สวัสดีค่ะ เราตาณเอง และนี่ก็คือบล็อกสุดท้ายของเราแล้ว (อยากให้เขียนต่อก็ไปแจ้ง Hands On นะ ฮา) เราเพิ่งส่งงานชิ้นสุดท้ายสำหรับ MSc Entrepreneurship and Innovation ที่ The University of Edinburgh Business School ไปนี่เอง ช่างเป็นเดือนที่วุ่นวายอะไรอย่างนี้ แค่ทำ Dissertation ให้เสร็จก็ว่าเหนื่อยแล้ว การใช้ชีวิตในเดือนสุดท้ายยิ่งหน่วงกว่าเพราะ…เพราะ…มันเป็นเดือนสุดท้าย!! ต้องให้อธิบายอะไรอีกหรือ ดังนั้นถ้ายังมีอะไรที่เรายังไม่ได้ทำ เราก็ต้องอัดมันเข้าไปในเดือนนี้นั่นแหละ
และนี่ก็เป็นบางสิ่งที่เราตั้งเป้าไว้ว่าจะทำในเดือนนี้สำเร็จแบบร้อยเปอร์เซ็นต์บ้าง สำเร็จแบบครึ่งๆ กลางๆ บ้าง แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็คือเดือนสิงหาฯ ที่สนุกที่สุดเดือนหนึ่งในชีวิตเรา
-
สัมผัสบรรยากาศความเป็นฟรินจ์ (Fringe Festival)
(เป็นนักเรียนได้ส่วนลดซื้อตั๋วโชว์ด้วยนะ)
เทศกาล Fringe ที่เอดินบะระคือเทศกาลโชว์ศิลปวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก (เอ้าตบมือ) ซึ่งเดือนสิงหาคมนี่แหละจะเป็นเดือนที่ Fringe ยึดครองเอดินบะระอย่างสมบูรณ์แบบ เป็นเดือนเดียวที่ประชากรจะล้นเหมือนรถไฟฟ้าช่วงเวลาเร่งด่วน มองไปทางไหนก็มีแต่หัวคนๆๆ โปสเตอร์โชว์ๆๆ คนแจกใบปลิวโชว์ๆๆ ซึ่งแน่นอนว่ามันต้องมีอย่างน้อยหนึ่งโชว์แหละที่เตะตา เราใช้วิธีจองตั๋วในเน็ตแล้วไปรับตั๋วที่บูธขายตั๋วซึ่งกระจายอยู่ทั่วเมือง สำหรับนักเรียนเค้ามีส่วนลดด้วย นี่แหละข้อดีของความเป็นนักเรียน (ว่าแล้วก็ขอหาเรื่องเรียนต่อได้มั้ย) นอกจากนี้ตามตัวเมืองก็จะมีการตั้งลานขายของกินเยอะแยะมากมาย ในตัวมหา’ลัยเราก็มีนะเออ อย่างสวน George Square ในมหา’ลัยก็เต็มไปด้วยบูธอาหารและโต๊ะทานข้าว เป็นเดือนที่ George Square สวยและน่าสนใจที่สุดละ
(เมื่อสวนมหา’ลัยกลายเป็นดงปิกนิก ดงสตรีตฟู้ด และลานเบียร์)
-
เดินถนน Royal Mile ในเดือนที่คนเยอะที่สุด
ต่อเนื่องจากข้อที่แล้ว ความ Fringe ดลบันดาลให้ถนนนักท่องเที่ยวอย่าง Royal Mile มีคนแน่นขนัดอย่างที่ไม่เคยเป็นในเดือนไหนๆ เพราะมันไม่ได้มีแค่คนเดินน่ะสิ มันมีโชว์ฟรีด้วย! คนก็ยืนมุงกันสิ คนก็แน่นไปสิ เรียกได้ว่าคึกคักที่สุดในรอบปี เพราะปกติถนนเส้นนี้ถ้าไม่ใช่หน้าท่องเที่ยวก็จะไม่ได้มีคนครึกครื้นอะไรมากมาย แยกย้ายกลับบ้านตามประสา แต่เดือนนี้นี่แม้กระทั่งตอนกลางค่ำกลางคืนก็ยังเฮฮา บูธอาหารมากมายก็ตั้งไว้เซอร์วิสผู้คน เรียกได้ว่าถ้าไม่มาเดิน Royal Mile ในเดือนนี้นี่คือพลาดจริงๆ
-
พิชิต Pentland Hills
(แด่ความเวิ้งว้างนี้)
ใครๆ เค้าก็ไป Arther’s Seat กันแหม่ เพราะมันอยู่ในตัวเมืองไง มาเที่ยวเอดินบะระแป๊บๆ ก็สามารถขึ้นไปลองพิชิตได้ แต่ถ้าอยากไปเจอความหฤโหดที่ยาวนาวกว่า เหนื่อยกว่า และอ้างว้างกว่า (เขียนไปเขียนมาเริ่มฟังดูแย่) แนะนำให้ไป Pentland Hills ฮ่ะ นั่งรถบัสออกจากตัวเมืองมาประมาณ 30 นาทีเห็นจะได้ หากมาที่แห่งนี้คุณจะรู้สึกเหมือนขึ้นไป Highlands ทั้งๆ ที่แท้จริงแล้วก็ยังอยู่แถวๆ เอดินบะระนี่แหละ มองไปทางไหนก็เห็นแต่ภูเขา ทุ่งหญ้า ธรรมชาติสุดลูกหูลูกตา แต่หากมองลงมาจากเขาก็จะได้วิวเมืองแบบพาโนรามาสามร้อยหกสิบองศา ให้ฟีลแบบ Arther’s Seat แต่สงบและคนน้อยกว่าอะ ต้องไปวันที่อากาศดีๆ ด้วยนะ (พูดเหมือนอากาศที่นี่เดาง่ายเนอะ) เพราะถ้าเจอฝนตกหนักลมแรงพัดปลิวคงไม่โอเคแถมอาจจะยังเจออุบัติเหตุ แต่ถ้าร้อนไปก็คงเหงื่อซ่กให้ฟีลแบบอยู่เมืองไทย ไม่หนุกๆ
(ตอนที่เราไปมีทุ่งม่วงๆ นี่เต็มไปหมด)
(คนน้อยแบบที่จะไม่มีทางเจอ ณ Arther’s Seat)
-
ตะลุยกินร้านที่ยังไม่ได้ไป เมนูที่ยังไม่ได้ลอง
(เป็น Smoothie Bowl ที่สวยที่สุดที่เคยกินมา @ Pumpkin Brown)
เป็นอีกหนึ่งภารกิจสำคัญของเรา เราต้องให้ความสำคัญกับเรื่องกิน!! เราอยากลองหลายเมนูจากหลายร้านมากๆ ต้องทำลิสต์ในอินสตาแกรมเอาไว้ว่ามีจานไหนที่ยังไม่ได้โดน ซึ่งเอาเข้าจริงก็เก็บได้ไม่หมดเพราะเดือนเดียวมันก็แป๊บๆ แถมลิสต์อาหารก็เยอะมาก (ไว้มาต่อตอนรับปริญญารอบหน้าละกัน) นั่นคงเป็นเพราะก่อนหน้านี้ช่วงที่ยังเรียน เราไม่ค่อยได้ออกไปทานข้างนอกเพราะไม่สะดวกเท่าไร ชีวิตช่วงนั้นคือวนๆ กับมหา’ลัยไง ไปไหนไกลไม่ได้ T.T แต่ช่วงหลังๆ คือเริ่มอิสระละ อยากไปนั่งทำงานกินขนมที่ไหนก็ไปเลย
(เบอร์เกอร์วีแกนมีไส้เป็นขนุน ครีเอทีฟไปอีก @ Holy Cow)
-
เก็บแต้มร้านกาแฟท้องถิ่น
(เหลือตราปั๊มอีกร้านเดียวเองอะ รอบหน้าต้องจัด)
ความคัลท์ของร้านกาแฟที่นี่คือเค้าแท็กทีมกันดึงลูกค้าละ โดยมี 7 ร้านที่เข้าร่วมโปรแกรมบัตร Disloyalty ซึ่งเป็นบัตรที่ให้ลูกค้าเก็บแต้มทุกๆ ครั้งที่ใช้จ่าย แต่ไม่ใช่จากร้านเดิมนะ ต้องเป็นร้านอื่นๆ ในเครือ เมื่อประทับตราครบทุกร้านก็จะได้เครื่องดื่มฟรีจากร้านไหนก็ได้ ประมาณว่าต้องไปเยือนทั้ง 7 ร้านอะถึงจะได้กาแฟฟรีหนึ่งแก้ว เราว่าเป็นไอเดียที่โคตรเข้าท่าอะ สำหรับเราในฐานะลูกค้าคือมันก็ไม่เบื่อไง ได้ลองร้านใหม่ๆ นี่ขนาดเรามาอยู่หนึ่งปีแล้วก็ยังเก็บไม่ครบเจ็ดร้าน (ไม่รู้มัวไปทำอะไรอยู่ จริงๆ ถ้าตั้งใจก็เก็บหมดละ) เหลืออีกหนึ่งร้าน เอาไว้รอบหน้าละกัน
(ร้าน Baba Budan หนึ่งในพันธมิตรร่วมบัตร ร้านอยู่ใกล้ๆ สถานีรถไฟเลย)
-
แกะสูตรอาหารร้านโปรด
(นี่ข้าวโอ๊ตหรืองานศิลปะเนี่ย ฮือๆๆ)
ข้าวต้มที่ทำจากข้าวโอ๊ตเป็นหนึ่งในอาหารหลักของที่นี่ เรามีข้าวโอ๊ตร้านโปรดร้านหนึ่งที่เราติดตามเค้าเกือบจะตลอดไม่ว่าจะไปออกบูธที่ไหน เป็นร้าน pop-up ชื่อ Groats ซึ่งจะแวะเวียนไปเปิดบูธตามที่ต่างๆ ใครสนใจลองไปฟอลไอจีได้ฮ่ะ เราไปอุดหนุนหลายรอบเพราะติดใจในรสชาติที่อร่อยโพดๆ ไม่มีที่ไหนเหมือน เลยคิดว่าแบบ เฮ้ย ถ้าทำข้าวโอ๊ตรสชาติแบบนี้ได้คงวิเศษ เราเลยลองชิมไปเรื่อยๆ และแอบสังเกตว่าคนขายใส่เครื่องปรุงอะไรไปบ้าง จากนั้นก็ใช้โอกาสที่ยังอยู่เอดินบะระ ซึ่งเรายังจำรสชาติได้ ยังหาซื้อวัตถุดิบเดียวกันได้นี่แหละลองทำดู ผลปรากฏว่าสำเร็จด้วยเฮ้ย ทีนี้แหละเราก็จะกลับไปทำที่บ้านได้ แม้จะไม่เหมือนเป๊ะก็เถอะเพราะนมอัลมอนด์ยี่ห้อ Rude Health ที่เค้าใช้นั้นไม่มีขายในเมืองไทย แต่เราว่าปรับเปลี่ยนใส่นู้นเติมนี่แทนนิดหน่อยก็น่าจะโอ
(โฮมเมดโดยเราเองงง ท็อปปิ้งตามใจอยาก แต่ตัวข้าวโอ๊ตรสเหมือนต้นตำรับเลย)
-
แจกจ่ายข้าวของให้คนที่ยังอยู่ต่อ
(ทั้งกองนี้ยกให้เพื่อนที่อยู่ต่อ)
มาอยู่หนึ่งปีก็ต้องมีสัมภารก เอ่อ สัมภาระมากมายเป็นธรรมดา แต่จะให้ขนกลับหมดก็อาจจะไม่สะดวกเท่าไร (ถึงอย่างนั้นเราก็ขนส่วนใหญ่กลับอยู่ดี งก) อะไรที่เราไม่อยากขนกลับ หรือไม่สะดวกที่จะขนกลับ เราสามารถยกให้เพื่อน แจกจ่ายหรือขายให้คนที่นี่ได้ ถึงเวลาแล้วที่เราจะได้ใช้งานกลุ่มเฟซบุ๊กที่กดเข้าร่วมเป็นสมาชิกมานานแต่ไม่เคยมีส่วนร่วมกับชาวบ้าน เราใช้กลุ่มเฟซบุ๊ก Get Rid of It Edinburgh (กลุ่มซื้อขาย), The Meadows Share (กลุ่มแลกเปลี่ยนของ), Food Sharing Edinburgh (กลุ่มแลกเปลี่ยนอาหาร) และ Marketplace ในเฟซบุ๊กเพื่อการนี้ ในทางกลับกัน ใครที่มาเอดินบะระใหม่ๆ แล้วกำลังหาเฟอร์นิเจอร์ ข้าวของเครื่องใช้ ก็สามารถเข้าร่วมกลุ่มพวกนี้ได้นะ มีข้าวของราคาย่อมเยา (แม้กระทั่งฟรี) ให้สอยเยอะมาก หรือจะไปร้านราคาย่อมเยา เช่น Poundsavers หรือ Edinburgh Bargain Stores ก็ได้ ราคาถูกกว่าในตัวเมืองหรือในห้างเยอะ และในร้านก็มีของเยอะมากชนิดที่ว่าไปร้านเดียวได้ของตั้งแต่ใช้ในห้องน้ำยันห้องครัว ดังนั้นไม่จำเป็นต้องหอบของใช้มาจากเมืองไทยก็ได้ถ้าไม่อยาก เพราะที่นี่มีหมดแหละ
(ร้านแดงๆ นั่นแหละ Edinburgh Bargain Stores อยู่ใกล้ Business School ด้วย ขาดเหลือของใช้อะไรพุ่งมาพิกัดนี้เลย)
และนี่ก็คือทั้งหมดทั้งมวลที่เราสามารถยัดเข้าไปได้ในเดือนสุดท้ายอันน้อยนิด เพราะอยู่ไม่ถึงเดือนด้วยเหอะมันเลยสั้น (เราออกจากหอเมื่อวันที่ 25 สิงหาฯ) นอกจากภารกิจเที่ยวยังมีภารกิจแพ็กของเอย ส่งงานเอยอีก เป็นอีกเดือนที่บีบคั้นทั้งทางกายและใจจริงๆ แต่ก็นั่นแหละ เราว่ามันเป็นการปิดฉากชีวิต ณ เอดินบะระที่น่าพอใจแล้วสำหรับเรา
หวังว่าใครก็ตามที่ได้มาเรียนต่างประเทศ หรือกำลังจะเรียนจบจากต่างประเทศจะมีเดือนสุดท้ายที่น่าประทับใจเหมือนเรา : )
สนใจเรียนต่อ University of Edinburgh ลงทะเบียนเพื่อรับข้อมูลเรียนต่อและคำปรึกษาจากพี่ๆ Hands On ตัวแทนมหาวิทยาลัยอย่างเป็นทางการประจำประเทศไทย ฟรี คลิก