สวัสดี ครับเพื่อนๆ ทุกคน กลับมาพบกันอีกครั้งกับฉบับแรกของเดือนกุมภาพันธ์ เผลอแว๊บเดียวปี 2015 ก็ผ่านไปอีก 1 เดือนแล้วนะครับเวลาผ่านไปเร็วจริงๆ สำหรับเดือนนี้ก็ถือว่าเป็นปีใหม่ของจีนด้วย ผมก็ถือโอกาสนี้อวยพรเพื่อนๆ ทุกคน ขอให้สมหวังกับทุกความหวังที่ได้ตั้งใจและพยายามนะครับ ส่วนอีกวันสำคัญนึงนั่นก็คือ วันวาเลนไทน์ ซึ่งอาจจะสำคัญมากยิ่งกว่าสำหรับใครหลายๆ คน ก็ขอให้รักกันแบบมีสติ แล้วก็ที่สำคัญต้องรักตัวเองมากที่สุดนะครับ ก็ขอให้ทุกคนมีความสุขกับเดือนกุมภาพันธ์นี้นะครับ
สำหรับวันนี้ก็ตามที่ได้เกริ่นไว้เมื่อฉบับที่แล้วว่าผมจะพาเพื่อนๆ ไปเที่ยวเมืองอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลอนดอนกันบ้าง และเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศเดือนแห่งความรักแบบนี้ผมก็เลยเลือกเมือง Bath ซึ่งถือว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากที่สุดเมืองนึงของอังกฤษและ ที่สำคัญเป็นเมืองที่แอบโรแมนติกเล็กๆ ด้วยนะครับ ถ้าเพื่อนๆ พร้อมแล้วเราก็ไปลุยเมืองบาธ เมืองที่มีกลิ่นอายของโรมันบนเกาะอังกฤษกันเลยครับ
เราเริ่มต้นกันด้วยการเดินทางเหมือนเคยนะครับ คราวนี้ผมนั่งรถไฟจากลอนดอนที่สถานี London Paddington ซึ่งถ้าใครจะเดินทางจากลอนดอนออกไปทางตะวันตกทาง Bristol Bath หรือเลยไปถึง Wales ส่วนใหญ่ก็จะต้องมาขึ้นรถไฟที่นี่นะครับ ส่วนจุดหมายปลายทางของเราวันนี้อยู่ที่สถานี Bath Spa ซึ่งเป็นสถานีรถไฟประจำเมือง Bath ใช้เวลาเดินทางจาก London ประมาณชั่วโมงครึ่งว่งนค่าตั๋วคราวนี้อยู่ที่ 7.9 ปอนด์ซึ่งเป็นราคาที่หักส่วนลดจากบัตร 16-25 Railcard แล้ว ก็ถือว่าถูกพอสมควรเลยครับ
ลงจากรถไฟมาถึงเมือง Bath สถานที่แรกที่ไปก็คือร้านขนมปังร้านดัง Sally Lunn Bunn ซึ่งเป็นร้านที่เก่าแก่ร้านนึงของเมือง Bath ตอนแรกด้วยความที่ไม่เคยทานร้านนี้ผมเลยหลงทางเดินหาร้านไม่เจออยู่พักใหญ่ๆ หลังจากเดินวนไปวนมาอยู่หลายรอบเลยตัดสินใจถามคนแถวนั้นซึ่งปรากฏว่าคนท้อง ถิ่นที่นี่ใจดีมากกกกก คือนอกจากจะบอกทางไปร้านอย่างละเอียด(มาก)แล้วยังแนะนำร้านอาหารสำหรับมื้อ เย็นมาให้อีก เท่านั้นไม่พอแกยังบอกด้วยว่าให้บอกเจ้าของร้านว่าแกแนะนำมาจะได้ส่วนลดด้วย นะเออ อะไรจะดีปานนั้น (แอบสงสัยว่าลุงแกเป็นหน้าม้ารึป่าว ฮาฮา) กลับมาที่ร้าน Sally Lunn ร้านนี้เริ่มกิจการมาตั้งแต่ช่วงปี 1600 นู้นนานแค่ไหนลองบวกลบคูณหารกันดูละกัน เมนูที่เป็น Signature ของร้านนี้ก็เป็นขนมปังหน้าต่างๆ ซึ่งเท่าที่ได้ลองผมยกให้หน้า Ginger Butter อร่อยที่สุดด้วยขนมปังที่นุ่มเนียน และกลิ่นหอม Butter ผสมกับกลิ่นของ Ginger จางๆ ส่วนหน้า Cinnamon Butter ที่หลายๆคนชอบสำหรับผมคือมันก็ดีอะครับ แต่ผมไม่ค่อยถูกกับกลิ่น Cinnamon ก็เลยค่อนข้างจะเฉยๆ กับเมนูนี้ โดยรวมแล้วร้านนี้ก็เป็นร้านที่เหมาะกับมานั่งจิบชายามบ่ายในอารมณ์คล้ายๆ กับ afternoon tea แต่ถ้าถามว่าต้องมามั๊ยผมว่าก็ไม่ถึงขนาดนั้นนะครับ ประมาณว่ามาก็ดีแต่ถ้าไม่ได้มาก็ไม่ได้เสียหายอะไร
หลัง จากอิ่มท้องแล้วเราก็ไปลุยตัวเมือง Bath กันต่อครับ จริงๆแล้ว Bath นี่เป็นเมืองเล็กๆ เดินวันเดียวก็ทั่วทั้งเมืองแล้ว สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ก็เลยอยู่รวมกันเป็นกระจุกๆ สามารถเดินถึงกันได้หมดเรียกได้ว่าสามารถเดินเที่ยวได้สบายๆไม่ต้องง้อรถ ยนต์เลยครับ ที่แรกที่เราจะไปก็คือ Bath Abbey ซึ่งเป็นวิหารซึ่งตั้งอยู่กลางเมือง Bath ไฮไลท์ของที่นี่ก็คือ Tower Tour ซึ่งเพื่อนๆ จะได้มีโอกาสขึ้นไปบน Tower ของ Bath Abbey เพื่อชมวิวของเมือง Bath จากมุมสูงนอกจากนั้นเรายังจะได้ชมกลไกการทำงานของหอนาฬิกาที่อยู่ด้านบนของ ตัววิหารด้วย สำหรับใครที่อยากเก็บภาพหรือชมวิวจากมุมสูงของเมือง Bath ที่นี่เป็นตัวเลือกที่เหมาะมากๆ เลยครับ ค่าเข้าชม tower จะอยู่ที่ 6 ปอนด์ (ไม่มีส่วนลด) ระหว่างการทัวร์ก็จะมีไกด์คอยนำทางรวมถึงเล่าประวัติต่างๆ ของตัววิหารและหอนาฬิกาให้เราฟังไปพลางๆด้วยครับ ใครที่สนใจผมมีคำแนะนำนิดนึงว่าที่นี่ต้องเดินขึ้นบันไดทั้งหมด 200 กว่าขั้นซึ่งแต่ละขั้นก็ชันพอสมควรเพราะฉะนั้นที่นี่คงจะไม่เหมาะสำหรับผู้ สูงอายุเท่าไหร่ครับ
ต่อ มาผมก็เดินออกจากบริเวณกลางเมือง Bath ออกไปเดินเล่นที่ Pulteny Bridge ซึ่งจริงๆ แล้วบริเวณรอบๆ Bath Abbey ยังมีสถานที่สำคัญอีกที่นึงคือ The Roman Bath ซึ่งเป็นโรงอาบน้ำที่ชาวโรมันได้สร้างไว้ในตอนที่ยกพลขึ้นเกาะอังกฤษ (รวมถึงสถานที่หลายๆ แห่งในเมือง Bath ก็เป็นฝีมือการสร้างของชาวโรมัน) ตั้งแต่สมัยที่ชาวอังกฤษยังเป็นแค่ชาวเกาะธรรมดาๆนู่น และโรงอาบน้ำแห่งก็เป็นที่มาของชื่อเมือง Bath ซึ่งแปลตรงตัวว่าอ่างอาบน้ำนั่นเอง เรียกได้ว่าถ้าใครมาถึงเมือง Bath แล้วไม่เข้าไปดูก็เหมือนมาไม่ถึงนะครับ ส่วนผมตอนมาครั้งที่แล้วเคยดูไปแล้ว ครั้งนี้เลยขอผ่านครับ กลับมาที่ Pulteney Bridge สะพานนี้เป็นสะพานเล็กๆ ที่สร้างข้ามน้ำ Avon โดยจุดเด่นจะอยู่ที่สองข้างทางจะมีร้านค้าสร้างขนาบไปตลอดทาง ซึ่งสำหรับผมมันเหมือนเป็นถนนธรรมดาๆ เส้นนึงมากกว่าเพราะตอนเราอยู่บนสะพานเราจะมองไปเห็นแม่น้ำด้านล่างเพราะ ถูกร้านค้ารอบๆ บังไปหมด
หลัง จากเดินเล่นถ่ายรูปรอบๆเมืองจนมืดแล้วก็ถึงเวลาที่ต้องเข้าที่พักซึ่งคราว นี้ผมยังใช้บริการ Hostel เหมือนเดิมครับ โดย Hostel ที่ผมเข้าพักคืนนี้มีชื่อว่า St’Christopher Hostel ซึ่งจองออนไลน์มาในราคา 13 ปอนด์ มาตรฐานก็เหมือน Hostel ทั่วๆ ไปครับ ห้องนอนรวม (ประมาณ10คน) ห้องน้ำรวม แต่ข้อดีของที่นี่ก็คือทำเลที่ตั้งครับ เพราะตั้งอยู่ใจกลางเมืองเลย เดินจากบริเวณ The Roman Bath มาแค่ประมาณ 10 นาทีก็ถึงแล้วสะดวกมากๆเลยนอกจากนั้นยังมีอาหารเช้าให้ด้วย ตรงนี้สำหรับผมชอบมากๆเพราะประหยัดไปอย่างน้อยๆ ก็ 3-5 ปอนด์แถมไม่ต้องเสียเวลาไปหาอาหารเช้าทานด้วย
วัน ที่สองหลังจากจัดการกับอาหารเช้าเสร็จผมออกไป The Circus กับ The Royal Crescent ซึ่งเป็นกลุ่มอาคารที่ออกแบบโดยสองพ่อลูก John Wood (คือ พ่อกับลูกมีชื่อเดียวกัน งงมั๊ย) โดย John Wood ผู้พ่อเป็นคนออกแบบ The Circus ซึ่งเป็นกลุ่มอาคารที่สร้างเป็นรูปวงกลมโดยมีต้นไม้ขนาดใหญ่(มาก)อยู่ตรง กลาง ส่วน Royal Crescent เป็นผลงานของ John Wood คนลูก ซึ่งมาในเวอร์ชั้นของกลุ่มอาคารรูปพระจันทร์เสี้ยวที่ใหญ่กว่า The Circus มาก เรียกว่าถ้าจะถ่ายรูปของ Royal Crescent ให้ได้เต็มเฟรมนี่ต้องถอยกันยาวเลย สำหรับใครที่สนใจจะมาชมทั้ง The Circus และ The Royal Crescent ก็เดินมาได้เหมือนเดิมครับโดยเดินจากบริเวณกลางเมืองมาประมาณ 15 นาทีครับ ซึ่ง The Circus จะถึงก่อนแล้วเดินต่อมาอีกนิดก็จะเป็น The Royal Crescent ครับ ซึ่งทั้งสองที่ก็เป็นสถานที่ที่สามารถถ่ายรูปได้เพลินๆ ดีครับ
ความจริงแล้วเมือง Bath ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆนอกเหนือจากนี้อีกนะครับ อย่างเช่นถ้าใครอยากลงแช่น้ำก็มีอยู่ 2-3 ที่ที่ให้บริการด้านนี้ ซึ่งเท่าที่รู้ก็จะมี Thermae Bath Spa โดยมีค่าบริการอยู่ที่ประมาณ 27ปอนด์ต่อสองชั่วโมงครับ
นอก จากนั้นก็ยังมี Park มีผับ และอีกหลายๆ อย่าง เรียกว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีครบนะครับ สำหรับผมแล้วใครที่มาอังกฤษแล้วยังไม่เคยมาเมือง Bath ก็แนะนำให้มาเป็นอย่างยิ่งเลยครับ เพราะเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ด้วยกลิ่นอายของ Roman มีกิจกรรมให้ทำที่หลากหลาก และผู้คนที่เป็นมิตรครับ สำหรับคราวหน้าเราจะขึ้นเหนือไปตะลุย Scotland กันบ้าง ยังไงก็ติดตามกันต่อนะครับ สำหรับคราวนี้ก็ขอลาไว้เท่านี้ จนกว่าจะได้พบกันใหม่ บ๊ายบาย