เรียน Art Management ที่ Birmingham City University
สวัสดี (อีกครั้ง) ค่ะ ชื่อ อั๋น นะคะ (ต้องแนะนำตัวซ้ำมั้ยนะ… ไม่เป็นไร ย้ำไปเรื่อยๆ) อย่างที่ได้บอกไปว่า ตอนนี้เรากำลังเรียนปริญญาโท MA in Art and Project Management อยู่ที่ Birmingham City University หลายคนอาจจะไม่ค่อยคุ้นหรือไม่ค่อยเจอใครที่เรียนคอร์สประมาณนี้ (เดาเอาเอง เพราะตั้งแต่มาก็ไม่มีคนไทยเรียนคอร์สนี้เลย เปล่าเปลี่ยวเหลือเกินค่ะ ฮ่าๆ) ซึ่งก็อาจจะนำมาซึ่งความสงสัยว่า เรียนอะไร เรียนทำไม เอามาทำอะไรเหรอ…. นั่นน่ะสิคะ!!?
เอาจริงๆ ว่า ตอนแรกก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะว่าคอร์สแบบนี้เค้าเรียนอะไร เพราะสิ่งที่คุยกับตัวเองไว้คือ อยากเรียน manage แต่ไม่เอา business ไม่เอาเลข เพราะตกเลขมาโดยตลอด (โชว์ห่วยไปอีกคนเรา) และสนใจศิลปะเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว
พอเริ่มไปหาข้อมูลว่า Art Management เค้าทำอะไรกัน …ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดีค่ะ (อ้าววว) แล้วยังไปเจอคอร์สบ้านพี่เมืองน้องอย่าง Design Management (ซึ่งอาจจะคุ้นหูคุ้นตากันมากกว่า) เราก็คิดว่า เฮ้ย เหมือนกันแหละ แต่จริงๆ แล้ว มันมีความทับซ้อนกันแค่บางจุดค่ะ
ตามความเข้าใจของเรา Design Management จะ base on art ในเชิงพาณิชย์ ส่วน Art Management (ตามสิ่งที่เจอมานะคะ ต่างมหา’ลัยต่างหลักสูตรก็อาจจะมีเนื้อหาไม่เหมือนกันซะทีเดียว) base on art and cultural context ค่ะ พูดง่ายๆก็คือ ตบไปทาง manage product หรือ project ในสาย Fine Art มากกว่า
ถ้าถามว่าคอร์สนี้ตรงตามความคาดหวังเรามั้ย …. จากใจว่า.. ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ ถึงตอนนี้ เปิดเทอมมาได้ประมาณเดือนครึ่ง แต่ทุกสิ่งเข้มข้นมาก (ทั้งเนื้อหาวิชา ตัวโปรเจคที่ต้องคิดและวางแผน รวมไปถึงปริมาณมหาศาลของสิ่งที่ต้องอ่าน) เราต้องพยายาม catch up ทุกอย่าง จนไม่ทันได้คุยกับตัวเองว่ารู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่เรียน (อารมณ์ว่าข้อมูลแน่นมากจนย่อยไม่ทัน) รู้แต่ว่า มันน่าสนใจ ที่นี่มีมุมมองต่อความสำคัญของศิลปะและกระบวนการจัดการศิลปะที่จริงจังและ เป็นระบบมาก
เกือบทุกสิ่งคือใหม่สำหรับเรา จาก keyword ว่าจะมาเรียน manage เราก็หวังว่าจะได้มาเรียนรู้ process ที่นอกเหนือจากสาย production ที่เคยมีประสบการณ์มานิดหน่อย (จบตรีด้านวิทยุโทรทัศน์มาค่ะ) อ้าา~! ถ้าพูดแบบนี้ คอร์สนี้ก็ตอบโจทย์มากค่ะ เพราะตอนนี้เราเจอทั้งตลาด (Strategic Marketing for the Arts) ไปจนถึงระดับนโยบายขององค์กรต่างๆ เกี่ยวกับศิลปะ (Art Policy and Cultural Planning)
ถ้าจะให้ย่อยเป็นภาษาง่ายๆ ก็คือ เราเรียนว่า จะจัดการสื่อสาร “ศิลปะ” ทั้งที่เป็น product และ service ให้ออกไปสู่ผู้รับสาร หรือ audience อย่างไรให้ effective เพราะไม่ใช่ว่า อยากมีโปรเจคศิลปะ (เช่น อยากจัด workshop ศิลปะสำหรับเด็ก) แล้วจ้าง organizer จัดเป็น event แล้วก็จบ จริงๆ มันมีอีกหลายขั้นตอนมากค่ะ และ process ของการวางแผนว่าจะทำอย่างไรกับความคิดนั้น จะทำอย่างไรในการส่งต่อไปถึงผู้รับสาร รวมไปถึงการเก็บข้อมูลและประเมินผลโปรเจคนั้นๆ นั่นคือส่วนของ “Art Management” นั่นเองค่ะ
ซึ่งเราต้องดูตั้งแต่เรื่องนโยบายเกี่ยวกับศิลปะในพื้นที่นั้นๆ ว่าโครงการลักษณะไหนมีเกณฑ์จะได้รับการสนับสนุน และโครงการนั้นๆ จะมีประโยชน์ต่อคนในสังคมอย่างไร (เช่นตอนนี้ก็คือดูที่นโยบายเกี่ยวกับศิลปะของประเทศอังกฤษ) ….ฟังดูไม่น่าสนุกใช่มั้ยคะ สำหรับมนุษย์โปรดักชั่นอย่างเรา ถือว่าไม่ค่อยสนุกค่ะ ยากด้วย แต่ย้ำว่าน่าสนใจนะคะ ฮ่าๆ แล้วเราก็เชื่อว่า การได้ฝึกมองและวิเคราะห์สิ่งเหล่านี้จะเป็นทักษะที่ไปประยุกต์ได้กับทุก project ในอนาคต
สำหรับเรื่องวิธีการเรียนนั้น ด้วยความที่ base ไปทาง Fine Art คนเรียนจึงไม่เยอะเหมือนพวกคอร์ส MBA หรือ Finance หรือคอร์สอื่นๆ ที่คนเค้านิยมไปเรียนกัน ถึงเป็น lecture แต่ก็เป็น class เล็ก ไม่ค่อยเกิน 15 คน เป็น lecture กึ่ง seminar class มีการถูกถามให้ได้พูดกันกรุบกริบอยู่ตลอดค่ะ ส่วนห้องเรียนก็เล็กขนาดที่ว่าท้องร้องทีก็ได้ยินกันหมดล่ะค่ะตรงนั้น แต่ที่สำคัญก็คือ อาจารย์ค่อนข้างคาดหวังให้เราเตรียมตัวก่อนเริ่มคลาสนะ คือ ต้องอ่านหนังสือหรือบทความหรือข้อเขียนใดๆ ตามใน reading lists ของแต่ละวิชา.. ความตลกมันอยู่ตรงนี้แหละค่ะ แหะๆ (ขำเจื่อนๆ) เพราะเราไม่ได้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักใช่มั้ยคะ การต้องมานั่งอ่านหนังสือเป็นร้อยๆ หน้าเกือบทุกวันนี่ก็เรียกว่าใช้พลังน่าดูเลยค่ะ เปิดดิคฯ กันแบตแทบหมด ถามว่าอ่านทันมั้ย…ก็ไม่ค่อยทันอะค่ะ แต่ก็พยายามแบ่งเวลาให้อ่านได้ทุกวิชา
ถึงตรงนี้แล้ว คงต้องขอตัวไปอ่านหนังสือต่อก่อนนะคะ T T ไว้เจอกันใหม่โอกาสหน้า สวัสดีค่ะ อั๋น