่างๆ นั้นภาษาอังกฤษน้อยมาก รวมถึงคนส่วนใหญ่ก็จะพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ทำให้เวลาจะถามทางต่างๆ มันค่อนข้างลำบาก แต่จากประสบการณ์แล้ว คนปารีเซียงเค้าค่อนข้างจะอัธยาศัยดีมากครับ คือ ถ้าเค้าเห็นเรากำลังมีปัญหาเค้าจะพร้อมช่วยเหลือเสมอ บางทีพูดไม่ค่อยได้ เขาเดินไปส่งให้ถึงที่เลยก็มี ประทับใจมากครับ ที่สำคัญ คือ เราควรจะมีสัญญาณอินเตอร์เน็ตไปด้วยครับเพราะว่าพวก map ต่างๆ มันช่วยเราได้เยอะ พอหลงทางเสียเวลาแล้วมันไม่คุ้มกันครับ แล้วก็หากใครวางแผนจะไปเที่ยวหลายๆ ประเทศแล้วมีฝรั่งเศสอยู่ในโปรแกรมผมแนะนำให้พยายามจัดให้ได้ขอวีซ่าที่ฝรั่งเศสนะครับ เพราะที่นี่เค้าขึ้นชื่อว่าให้เยอะสุด อย่างของผมได้มา 6 เดือน คราวหน้าจะไปเที่ยวประเทศในยูโรโซนภายใน 6 เดือนนี้ก็ไม่ต้องขออีก ประหยัดเงินค่าทำวีซ่าไปได้เยอะครับ
สำหรับวันนี้คงพอเท่านี้ก่อนกับ มาโหมดสาระล้วนๆ ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ นะครับ ไว้คราวหน้าผมจะมาเล่าประสบการณ์ของผมในปารีสให้ได้อ่านกัน ยังไงรอติดตามนะครับ บ๊ายบาย
Hands On ขอแนะนำกิจกรรมดีๆ เพื่อการเรียนต่อ UK เช่น การเขียน SoP, ทดลองสอบ IELTS หรือการสัมภาษณ์โดยตรงกับตัวแทนมหาวิทยาลัย ซึ่งสามารถดูกิจกรรมของเราเพิ่มเติมได้ที่ upcoming events หรือหากมีคำถามเรื่องการเรียนต่อ UK ติดต่อ Hands On ได้ทุกสาขา ทางทีมงานยินดีให้คำปรึกษาโดยไม่มีค่าใช้จ่ายค่ะ
Hands On Education Consultants ตัวแทนมหาวิทยาลัยชั้นนำจาก UK อย่างเป็นทางการมากกว่า 100 สถาบัน มีประสบการณ์การทำงานมากกว่า 10 ปี ให้คำปรึกษาเรื่องการเรียนต่อ UK โดยมีนักเรียนให้ความไว้วางใจใช้บริการมากเป็นอันดับ 1 ความคิดเห็นจากนักเรียนที่เคยใช้บริการ Hands On