เล่าสู่กันฟังกับการเรียน Art Management หนึ่งเทอมผ่านไป…ไวเหมือนโกหก

  • Share this:

สวัสดีอีกครั้งและอีกครั้งนะคะทุกคน ตอนนี้ เข้าสู่เทอมที่สองของการเรียนปริญญาโทของเราแล้วค่ะ (ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องที่จะเล่าเลยค่ะ แค่อยากบอก อยากระบาย ขอความเห็นใจ ตบไหล่เบาๆ แล้วบอกว่า ทำดีแล้ว พยายามต่อไปนะอั๋น ฮ่าๆ) มีเวลาปีเดียวนี่ทุกอย่างช่างเข้มข้นเหลือเกินนน จบไปเทอมนึงนี่ก็รู้สึกว่าผมร่วงไปเยอะละ ไม่รู้เพราะเครียดหรือน้ำที่นี่คลอรีนแรง ฮ่าๆๆ (เข้าเรื่องเถอะแก)

art management

Me at the front of School of Art, Margaret Street Campus

 

ครั้งนี้ เราตั้งใจจะมา…. เรียกว่าอะไรดี มาอัพเดทเรื่องราวการเรียน art management ให้อ่านเล่นๆ สักหน่อยแล้วกัน

ถ้าว่ากันด้วยสถิติที่ไม่เกี่ยวกับตัวเลข (อะไรของแก) และ based on ตัวเราล้วนๆ

เทอมที่หนึ่ง กินเวลาสามเดือนครึ่งโดยประมาณ

  • ระดับความกังวลและความเครียด: มากกว่าป.ตรีสี่ปีรวมกัน ฮ่าๆ (แค่เรานะ คนอื่นเค้าก็ไม่ได้ดูเจียนตายอะไร)
  • ปริมาณหนังสือและเทกซ์และบทความและข้อเขียนอื่นๆ ที่ต้องอ่าน: มากกว่าป.ตรีสี่ปีทุกวิชารวมกัน
  • ปริมาณงานที่ต้องส่ง (เป็นเล่มรายงาน) 3 โปรเจค ประกอบด้วยรายงาน 2500-3000 words 2ตัว และ 5000-6000 words 1 ตัว ไม่รวม bibliography and appendices
  • ปริมาณไอศกรีมที่หมดไปช่วงกลางดึกระหว่างทำงาน (จำเป็นต้องบอกมั้ยอั๋น เอาดีๆ): 10 quart (กระปุก) โดยประมาณ

 

เข้าสู่ช่วงสาระค่ะ (สักทีเถอะ)

ค่ะ… ตามชื่อบทความเลยค่ะ หนึ่งเทอมเร็วมากในความคิด เลคเชอร์ 10 weeks จบไปแบบงงๆ ว่า เอ๊ะ จะไม่มีเลคเชอร์แล้วเหรอ นี่เราได้ในสิ่งที่ควรได้รึยังนะ (ซึ่งจริงๆแล้วเนื้อหาล้นสมองดีดไปดีดมาอยู่พักใหญ่แล้ว) MA Art and Project Management ที่นี่ ไม่มีสอบนะคะ เก็บคะแนนจากโปรเจค 100% (ส่งเป็นเล่มรายงาน แต่จริงๆ ถ้าวิชาไหนอยากจะสร้างสรรค์รูปแบบอื่นก็ต่อรองกับอาจารย์ได้ค่ะ) เรียกได้ว่า ส่งปุ้งเดียว เจ็บทีเดียว ตายทีเดียว รู้เรื่อง (ยังๆ คะแนนยังไม่ออก) แต่ระหว่างทางก่อนจะส่งได้นี่ สภาพร่างกายและจิตใจเหมือนมีการสอบนับครั้งไม่ถ้วนเลยเชียว

[ย้ำอีกครั้งว่า art management ไม่เหมือน design management นะคะ สิ่งที่เราจับคือ ซิ้นละผะ~~ (ศิลปะ) ถึงสองคณะนี้จะวางแผนให้ product เหมือนกัน แต่ (เท่าที่ดูจากคนไทยที่เรียน) product ของ design management จะควบเรื่อง product design เข้าไป ส่วน product ของ art management จะเป็นพวกกิจกรรมที่เกี่ยวกับศิลปะทุกแขนง art museum, นิทรรศการศิลปะใน gallery, ละครเวที จะโรงเล็กหรือรัชดาลัยก็ว่าไป, เทศกาลศิลปะ ตัวอย่างในบ้านเราก็เช่น เทศกาลละครกรุงเทพ เป็นต้น]

คลาสเลคเชอร์คือการ equip นักเรียนด้วยทฤษฎีและ tools ที่จะต้องนำไปประยุกต์ใช้กับตัวโปรเจค (รายงาน) ของแต่ละคน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมีความ individual สูงมาก เพราะแต่ละคนมีความสนใจ มีหัวข้อที่อยากทำไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้น ตัวใครตัวมันนะฮ๊าาา โดยที่ระหว่างทางก็จะมีการ tutorial เป็นการส่งงานให้อาจารย์ดูเพื่ออัพเดทเดือนละครั้ง (เป็นรายบุคคล) เพื่อ discuss สิ่งที่เราพยายามจะทำ และรับ comment ไปปรับปรุงและพัฒนาก่อนจะส่งตัวเต็มในตอนสุดท้าย แน่นอนว่า อาจารย์ demanding พอตัวเลยค่ะ จบ tutorial แต่ละครั้งนี่เรียกได้ว่าเพลง ไกลแค่ไหนคือใกล้ ลอยมาตามลมทีเดียวเชียว

 

ด้วยความที่เรามี background ค่อนข้างต่างจากสิ่งที่มาเรียน เลยมีความกระเสือกกระสนอยู่เหมือนกัน เช่นว่า วิชา Strategic Marketing for the arts ซึ่งเป็นวิชาหลักของคอร์ส การเลือกว่าจะใช้ tools อะไร และจะใช้อย่างไร ในการเขียนแผนการตลาดให้ gallery แห่งหนึ่งของที่นี่ ออกตัวเอี๊ยดเลยว่า สำหรับเรานั้นนนนน มันไม่ง่ายยย แผนการตลาดอะไรก็ไม่เคยทำ เครื่องมือเยอะแยะมากมายที่ถูกใส่มาตอนเลคเชอร์ จะใช้อันไหนที่เหมาะกับงานเรา ซึ่งจะรู้ว่าเหมาะมั้ย เราก็ต้อง ทำความรู้จักและทำความเข้าใจองค์กรที่เราเลือกด้วย target market คือใคร แล้วสิ่งที่จะเป็น objective ที่เราต้องการจะไปให้ถึงจากแผนนี้คืออะไรยังไง เราถึงขั้นต้องขอนัดสัมภาษณ์คนจาก gallery เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม(อาจารย์ไม่ได้บังคับให้ทำนะ เค้าพูดประมาณว่า ถ้าในเว็บมันมีข้อมูลไม่พอ ลองโทรหรืออีเมลไปถามเค้าสิว่าถ้าจะขอรบกวนเวลาสัก 20 นาทีสอบถามหน่อยได้มั้ย …… เอ๊ะ หรือนี่คือการบังคับ) จะได้เข้าใจเงื่อนไขขององค์กรและโปรเจคของเค้ามากขึ้น ซึ่งโชคดีมากที่เค้ายอมให้สัมภาษณ์ และคนที่มาคุยกับเราใจดี ไม่งั้นเราพูดไม่ออกแน่ๆ ฮ่าๆ เฮ่ออออ ภายในเวลาแค่สามเดือน ต้องเข้าใจทุกอย่างให้ได้มากที่สุดนี่ก็หนักหน่วงอยู่นา

แต่สุดท้ายก็ดันไปจนมีงานส่งแหละค่ะ (สวดมนต์รัวๆ ขอให้ผ่านๆๆ)

 

อีกส่วนที่น่าสนใจของการเรียนที่นี่ก็คือช่วง presentation เราเชื่อว่าเด็กไทยหลายๆคนไม่ค่อยชอบและไม่ค่อยอยาก present เท่าไร ขนาดเป็นภาษาไทยยังขวยเขิน จะต้องมาพูดเป็นภาษาอังกฤษต่อหน้าธารกำนันอีกกกกกกก (คนอ่านบอกว่า แกเป็นคนเดียวค่ะอั๋น สมัยนี้เค้ากล้าพูดกล้าทำกันหมดแล้ว //อ่อๆ ขอโทษแทนอั๋นด้วยค่ะ) ที่นี่ค่อนข้างให้ความสำคัญกับการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น (ไม่รู้ว่าเป็นเพราะลักษณะของคนสายศิลปะหรือเปล่า แบบที่เวลาจัดแสดงผลงาน จะมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนกันระหว่างผู้ร่วมงานและศิลปินอยู่แล้ว คนทำก็อยากได้ feedback จากคนดู อะไรประมาณนั้น) เค้าเลยให้มีการ present เพื่อเปิดโอกาสให้ นอกจากอาจารย์ เพื่อนในคลาสก็จะได้ comment งานของกันและกัน

แต่ๆๆ!!!!! การ present นี้ ไม่ใช่ตัว final ที่เสร็จสมบูรณ์ หากเป็นงานที่ยังไม่เสร็จ ยูทำไว้ถึงตรงไหนก็เอามาให้ดูกัน ทำเป็น Powerpoint มา การทำให้เป็นภาพเพื่อสื่อสารให้คนอื่นเข้าใจนี่ก็เป็นประโยชน์นะยู แทนที่จะเขียนๆ ไปอย่างเดียว ยูจะได้ลองตกผลึกดูว่างานยูมันสมเหตุสมผลมั้ย มันเข้าใจได้มั้ย ‘จารย์ว่างี้ (มาคิดอีกที มันก็เหมือนจะเป็น extra tutorial แฮะ)

การ present นี้ จึงเกิดขึ้นใน week สุดท้ายของการเลคเชอร์ เป็นช่วงที่เนื้อหาหมดแล้ว พวกแกต้องเอาไปประยุกต์ใช้กันเองแล้ว ไหนดูซิว่าเอาไปยำกันยังไงกันมาบ้าง และหลังจากนั้นนนนน ช่วงเวลาแห่งความสนุกสนานคลุกเคล้าความหน่วงและน้ำตาก็ตามมาติดๆ ด้วยการปิดเทอมช่วงคริสต์มาส แต่ deadline ส่งโปรเจคทั้ง 3 ตัว คือพร้อมกันหลังเปิดปีใหม่ เฮ่~!!!!! T T #ทำงานข้ามปีสิคะจะรออะไร

สนใจเรียนต่อ Birmingham City University ลงทะเบียนเพื่อรับข้อมูลเรียนต่อและคำปรึกษาจากพี่ๆ Hands On ตัวแทนมหาวิทยาลัยอย่างเป็นทางการประจำประเทศไทย ฟรี คลิก

Enquiry Form

Please provide the following information and we will aim to respond within 48 hours:

Your details
Please enter your first name.
Please enter your last name.
Please enter a valid email address.
Please enter your phone number.
Please select a country you want to study.
Please select a year you want to study.
Please select your preferred branch.

* All fields required (in English)

  • Share this: