Hands On Education Consultants

เลือกเมือง สำคัญพอๆ กับเลือกคอร์สเรียน

จะทำการใหญ่ ใจต้องนิ่ง!

เห็นใครๆ ก็เล่าถึงความกรุบกริบของการได้เรียนต่างประเทศกันมาแล้ว ลองมาดูเรื่องราวที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อการเตรียมใจก่อนมาเรียนกันบ้างเนอะ (ถ้าคาดหวังว่าจะได้อ่าน ‘how to’ article ต้องขออภัยไว้เลย เราเล่าจากประสบการณ์ล้วนๆ ฮ่าๆ)

ขอแนะนำตัวก่อนนะคะ ชื่อ อั๋น ตอนนี้เรียนหลักสูตร MA in Art and Project Management อยู่ที่ Birmingham City University ค่ะ

มันเป็นอย่างที่เค้าบอกกันนั่นแหละค่ะ ว่า เมือง ที่เลือก สำคัญพอๆ กับคอร์ส ที่ตัดสินใจมาเรียน บางคนเลือกที่จะโฟกัสเมืองที่ชอบก่อน บางคนมีธงเรื่องคอร์สหรือมหา’ลัยอยู่แล้วก็ตามสะดวกกันไป

ส่วนตัวเรานั้น… ไม่ได้มี มหา’ลัยในฝัน หรือ เมืองในฝัน ทั้งนั้นค่ะ ฮ่าๆๆๆ ตอนที่เริ่มคิดจะมาเรียน ก็ปรึกษาพี่ๆ Hands On ด้วยการบอก keywords ว่า “พี่คะ หนูอยากเรียน manage แต่ไม่อยากไปเชิงธุรกิจจ๋าๆ อะพี่ อยากไปทาง Art management หรืออะไรทำนองนั้น” และสิ่งที่ได้มาก็คือ list ของมหาวิทยาลัยที่พอจะมีคอร์สเข้าเกณฑ์ (และ keyword) ที่เราได้บอกไป หลังจากนั้นก็ท่องโลกอินเตอร์เน็ตอย่างบ้าคลั่งค่ะ ไปดูรายละเอียดคอร์ส ดูชื่อมหา’ลัย ดู ranking แล้วคุยกับตัวเองว่า เราจะโฟกัสที่ตัว course title กับ course structure/content (เรียนอะไรบ้าง) แล้วกัน จนในทีสุดก็เลือกมา 2-3 ที่ และในที่สุดแล้ว ก็มาจบที่ BCU แห่งนี้ ด้วยเหตุผลประหลาดๆ (เพราะเป็น offer แรกที่ตอบมา และต้องรีบจ่าย deposit นั่นเอง… แต่ๆๆ ตัวเนื้อหาคอร์สเป็นสิ่งที่เราอยากเรียนนะ)

เอาล่ะค่ะ เข้าสู่สาระของกระทู้นี้ (แล้วที่ผ่านมาคืออะไร) ว่าด้วยเรื่องการเตรียมตัว(เตรียมใจมากกว่า) ก่อนจะไปเรียนต่างบ้านต่างเมืองต่างประเทศต่างดาว (ไกลไป)

สำหรับคนที่มีจิตใจเข้มแข็งดุจหินผา ท่านจะก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงมั่นใจค่ะ ไม่ต้องห่วง แต่ใครที่อาจจะมีกังวลเรื่องไม่เคยมีประสบการณ์ไปเรียนเมืองนอก ไม่เคยไปโครงการแลกเปลี่ยน ไม่เคยไป work and travel เรียกได้ว่าไม่เคยไปใช้ชีวิตเมืองนอกด้วยตัวเองลำพัง มันอาจจะเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่แบบกระทบ safe zone ทุกอย่างที่เคยชินเวลาอยู่บ้าน (อย่างเราเอง) มี 2 สิ่งที่เราอยากจะสะกิดให้ลองคิดดู คือ!

1. เช็ครายละเอียดหลักสูตรที่เลือกดีๆ นะคะ จริงๆ เราว่าข้อนี้ไม่น่าต้องเขียน แต่เพราะมันเกิดขึ้นกับเราเลยมาบอก สิ่งที่เราหมายถึงคือ “ตารางเรียน” ซึ่งก่อนมาตารางยังไม่ออกหรอกค่ะ แต่สิ่งที่เราน่าจะถามกับทางคณะที่เลือกสักหน่อย คือ “ปกติเรียนเวลาไหนบ้าง”
ในกรณีของเรา สิ่งที่เราไม่ได้ถามคือ “มีคลาสเรียนตอนกลางวันมั้ยคะ” …… งงสินะคะ …ใช่ค่ะ ตาม common sense เราคงไม่คิดว่านี่จะเป็นคำถามที่ต้องถาม เนื่องจากเราเลือกเรียน full-time เราก็คาดหวังว่าเราเรียนตอนกลางวันใช่มั้ย หรืออย่างน้อยจะมีเรียนเย็นๆ บ้างก็เป็นบางวิชาที่สอนโดยอาจารย์พิเศษนอกมหา’ลัย ทำให้ต้องเราอาจารย์เค้าเลิกงานก่อน

แต่สิ่งที่เราเจอนั้น คือตารางเรียนที่มีแค่ช่วง 5pm-9.15pm
คดีพลิกเลยค่ะ ยอมรับว่าตอนที่เห็นตารางวัน induction เราเงิบมาก เราเงิบที่ทำไมไม่มีข้อมูลส่วนไหนบอกก่อน (ตั้งแต่ตอนสมัคร ตอนสัมภาษณ์ ใดๆ)เลยว่าคอร์สนี้มีแต่ตารางแบบนี้(คอร์สอื่นไม่เป็นนะคะ ก็เรียนกลางวัน มีเย็นบ้าง) กลายเป็นว่าใช้ชีวิตสลับเวลากับคนอื่นๆไปเลย อยากจะคิดว่าก็ดีเหมือนกัน ตอนกลางวันจะไปหางานพาร์ทไทม์ทำเก็บเงินหน่อย แต่มันไม่ง่ายขนาดนั้นแฮะ นอกจากจะมีข้อจำกัดทางวีซ่าแล้ว ต้นทุนทางภาษาก็มีไม่มาก แถมแค่อ่านหนังสือให้ทันทำการบ้านให้ได้ก็ลำบากแล้วค่ะ ฮ่าๆ แต่ก็ต้องปรับตัวกันไปค่ะ มาไกลขนาดนี้แล้ว ทำได้อย่างเดียวคือทำตัวทำใจให้เข้มแข็งแล้วผ่านไปให้ได้~!

สำหรับบางคนที่ไม่ซีเรียสเรื่องตาราง หรือการเลิกดึกหรือการเดินทางตอนกลางคืน ใดๆ คุณมีจิตใจที่แข็งแกร่งโอเคแล้วค่ะ

2. มีเพื่อนไปด้วยกันมั้ย จริงๆ ไปคนเดียวก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกค่ะ แต่ถ้ามีเพื่อนคนไทยด้วยกันสักคนสองคนไปเริ่มสิ่งใหม่ๆ พร้อมกัน มันจะช่วยให้มีความกล้าที่จะเริ่มทำหลายๆอย่างมากขึ้น เรียกว่าไปช่วยกันสำรวจช่วยกันหลงช่วยกันดูก็ได้ค่ะ ถ้ากลัวว่าอยู่กับคนไทยด้วยกันจะไม่ได้ฝึกภาษา …. เราอยากบอกว่ายังไงก็ต้องใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารกับชาวบ้านคนอื่นๆ ค่ะ จุดนี้พูดในบริบทของการเริ่มต้นชีวิตในที่ใหม่ แต่เรื่องการเปิดโอกาสให้ตัวเองได้ใช้ภาษาอังกฤษก็คงต้องขึ้นอยู่กับแต่ละคนเหมือนกันว่าจะเปิดแค่ไหน

แน่นอนว่า ถ้าเป็นสายลุย สายสำรวจโลกอยู่แล้ว การเริ่มต้นคงเป็นเรื่องสนุกและท้าทาย 😀

นี่เป็นสองสิ่งที่ค่อนข้างมีผลกับการใช้ชีวิตนักเรียนปริญญาโทที่นี่ของเรา (เรื่องเพื่อนมีผลแค่ตอนเริ่มต้นแหละค่ะ พอเราเริ่มปรับตัวได้เพื่อนจะกลายเป็นสีสันมากกว่า เราไม่ได้บอกว่าทุกคนต้องมีเพื่อนมาเรียนด้วยนะ แต่อยากให้สำรวจตัวเองดีๆ ดูว่าเราซีเรียสเรื่องอะไร แล้วพยายามหาทางลดความกังวลตรงนั้นก่อนมา)

จริงๆ แล้วการมาใช้ชีวิตที่นี่มันก็คือการรับผิดชอบตัวเองนั่นแหละค่ะ ทุกอย่างที่เราไม่ได้คาดหวังมันเกิดขึ้นได้เสมอ ตัวเราเองนี่แหละที่ต้องจัดการความคิด จัดเวลาชีวิต แล้วลุยไปให้ถึงที่สุดค่ะ 😀