สวัสดีครับเพื่อนๆ ทุกคน กลับมาพบกันอีกครั้งนึง ตอนนี้ก็เข้าสู่ช่วงเดือน พฤษภาคมแล้ว ชีวิตการเรียนของผมก็เข้มข้นเข้าไปทุกขณะ เรียกว่าพอกไว้จนได้ที่แล้วว่างั้นเถอะ ฮาฮา แต่ไม่ว่าจะยุ่งยังไงเราก็เจอกันบนบทความนี้เหมือนเดิมครับ สำหรับเพื่อนๆ ที่กำลังจะมาเรียนในปีนี้ ช่วงนี้ก็ใกล้จะถึงเวลาแล้วสินะครับโดยเฉพาะคนที่ต้องมาเรียนภาษาก่อน ยังไงก็เตรียมตัวกันให้ดีๆ นะครับ ถ้ามีปัญหาอะไรก็ถามพี่ๆ ที่ Hands-on ได้ ตอบได้ชัวร์ๆ แน่นอน แต่ตอนก่อนผมมาก็ถามนู่นนี่เยอะจริงๆ นะ
สำหรับคราวนี้เราจะมาเที่ยวฝรั่งเศสต่อจากคราวที่แล้วกันครับ ความเดิมตอนที่แล้วเราก็ได้รู้วิธีการขอ Visa Schengen เพื่อเข้าสู่ประเทศในแถบยูโรโซนไปเรียบร้อยแล้ว คราวนี้เราก็มาบินลัดฟ้าจาก London เข้าสู่ Paris กันครับ คือจริงๆ ก็ต้องบอกว่ามุดใต้ทะเลถึงจะถูกเพราะคราวนี้ผมนั่งรถไฟ Euro Star จากอังกฤษมุดใต้ช่องแคบอังกฤษมาโผล่ที่ฝรั่งเศส รวมระยะเวลาการเดินทางทั้งหมดจาก London มาถึง Paris ร่วมๆ 4 ชั่วโมงซึ่งความจริงแล้ว ตามกำหนดการจริงๆ มันแค่ 2 ชั่วโมงครึ่ง แต่รถไฟขบวนข้างหน้าดันมีปัญหา ทีนี้ก็เลยดีเลย์กันไปทั้งระบบ กว่าจะถึง ปารีสก็เย็นมากแล้ว วันแรกเลยไม่ได้อะไรมาก แค่เข้าโรงแรม หาอาหารทาน ถ่ายรูปเล่นนิดหน่อยก็มืดแล้ว
ความรู้สึกแรกของผมเลยเมื่อมาถึงปารีสคือ ทันเหมือนอีกโลกนึงเลยครับ ทุกอย่างมันแตกต่างกับทางฝั่งอังกฤษอย่างสิ้นเชิง ภาษา ผู้คน อาหาร ร้านขนมปัง (คือที่นี่หาร้าน Supermarket อารมณ์แบบ Seven แทบไม่ได้เลย) รวมไปถึงรถที่ขับกันคนละเลน คือผมหวิดจะโดนชนอยู่ร้ายครั้งเหมือนกันเพราะทุกอย่างมันกลับทิศไปหมด โดยรวมแล้วทุกอย่างมันจะแปลกใหม่ไปหมดครับ เพราะฉะนั้นสิ่งแรกที่อยากจะแนะนำจากประสบการณ์ตรงเลยคือหา internet ใช้ให้ได้ครับไม่ว่าจะซื้อซิม เปิด Roaming หรืออะไรก็แล้วแต่ มีไว้อุ่นใจกว่าครับ เพราะคนที่นี่ส่วนน้อยที่พูดภาษาอังกฤษได้แล้วป้ายต่างๆ ก็แทบไม่มีภาษาอังกฤษ
พูดถึงที่พักของผมในทริปนี้กันซักหน่อย ก็เหมือนเดิมครับผมยังคงใช้บริการ Hostel เหมือนเดิม โดยคราวนี้ผมจองออนไลน์ผ่านเว็บ Hostelworld.com มาราคาตกคืนละ23 ยูโรรวมอาหารเช้าซึ่งก็ถือว่าโอเคถ้าเทียบกับค่าครองชีพในปารีสที่แพงเป็น อันดับต้นๆของโลก Hostel ที่ผมพักชื่อว่า Plugin Hostel ซึ่งถึงแม้จะไม่อยู่กลางเมืองแต่ก็ถือว่าไปเปลี่ยวมากเพราะหน้าปากซอยเป็น ที่ตั้งของ Moulin Rouge ซึ่งเป็นโรงละคร Cabaret ที่มีชื่อเสียงมากๆ ผู้คนแถวนี้เลยจะพลุกพล่านตลอดเวลา ผมกลับมาตี 1 ก็ยังมีคนเดินไปมาอยู่ ส่วนตัวที่นอนก็เป็นแบบนอนรวม 4 คนแต่เตียงค่อนข้างเอี๊ยดอ๊าดมากขยับนิดนึงเสียงมาทันทีทำให้ต้องนอนเกร็ง อยู่ตลอด สรุปว่าที่นอนไม่โอเคเลย แต่ก็ทนๆ เอาครับ คิดซะว่าแค่นอน
เช้าวันที่สองผมตื่นเต้าเช้าลงมาทาน Breakfast ซึ่งก็ตามมาตรฐาน Hostel คือมีขนมปังครัวซองต์กับซีเรียลให้ก็ทานแค่พออยู่ท้องจากนั้นก็เดินทางต่อ จุดหมายแรกของวันนี้ออกไปชานเมืองเพื่อไปชมพระราชวัง Versailles กันครับ การเดินทางไปยังแวร์ซายก็ต้องนั่งรถไฟไปลงที่สถานี Versailles Rive Droite อ่านว่าอะไรก็ช่างมันละกันนะครับ ฮาฮา เอาเป็นว่านั่งจนสุดสายถึงพอดี พอมาถึงก็ต้องต่อคิวเพื่อเข้าไปชมด้านใน ซึ่งวันที่ผมไปก็ต้องต่อคิวประมาณครึ่งชั่วโมง (สำหรับใครที่เป็นนักเรียนที่มาเรียนต่อแล้วอายุต่ำกว่า 26 ปีจะสามารถใช้สิทธิ์ของ European Residence เข้าชมได้ฟรีนะครับ โชว์ Visa Tier 4 ของอังกฤษให้ดูผ่านฉลุยแน่นอนครับ ประหยัดค่าเข้าได้ร่วมๆ 20 เลยนะครับ)
สำหรับ ด้านในของตัววังก็ใหญ่จริงสมคำร่ำลือล่ะครับ ภายในจะแบ่งเป็นห้องต่างๆซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันมีทั้งหมดกี่ห้อง แต่จากการประเมินด้วยสายตาแล้วมีทั้งหมด 700 ห้องครับ ล้อเล่น!! คือผมแอบไปเปิด google มาเรียบร้อยสรุปว่ามันมี 700 ห้องจริงๆ ครับ แต่ละห้องก็จะมีการจัดแสดงภาพวาดต่างๆ ละลานตาไปหมด แต่สำหรับผมแล้วทีเด็ดของที่นี่ไม่ใช่ตัววังครับ แต่เป็นสวนต่างหาก คือสวนที่นี่ยิงใหญ่อลังการมาก ความรู้สึกของผมคือมันเป็นเหมือนป่าขนาดย่อมๆ เลยล่ะครับ ก็น่าเสียดายที่วันที่ไปฝนมันตกแล้วตรงลานน้ำพุเค้ากำลังซ่อมแซมกันอยู่ เลยอดเก็บภาพสวยๆ ใครที่กำลังจะไปก็ควรเตรียมร่างกายกันให้พร้อมนิดนึง เพราะการเดินชมสวนที่นี่มันพอๆ กับเดินทางไกลสมัยเรียนลูกเสือตอนเด็กๆ ไงงั้นเลยครับ
หลังจากออกมาจาก Versailles จุดมุ่งหมายต่อไปของผมก็อยู่ที่ถนนเส้นที่มีชื่อเสียงที่สุดในฝรั่งเศสนั่น ก็คือ Champs-Elysees Avenue (ถนนช็องเซลีเซ) ซึ่งเป็นย่านช็อปปิ้งใจกลางเมือง โดนที่สุดถนนจะเป็นที่ตั้งของประตูชัยฝรั่งเศส Arc de Triomphe (อาร์ค เดอ ทรียงฟ์) เรียกว่ามาที่เดียวได้เก็บถึงสอง Landmark สำหรับการเดินทางมายังถนนช็องเซลิเซนั้นสามารถใช้เมโทรมาลงที่สถานี Charles de Gaulle-Etoille ซึ่งสถานีนี้จะติดกับประตูชัยครับ โผล่มาขึ้นที่ประตูชัย แวะถ่ายรูปซักหน่อยแล้วค่อยเดินย้อนลงมาได้ครับ หรือถ้าใครอยากขึ้นไปบนประตูชัยเพื่อชมวิวถนนสิบสองสายมาบรรจบกัน ก็สามารถใช้สิทธิ์ European Residence ขึ้นไปชมได้ฟรีเหมือนเดิมครับ ดีสุดๆ เลยใช่มั๊ยล่ะ
สำ หรับถนนช็องเซลิเซนั้นจะเป็นถนนสายยาวมุ่งหน้าสู่ประตูชัย สองข้างทางก็จะมีร้านแบรนด์เนมยาวไปตลอด ร้านขนมอาหารก็มากมี เรียกได้ว่าใครเป็นขาช็อปก็เดินเพลินอยู่ตรงนี้ได้ทั้งวันแหละครับ ส่วนถ้าแบรนเนมที่เป็น High End จริงๆ อย่าง Chanel LV Prada อะไรแนวๆ นี้จะต้องเดินมาที่ถนนอีกเส้นที่อยู่ติดกับช็องเซลิเซ แนะนำว่าให้ลงเมโทรมาขึ้นที่สถานี Franklin D. Roosevelt จะใกล้กว่ามากครับ
ก่อนจะจากกันไปวันนี้ผมขอพูดถึงเรื่องที่ควรระวังในปารีสนิดนึงนะครับ เพราะถึงแม้ผมจะได้พูดถึงชาวปารีเซียงไปในฉบับที่แล้วว่าอัธยาศัยดี แต่ยังไงก็ตามในปารีสนี่มีผู้คนหลากหลายมากครับไม่ว่าจะเป็นคนผิวสี ชาวยิปซี หรือแม้แต่คนยุโรปเองก็ตาม ยังไงไปไหนมาไหนก็ต้องระวังตัวไว้ก่อนเพราะปารีสก็มีข่าวคราวเกี่ยวกับการฉก ชิงวิ่งราวอยู่ตลอด ที่ผมเจอมากับตัวและอยากเตือนก็คือ จะมีคนทำทีเป็นว่ามาจากองค์กรการกุศลหรืออะไรซักอย่างมาตามล่าลายเซ็นเรา (ยังกะเป็นดารา ฮาฮา) คนกลุ่มนี้จะเริ่มต้นประโยคด้วยการถามเราว่าพูดภาษาอังกฤษได้มั๊ยทุกครั้ง เป็น Pattern เลย ถ้าเราทำท่าว่าสนใจเค้าจะให้เซ็นเอกสารอะไรบางอย่างซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันคือ อะไร แต่แว๊บๆเหมือนว่าจะมีให้ใส่จำนวนเงินด้วย เห็นท่าไม่ดีผมเลยชิ่งออกมาก่อน วิธีเลี่ยงคือเวลาเจอพวกนี้ถามว่าพูดภาษาอังกฤษได้มั๊ยให้ตีมึนไม่รู้เรื่อง ทำไม่สนใจเดินผ่านไปเลยครับ อาจมีโดนเหนี่ยวรั้งบ้าง (ผมโดนมาแล้ว) อย่าได้แคร์ครับเดินต่อไปเท่านั้น ใครให้เซ็นอะไรอย่าไปเซ็นครับเพราะเราไม่รู้ว่ามันคืออะไร