สวัสดีครับเพื่อนๆ กันมาพบกันเหมือนเช่นเคยกับฉบับที่สองของปี 2015 ก่อนอื่นเลยก็ต้องขออภัยเพื่อนๆ ทุกคนที่คราวนี้มาช้าหน่อยนะครับ พอดีว่าผมติดภารกิจสอบซึ่งหนักหนาสาหัสพอสมควรกว่าจะผ่านมาได้ อ้อ มีเรื่องมาเล่าให้ฟังนิดว่าที่ผมเคยบอกว่าอยากเห็นหิมะก็ได้เห็นแล้วนะครับ ตกมาสามวันติดๆ กันเลยถือว่าหนาวสุดๆ ช่วงนี้ สำหรับวันนี้เราก็จะยังอยู่กันที่ลอนดอนซึ่งเป็นตอนต่อของเมื่อ 2 ฉบับที่แล้วที่เล่าถึงวันแรกของทริปเที่ยวลอนดอน 3 วัน 2 คืนของผมกับเพื่อนๆ ก็คิดว่าฉบับนี้น่าจะเป็นฉบับสุดท้ายของลอนดอนแล้วหลังจากที่อยู่ลอนดอนติดๆ กันมาหลายฉบับ ไว้ฉบับหน้าจะพาเพื่อนๆ ไปเที่ยวเมืองอื่นกันครับเดี๋ยวจะเบื่อซะก่อน
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเราไปตะลุยลอนดอนกันต่อเลยครับ แต่ก่อนอื่นขอเล่าย้อนถึงคราวที่แล้วนิดนึงที่หลังจากออกจาก British Museum และทานอาหารเย็นแบบไร้นัยยะสำคัญแล้วเราก็เข้าที่พักที่ Journey Kingcross ซึ่งเป็น Hostel แถวสถานี King cross ที่จองผ่าน internet มาในราคาคืนละ 17 ปอนด์รวมอาหารเช้า ที่พักเป็นแบบห้องรวม นอนกัน 12 คน (มีเตียงสามชั้น อยู่ 4 เตียง) ก็ถือว่าแออัดพอสมควร ความสะดวกสบายก็น้อยเพราะห้องนำเป็นห้องน้ำรวม แต่ก็ตามราคาน่ะครับ คิดซะว่าแค่นอนไม่กี่ชั่วโมงเก็บเงินไว้เที่ยวดีกว่า
วันรุ่งขึ้นเราออกจากโรงแรมแต่เช้าเพื่อมุ่งหน้าไปยัง Landmarks ของลอนดอนที่ใครมาก็ต้องแวะมาไม่งั้นเหมือนมาไม่ถึงนั่นก็คือ Big Ben และ London Eye ที่เหมือนเป็นแพ็คเกจคู่กันไปแล้ว หลังจากถ่ายรูปเสร็จสรรพเอาไว้อวดเพื่อนแล้ว เราก็เดินทางกันต่อ จุดหมายต่อไปของเราอยู่ที่อีกหนึ่ง Landmark นั่นคือ Tower Bridge นะครับ หากใครนึกภาพ Tower Bridge ไม่ออกก็ให้นึกถึงสะพานที่อยู่บนปกหนังสือเรียนภาษาอังกฤษหลายต่อหลายเล่ม นั่นแหละครับ ฮาฮา สำหรับการเดินทางจาก London Eye ไป Tower Bridge ก็ใช้ Tube ครับ โดยลงที่สถานี Westminster ที่อยู่ตรงข้าม Big Ben มาขึ้นที่สถานี Tower Hill ครับ โดยTube สายนี้ก็จะวิ่งลอดใต้แม่น้ำเทมส์ด้วย ใช้เวลาเดินทางประมาณ 15 นาทีก็ถึง พอมาถึงสถานี Tower Hill แล้วก็ต้องเดินต่ออีกหน่อยประมาณ5นาที ก็ถึง Tower Bridge ครับ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะใช้เวลามากกว่า 5 นาทีเพราะระหว่างทางเราจะผ่าน Tower of London ให้ได้ถ่ายรูปกัน พูดถึง Tower of London ก็เป็นทั้งพระราชวังและป้อมปราการที่ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำเทมส์ ความน่าสนใจอย่างนึงก็คือที่นี่เคยเป็นที่คุมขัง Queen Elizabeth ที่ 1 ในอดีตมาแล้ว หลังจากถ่ายรูปกันเสร็จพิธีเราก็ไปกันต่อที่ Tower Bridge จุดหมายของเราครับ สิ่งแรกที่ทำหลังจากมาถึงสะพานก็แน่นอนครับถ่ายรูป (ถ่ายไปเยอะแยะก็ไม่ค่อยได้ดูหรอกครับ ฮาฮา) ถ่ายกันไปหลายฉากหลายมุม เดินหามุมกันไปเรื่อยจนมาถึงตัวTower ของสะพานก็เพิ่งจะได้รู้ว่าที่นี่เค้ามีเปิดให้ขึ้นไปชมข้างบนได้ด้วย แต่ต้องเสียเงินขึ้นไป ด้วยความที่อยากเก็บเงินไปกินเป็ดพวกเราก็เลยบอกลา Tower Bridge กันตรงนี้ อ้อ สำหรับคนที่อยากถ่ายรูปสะพานแบบสวยๆ เต็มแนะนำให้เดินลงจากสะพานมาถ่ายด้านข้างนะครับ เพราะถ่ายบนสะพานก็จะไม่เห็นอะไร แล้วเรายังจะได้มุมสะพานอรามาริมแม่น้ำเทมส์ มีฉากหลังเป็น The Gherkin (ตึกทรงแตงกวา) อีกด้วย
หลัง จากจบจาก Tower Bridge โปรแกรมต่อไปของเราก็คือมื้อเที่ยงที่ร้านเป็ดย่างชื่อดังที่คนไทยมาต้องมา ลองไม่งั้นเหมือนมาไม่ถึง (อีกแล้ว) นั่นคือร้าน Four seasons นั่นเอง ร้านนี้ก็จะมีหลายสาขาอยู่ใน London น้องที่อยู่ลอนดอนแนะนำมาว่าที่สาขา Bayswater น่าจะดีที่สุดเพราะเป็นสาขาแรกของร้านนี้ แต่เราตัดสินใจไปที่ Soho เนื่องจากเดินทางง่ายกว่า พอมาถึงหน้าร้านประมาณเกือบๆเที่ยงมีคนรออยู่หน้าร้านอยู่กลุ่มนึงเนื่อง จากร้านยังไม่เปิด (เปิดเที่ยง) คุยกันด้วยภาษาที่คุ้นๆ อ้าวคนไทยนี่นา เชื่อแล้วว่าร้านนี้ป็อปในหมู่คนไทยจริงๆ ระหว่างรอเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาพวกผมเลยศึกษาเมนูซึ่งเป็นอาหารจีนที่ บรรยายด้วยภาษาอังกฤษ โอ้!! มืดแปดด้านกันเลยทีเดียว ดูไปก็พยายามเทียบกับอาหารจีนในเมืองไทยว่าน่าจะประมาณนั้นประมาณนี้ สรุปแล้วเพื่อความปลอดภัยสั่งแบบเป็น set ที่เค้าจัดไว้แล้วละกันด้วยที่คิดว่าร้านน่าจะเอาอาหารจานเด็ดของร้านมาใส่ ในเซ็ต เซ็ตนึงราคาประมาณ 20 ปอนด์ต่อคน อาหารมีประมาณ 7-8 อย่างจำไม่ค่อยได้ จำได้แค่ว่า 7-8 อย่างฟังดูเหมือนเยอะ แต่จริงๆ ไม่ได้เยอะเลยเพราะจานเล็ก ส่วนเรื่องรสชาดผมว่าทั่วๆ ไปนะ อารมณ์ว่าหาทานได้ตามร้านอาหารจีนทั่วไป แต่ไม่เป็นไรเรามาเพื่อเป็ดเท่านั้น แต่พอเป็ดยกมาเท่านั้นแหละ ผมลมแทบจับเพราะมันไม่ใช่เป็ดย่างที่เราต้องการ ไม่รู้ว่าผมโง่หรือโง่ ที่คิดว่าไอเจ้า Aromatic duck ที่เขียนในเมนูเนี่ยมันจะเป็นอันเดียวกับ Roast Duck ที่เราๆ คุ้นเคยกัน เห้อ ผลสรุปออกมาคือมันไม่อร่อยเลยเป็ดมันแบบแห้งๆ ใครที่กำลังลดความอ้วนนี่เหมาะเลย ฮาฮา สุดท้ายก็ผิดหวังกันไปกับบทเรียนราคาแพง 20 ปอนด์ที่ว่าอาหารจัดเซ็ตไม่ใช่ว่าจะดีที่สุดและAromatic duck เป็นเป็ดแบบไร้ไขมันซึ่งแน่นอนมันไม่อร่อย (สำหรับผม)
จบมื้อเที่ยงกันไปแบบอิ่ม (แต่ไม่หนำ) โปรแกรมช่วงบ่ายเป็นโปรแกรมตามใจเพื่อนเลยครับ คือว่าเพื่อนผมคนนึงเป็นแฟน The Beatles ซึ่งหลังจากเคยไปเยือนบ้านของสี่เต่าทองที่ Liverpool มาแล้วคราวนี้แกเลยอยากมาข้ามถนนที่ abbey road ซักครั้งนึงในชีวิต ถนน abbey road ที่ว่าเนี้ยเป็นถนนเส้นเล็กๆ เส้นนึงในลอนดอนที่ the Beatles ใช้เป็นฉากหลังของหน้าปกอัลบั้มสุดท้าย ถ้าใครติดตามก็คงจะนึงภาพออก ส่วนผมถ้าจำถูกๆ ผิดๆ ยังไงขออภัยนะครับ เพราะไม่ใช่แฟนวงนี้ สารภาพเลยว่าทั้งวงรู้จักคนเดียวคือ John Lennon แหะๆ การเดินทางไปยังไงขอสารภาพอีกครั้งว่ามืดกว่าเมนูที่ร้านเป็ดโฟร์อีก คือพูดง่ายๆ ว่าเดินตามเพื่อนอย่างเดียวเลยครับ ภาพในความทรงจำก็คือว่าเดินไปเรื่อยๆ ผ่านบ้านคนเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาข้ามถนนเดินขึ้นเนินเลี้ยวซ้ายอีกที (เรียกง่ายๆว่าจำไม่ได้นั่นแหละ) ก็มาถึงถนนเส้นเล็กๆ เส้นนึงที่ธรรมดามากๆ มีแค่ป้ายๆ นึงอยู่ที่หัวมุมถนนบอกให้เรารู้ว่านี่คือ abbey road แต่ความรู้สึกแรกของผมคือมันไม่มีอะไร Beatles เลยเดินมาเรื่อยๆ ผ่านห้องอัดห้องนึงมีป้ายผ้าขึงไว้ที่รั้วพร้อมกับข้อความกำกับไว้ว่ากรุณา อย่าเขียนกำแพง ซึ่งผลปรากฎได้รับความร่วมมืออย่างดี แทบไม่มีที่ว่างเหลือเลยครับ เหล่าสาวก The Beatles พร้อมใจกันมาเขียนข้อความต่างๆส่งไปถึงศิลปินคนโปรด เดินถัดไปอีกนึงเห็นมีทางม้าลายเล็กๆ อยู่อันนึงดูคึกคักเป็นพิเศษ ใช่แล้วตรงนี้แหละครับที่เหล่าสมาชิกสี่เต่าทองโพสท่าถ่ายรูปขณะกำลังข้าม ถนนซึ่งเป็นหน้าปกของอัลบั้มสุดท้ายในนาม The Beatles อันโด่งดัง คือจะว่าไปแล้วเนี่ยมันก็อันตรายไม่ใช่น้อยเนื่องจากเค้าไม่ได้ปิดถนนให้ สำหรับถ่ายรูปโดยเฉพาะ ก็จะมีรถวิ่งไปวิ่งมาตามปกติ คนถ่ายก็ต้องกะจังหวะดีๆ รอช่วงรถว่างๆ วันดีคืนดีมีรถมาเร็วๆ ก็ต้องหลบกันจ้าละหวั่น คนขับบางคนใจดีหน่อยก็หยุดให้ถ่ายกันตามสบาย ส่วนบางคนไม่รู้ก็ถึงกับงง เอ๊ะคนพวกนี้ยังไงข้ามไปข้ามมาไม่ไปไหนซักที แถมแอ๊กท่าถ่ายรูปกันกลางถนนซะอีก เรียกว่าเป็นถนนเส้นเล็กๆ ที่วุ่นวายอยู่ตลอดเวลาเพราะวัฒนธรรมเพลงจริงๆ
โปรแกรม ถัดไปเป็นของเพื่อนอีกคน คนนี้แฟนบอลสิงบลู เชลซีซึ่งทั้งทริปแกบอกไปไหนก็ได้หมดขอที่เดียวคือ บ้านของ Chelsea Stamford Bridge ยังไงต้องไปให้ได้ หลังจากออกจาก Abbey Road พวกเราก็ลง Tube อีกครั้ง คราวนี้นั่งยาวมาขึ้นที่สถานี Fulham Broadway ซึ่งเดินจากสถานีประมาณ 5 นาทีก็ถึงสนาม Stamford Bridge ตอนที่ไปถึงเนื่องจากมันเย็นมากแล้ว (ประมาณ 4 โมง) รอบๆ สนามก็แลดูเงียบมากๆ แล้ว พวกเราก็เริ่มไม่แน่ใจว่ามันปิดรึยังเลยเดินไปถามเจ้าหน้าที่ได้ความมาว่า ทัวร์สนามรอบสุดท้ายกำลังจะเริ่มอีกประมาณ 5 นาที พวกเราเลยวิ่งกันหน้าตั้งไปประมาณครึ่งรอบสนามไปยังจุดเริ่มต้นทัวร์ ซื้อตั๋วเสร็จสรรพรวมส่วนลดจากบัตรนักเรียนแล้วอยู่ที่ประมาณ 17 ปอนด์ เรียกว่าทันเวลาแบบฉิวเฉียด เริ่มต้นทัวร์ก็ตามธรรมเนียมไกด์ก็จะแนะนำตัวคร่าวๆ จากนั้นก็จะถามลูกทัวร์ที่ถามกันทุกสนามที่ผมเคยไปนั่นคือ คุณเชียร์ทีมอะไร? ใครเป็นแฟนบอลเชลซีก็ดีไป ส่วนกองเชียร์ทีมอื่นก็โดนแซวมากน้อยลดหลั่นกันไปตามความเป็นอริกับเชลซี ฮาฮา สำหรับเส้นทางว่าเค้าพาไปตรงไหนยังบ้างนี้ผมจำไม่ได้แน่นอนนัก แต่เอาเป็นว่าเพื่อนๆก็จะได้ไปดูห้องสัมภาษณ์ ห้องพักนักกีฬาทั้งเจ้าบ้านและผู้มาเยือน ซึ่งตรงจุดนี้ไกด์เล่าให้ฟังว่า ห้องแต่งตัวทีมเยือนสนาม Stamford Bridge นี่ถือว่าปรานีทีมเยือนที่สุดใน Premier League แล้วเนื่องจากถึงแม้ว่าจะมีขนาดเล็กกว่าห้องของเจ้าบ้านอยู่เยอะแต่ก็มีสิ่ง อำนวยความสะดวกพร้อม เหตุผลก็เพราะว่าอดีตผู้จัดการทีมเชลซีเค้าเห็นสภาพห้องทีมเยือนเก่าแล้ว รู้สึกว่ามันน่าหดหู่มาก ทีมที่มาเยือนพอเจอแบบนี้ก็อยากลงไประบายในสนาม ก็เลยเปลี่ยนให้ทีมเยือนอยู่สบายๆหน่อยลงไปเล่นจะได้เชือดนิ่มๆ ซึ่งได้ผลหรือไม่ก็ไม่รู้แต่เชลซีก็เป็นทีมที่แพ้ในบ้านยากสุดๆแล้วทีมนึง กลับมาที่ทัวร์สนามต่อนะครับเลี้ยวไปซะไกลเลย พอดีมันนึกขึ้นได้ก็รู้สึกอยากจะเล่าน่ะครับ ต่อไปเราก็จะได้เดินผ่านอุโมงค์ที่นักเตะมาเรียงแถวกันก่อนเดินออกจากสนาม แล้วก็จะได้ไปนั่งตรงม้านั่งสำรองซึ่งเป็นที่นั่งของมูริญโญ่ด้วย ก็เรียกได้ว่าครบถ้วนตามสูตรมาตรฐาน stadium tour นะครับ จบแล้วเราก็สามารถไปแวะชม museum ของสโมสรต่อได้ แต่ของเชลซีนี่แปลกกว่าชาวบ้านเค้าหน่อยตรงที่ museum ไม่ได้อยู่ในตัวสนาม แต่อยู่ที่ชั้นบนของ mega store ก็ใครที่อยากชมก็ต้องเดินย้อนกลับไปหน่อยครับ
เป็น ยังไงกันบ้างครับเพื่อนๆ ฉบับนี้อาจจะยาวไปซักนิดนึงเพราะรายละเอียดค่อนข้างจะเยอะ พอได้เริ่มเขียนมันก็เพลินก็หวังว่าเพื่อนๆ จะอ่านได้เพลินๆ เหมือนกันนะครับ แต่สิบปากว่าก็ไม่เท่าตาเห็นยังไงถ้าได้มาเองมันจะสุดยอดกว่าที่ผมเล่าเยอะ เลยครับ สำหรับฉบับนี้ก็ขอจบเอาไว้ตรงนี้ ไว้คราวหน้าตามที่เกริ่นไว้ตอนแรก เราไปเที่ยวเมืองอื่นกันครับ แต่จะเป็นเมืองไหนเอาไว้รออ่านคราวหน้านะครับ บ๊ายบาย