รีวิว BA Communication & Society and Linguistics ที่ Nottingham Trent University โดย Fern

  • Share this:

แนะนำตัวให้เรารู้จักหน่อยค่ะ

Fern: สวัสดีค่ะ ชื่อเล่นว่าเฟิร์นนะคะ ตอนนี้เรียนปี 1 คอร์ส BA Communication & Society and Linguistics ที่ Nottingham Trent University ค่ะ

รีวิว BA Communication & Society and Linguistics ที่ Nottingham Trent University

ทำไมถึงเลือกเรียนคอร์สนี้ล่ะคะ

Fern: ส่วนตัวเป็นคนชอบเรียนภาษาอยู่แล้วค่ะ ซึ่งรู้ตัวมาตั้งแต่แรกแล้ว ตั้งแต่ตอนเรียนอยู่โรงเรียนเลย เพราะว่าหนูได้เกรดดีเรื่องภาษา หนูไม่เก่งคณิต แต่รู้สึกว่าเข้าใจและเรียนรู้ภาษาง่ายกว่าวิชาอื่น ๆ เลยรู้สึกว่าถ้าจะเรียนรู้ให้มันสุดก็เรียนไปทางนี้ให้มัน Expert ไปเลยค่ะ

ซึ่งความจริงคอร์ส Linguistics มันก็จะมีคอร์สอื่นด้วย อย่างเช่นสอนภาษาเพื่อการศึกษาอะไรแบบนี้ แต่หนูรู้สึกว่า BA Communication & Society and Linguistics มันมีปัจจัยหลายอย่างมากกว่าเรียนแค่ภาษา อย่างมีทฤษฎีอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับภาษา ทำไม Synonyms มันมีความหมายคล้าย ๆ กัน แต่ทำไมมันไม่เหมือนกัน มันก็ทำให้เราคิดว่ามันก็ไม่ได้เหมือนกันจริง ๆ เนอะ หรือภาษาที่ประเทศอังกฤษใช้ ทำไมสหรัฐอเมริกาถึงใช้ไม่เหมือนกัน เป็น Dialect ของคนที่จะเลือกใช้ เหมือนว่าเป็นภาษาของคนดำ ทำไมเขาถึงพูดแปลกไปจากภาษาพื้นฐาน หรือว่าเปรียบเทียบระหว่างภาษาอังกฤษเก่ากับภาษาอังกฤษใหม่ ซึ่งมันมีหลากหลายประเด็นเลยทำให้เรารู้สึกว่ามันน่าสนใจ แล้วมันก็เหมือนกับเราได้เรียนประวัติศาสตร์ด้วย ทำให้เราสนใจที่อยากเรียนรู้ว่ามันมาจากไหนอะไรแบบนี้ค่ะ แล้วก็สนุกด้วย เพราะเวลาเราหาข้อมูลแล้วเราก็ไม่เคยนึกเลยว่ามันเป็นอย่างนี้ จะลึกขนาดนี้ เรานึกว่ามันแค่เป็นภาษาที่คนแต่งขึ้นมา แต่ว่ามันมีที่มามากกว่านั้นค่ะ

รีวิวคอร์สเรียนให้ฟังหน่อยสิว่าเรียนอะไรบ้างคะ

Fern: เยอะมากค่ะ เอาจริง ๆ เราสามารถพูดได้เป็นชั่วโมงเลยว่ามันน่าสนใจขนาดไหน เพราะเนื้อหามันเยอะมากเลยค่ะ อย่างหนูเรียน BA Communication & Society and Linguistics เนื้อหาที่เรียนคือ Prototype Theory ซึ่งเกี่ยวกับ Psychology ด้วยนิดหน่อยว่าทำไมคนถึงเลือกใช้คำนี้เปรียบเทียบกับสิ่งนี้ อย่างเช่น เราพูดถึงคำว่า Chair แล้วเราถึงนึกอะไร เราก็จะคิดว่าเป็นเก้าอี้ที่ 4 ขา หรือว่ามีขาตั้งหรือว่าเราสามารถนั่งบนนั้นได้ ซึ่งมันก็ไป Link กับ Psychology ว่าทำไมเราถึงคิดว่า Chair ต้องมี 4 ขา ทำไมเป็น Cushion ไม่ได้ มันก็นั่งได้เหมือนกัน แต่ทำไมเราต้องใช้คำว่า Cushion ไม่ใช้คำว่า Chair อะไรแบบนี้ค่ะ ซึ่งก็น่าสนใจ

หนูรู้สึกว่า Theory มันซับซ้อนกว่า ไม่มีผิดมีถูกเสมอไป ซึ่งทำให้เรารู้สึกว่ามันเปิดโลกของการเรียนรู้ของเราได้ที่สุดแล้ว มันไม่ได้จำกัดว่าอันนี้ถูกต้องนะ Theory นี้ต้องเชื่อนะ ทำให้เรารู้สึกว่าเราอยากค้นคว้ามากขึ้นแล้วก็รู้สึกว่าอันนี้มันยังไปต่อได้ ถึงแม้ว่าเขาจะคิดค้น Theory กันมาประมาณ 10 ปีที่แล้ว แต่ว่ามันก็ไม่จบไม่สิ้น เพราะเรื่องนี้ยังศึกษาต่อได้ มันยังมี Point ต่อไปเรื่อย ๆ ทำให้เราคิดว่า Theory นี้ก็ไม่จริงเสมอไปหรือไม่ได้ถูกต้องเสมอนะ ในคอร์สเรียนก็มีการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนกันว่าเราคิดยังไงเกี่ยวกับ Theory นี้ เรามี Point ของเรามั้ย ซึ่ง Point ของคอร์สนี้หลัก ๆ คือทำให้เราคิด วิเคราะห์ และแยกแยะออกว่าเราควรจะเชื่อหรือไม่เชื่อประเด็นนี้มั้ย หรือควรจะคิดเองว่า Point ของเรากับ Perspective ตรงนี้มันถูกต้องแค่ไหน ซึ่งไม่ได้ Fixed ด้วยว่าเราต้องถูกเสมอ เพราะว่าภาษาคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มันไม่ได้กำหนดตายตัว เช่น เราพูดคำว่า Hello ในวันนี้ แต่เราอาจจะไม่ได้พูด Hello ในวันหน้าก็ได้ ในอีก 100 ปีข้างเราอาจจะเปลี่ยนเป็นคำอื่นก็ได้ ซึ่งภาษามันเปลี่ยนแปลงได้เรื่อย ๆ และทำให้คนคิดไตร่ตรองได้เรื่อย ๆ ว่าจริง ๆ ภาษามันไม่ได้อยู่กับที่นะ

ถ้าอย่างนั้นมีเนื้อหาวิชาไหนประทับใจที่สุดตั้งแต่เรียนมามั้ยคะ

Fern: วิชาที่ประทับใจ… หนูชอบทุกวิชาเลยค่ะ (หัวเราะ) เอาจริง ๆ หนูสนุกมากเลย รู้สึกว่าบางวิชาเราอาจจะคิดมากเกินไปหรือเปล่า แต่การคิดมากก็เป็นเรื่องที่ดีสำหรับการเรียนนะคะ ซึ่งเรารู้สึกว่าบางทีเราได้เปิดโอกาสให้คิด อย่างเช่น หนูเรียนเกี่ยวกับ Synonyms และ Antonyms แล้วทำไมเราบอกได้ว่าคำนี้มันเหมือนกัน รู้ได้ยังไงว่ามันแปลได้แบบนี้ แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าไหนสถานการณ์ไหนเราจะใช้คำไหน อย่าง “Big” กับ “Large” ใช้คำว่า Large Person ได้มั้ย หรือต้องคำว่า Big Person มันต่างกัน มันมีบางอย่างเป็นเส้นกั้นระหว่าง “เหมือน” กับ “ใช่” อะไรแบบนี้ค่ะ

ซึ่งอาจารย์ในคลาสน่ารักมาก ให้เราได้ Discuss ตลอดเลยว่าเราคิดยังไงกับเรื่องนี้ เรามีความคิดเห็นยังไง ซึ่งเขาไม่เคย Judge เราเลย มีแต่บอกว่าตรงนี้ Good Point นะ หนูก็ดีใจมากที่เราได้นำเสนอความคิดของเรา ซึ่งอย่างที่บอกค่ะ Language ไม่ใช่เรื่องตายตัวตลอดเวลา แล้วมันก็ทำให้คิดได้เรื่อย ๆ หนูรู้สึกว่าคนที่ชอบ Critical Thinking น่าจะเรียนสายนี้ เพราะได้ใช้ความคิดเยอะมาก มันไม่ใช่ว่าต้อง Fixed อยู่กับที่ หรือ Fixed ว่าต้องถูกต้องเสมอไปค่ะ

*สนใจ เรียนต่อ Nottingham Trent University ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ฟรีทุกขั้นตอน คลิก

รีวิว Nottingham Trent University

บรรยากาศให้ห้องเรียนบ้าง เมื่อสักครู่บอกว่ามี Discussion ในห้องเยอะ แล้วเพื่อน ๆ เรียนเยอะมั้ยคะ

Fern: Linguistics คนเยอะมาก บางทีโต๊ะไม่ว่างด้วยนะคะ นับได้ก็ประมาณ 20 กว่าคนได้ค่ะ ต้องบอกก่อนว่าบางห้องไม่ได้ใหญ่มาก แต่ว่าห้องที่หนูเรียนมันมีโต๊ะใหญ่ 2 โต๊ะ แล้วทุกคนก็นั่งเต็มเลย หนูมีวิชาอื่นด้วยซึ่งเป็น Communication ซึ่งคนน้อย มีไม่ถึง 10 คนเลยค่ะ พอเปรียบเทียบกันหนูเลยรู้สึกว่า Linguistic มันใหญ่มาก ซึ่ง 20 ในห้องมันเหมือนเรากลับไปเรียนตอน ม.ต้น หรือ ม.ปลาย เลยค่ะ

หนูได้เจอเพื่อหลากหลายชาติมาก กานาบ้าง มาลาวีบ้าง หรือมาจากจีนบ้าง ซึ่งหนูรู้สึกว่าคุยสนุก เพราะ Culture เป็นเรื่องหนึ่งเลยที่คนจะชอบถามกัน เราคุยกันหลายเรื่องมาก เช่น ประเทศของเธอทำอะไร แบบนี้ปกติมั้ย ธรรมดามั้ย สวัสดี ทำไมถึงทำ Gesture อย่างนั้น อยู่ที่ไทยสนุกมั้ย แล้วก็แลกเปลี่ยนกัน เราอยากไปประเทศเธอนะ เพราะอากาศร้อนเราชอบ Summer แต่ทางเราเองก็บอกตลอดนะว่าร้อนมากนะคะ Burn ค่ะ (หัวเราะ) เพื่อนต่างชาติหลาย ๆ คนก็บอกว่าชอบกินอาหารไทยมาก เพราะว่าจัดจ้านแล้วก็รสชาติดี หนูก็บอกว่าถูกต้อง แล้วต้องไปลองที่ไทย ถูกกว่า อร่อยกว่าแน่นอน

Assignment เขาให้ทำอะไรบ้าง มี Present เยอะมั้ย เป็นงานกลุ่ม งานเดี่ยว หรือรายงาน Essay

Fern: แล้วแต่เทอมค่ะ เพราะ Semester มันจะแบ่งแยกและคลาสที่เรียนก็จะแล้วแต่ว่าเทอมนั้นเราจะได้เรียนอะไร อย่างตอนเทอม 1 หนูได้เรียน Morphology และ Syntax ซึ่งเรียนเกี่ยวกับ Grammar ของภาษาอังกฤษและของภาษาอื่น ๆ ด้วย อย่าง Syntax ก็จะเป็นพวกคำศัพท์ ทำไมต้องใช้คำนี้ก่อนคำนี้ ทำไมถึงใช้ is, am, are อะไรประมาณนั้น ซึ่งส่วนใหญ่หนูได้เขียน Essay เป็น Assignment หลักที่อาจารย์ให้ทำ เพราะว่าอย่างที่บอกว่าวิชาของหนูมันไม่มีถูกมีผิด อาจารย์เป็นคนบอกเองนะคะว่าคิดยังไงก็เขียนเลย แต่ว่าขออย่างเดียวคือต้องการ Research ที่จะมาสนับสนุนความคิดเห็นของเราด้วย

ส่วนใหญ่ก็จะทำ Research จะให้ Assignment ที่ให้นำเสนอความคิดของเรากับ Theory ต่าง ๆ ของภาษา เราคิดยังไง เรา Proof Point เราได้มั้ย เรารู้สึกว่าพอเราได้ศึกษาอะไรไปลึก ๆ มันก็สนุกนี่ แล้วเราก็เขียนเพลินเลย และทำให้เรา Proof Point ได้ตลอดว่าเราคิดแบบนี้กับเรื่องนี้นะ เราอ่านเรื่องนี้มาเราเข้าใจตรงนี้ เรา Agree หรือไม่ Agree แล้วก็สามารถเขียนบอกเขาได้เลยว่าเราคิดอย่างนี้ ซึ่งเขาไม่ได้ Fixed ว่ามันต้องผิดต้องถูก

นอกจากเขียน Essay มีการบ้านอย่างอื่นบ้างมั้ยคะ

Fern:  ปีนี้ตอนเทอม 2 มี Exam ค่ะ ซึ่งหนูต้องทำข้อสอบ 50 ข้อ ใช้เวลา 1 ชั่วโมง ซึ่ง Communication ปีนี้หนูเรียนเกี่ยวกับ Psychology of Communication ซึ่งเป็นจิตวิทยาของการพูดคุย การศึกษาเป็นการ Research ต่าง ๆ ที่นักจิตวิทยาวิเคราะห์กันว่าคนเราศึกษาภาษายังไง หนูรู้สึกว่าข้อสอบมันไม่ได้ยากมาก เหมือนถามแค่ว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับเรื่องนี้มั้ย เรื่องนั้นเกี่ยวกับเรื่องนั้นมั้ย อย่างเช่น ใครเป็นคนคิดค้น Theory นี้ ทำไมเขาถึงคิดค้นแบบนั้น เนื้อหาหลัก ๆ คืออะไร ซึ่งมันไม่ได้ยากเลยค่ะถ้าเข้าเรียนทุกคาบ เพราะว่าอาจารย์เขาอธิบายละเอียดมากว่าเราควรจะต้องศึกษาอะไรตรงไหน เขาก็จะเน้นหัวข้อมาให้เลย ซึ่งเราไม่จำเป็นต้องคิดออกนอกกรอบ หรือต้องลังเลว่าเราควรจะอ่านอันไหนดี เพราะว่าอาจารย์เขาบอกแนวทางตลอด เราก็เลยรู้สึกว่าไม่กดดันมากค่ะ

งั้นรีวิวอาจารย์ต่อเลย เป็นยังไงบ้างคะ

Fern: อาจารย์น่ารักมาก วันสุดท้ายที่หนูมีคลาส Linguistics กับอาจารย์ที่ชื่อ Amy หนูก็ไปพูดคุยกับเขาว่า รู้มั้ย อาจารย์ทำให้หนูมาเรียนทุกวันเลย เพราะอาจารย์ไม่กดดันแล้วอาจารย์ก็สนุกมาก ตลกมาก อาจารย์ก็แบบว่า “You made my day มากเลย” หนูเลยรู้สึกว่าหนูก็ Happy มาก เพราะอาจารย์เขาก็ Made my day หนูทุกวันเหมือนกันอะไรแบบนี้ค่ะ

หนูไม่รู้สึกว่าอาจารย์เขากดดันว่าหนูต้องเรียนตามเขา Step by step อย่างถ้าไม่เข้าใจเรื่องนี้ลองอ่านตรงนี้ดูนะ ไม่เข้าใจเรื่องนี้ก็ลองถามดู เขาเปิดกว้างตลอด แล้วหนูก็เป็นคนชอบถาม ถามตลอดว่าอันนี้หนูถามได้มั้ยคะ หนูต้องอ่านอันนี้มั้ยคะ อันนี้มันเกี่ยวกับอันนี้มั้ยคะ ซึ่งเขาไม่เกี่ยงเลย เขาพร้อมที่จะตอบคำถาม 24/7 เลย ตลอด 24 ชั่วโมงค่ะ และอาจารย์มี Team ด้วยค่ะ เป็น Microsoft Team ที่ถ้ามีคำถามอะไรก็ถามได้ตลอดเลย หนูก็ถามเขาตลอดเลยค่ะ ว่าทำแบบนี้ถูกมั้ย อาจารย์ก็จะบอกแนวทางตลอด หนูรู้สึกว่าการที่อาจารย์เขาเปิดกว้างให้เราถามและพูดคุยได้ตลอด มันทำให้เด็กเรียนรู้ง่ายและรู้สึกไม่กดดันค่ะ

*สนใจ เรียนต่อ Nottingham Trent University ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ฟรีทุกขั้นตอน คลิก

 

รีวิว Nottingham Trent University

เรื่อง Support ที่ทางมหาวิทยาลัยเตรียมไว้ให้เป็นยังไงบ้างคะ

Fern: อย่างแรกหนูนึกถึง Library ค่ะ เป็นที่ ๆ เด็กนักศึกษาทุกคนไปรวมตัวที่นั่นกันบ่อยมาก เพราะว่ามีงานต้องทำด้วย มีการบ้านเยอะ แล้วก็มีงานที่ต้อง Research ซึ่ง Library เป็นห้องสมุดที่ใหญ่มาก มีหนังสือหลากหลาย ยืมได้ฟรีด้วยค่ะ หรือเราต้องการพื้นที่ Library ก็สามารถ Book ได้นะคะ เพราะมีกำหนดให้ว่าเราอยาก Book กี่ชั่วโมง เราอยากส่วนตัวแค่ไหน แค่ติดต่อไปเขาก็แนะนำให้ หรืออาคารที่เรียนก็สะดวกสบาย เพราะว่ามันจะมีห้องเรียนที่ว่าง ๆ ไม่มีคลาสในนั้น เราก็สามารถติดต่อขอใช้ได้เลย

แล้วก็ถ้าหนูจำไม่ผิดที่มหาวิทยาลัยก็มีให้ยืม Laptop ฟรีด้วย ก็มีระยะเวลากำหนดให้ สามารถถามที่ Student Service Hub ที่ Newton Building สามารถถามได้ตั้งแต่ 9 โมงถึง 5 โมงเย็นเลยค่ะ ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ เราอยากถามอะไรถามได้เลย หนูเคยทำบัตรนักเรียนหายครั้งหนึ่ง แล้วหนูมาทำบัตรใหม่ที่นี่ใช้เวลานาน 5 นาทีเองค่ะ ไม่ได้รอนานมาก ทางมหาวิทยาลัยประสานงานเร็วมากค่ะ (ยิ้ม)

มี Facility อะไรที่เราชอบอีกบ้างคะ

Fern: Facility เยอะค่ะ หนูชอบมาก มีทั้ง Gym อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยด้วย แล้วก็อยู่ไม่ไกลจากหอพักเลย ภายในพื้นที่ก็มีคาเฟ่เล็ก ๆ ทุก ๆ ตึกเลย หนูรู้สึกว่าใครที่เขาต้องการเวลา Relax หลังจากเรียนมาทั้งวันแล้ว ที่นี่ก็มี Area เล็ก ๆ ให้เรานั่งกินขนมปัง กินเค้ก ดื่มกาแฟ ซึ่งหนูรู้สึกว่ามันน่ารักมาก เป็นที่ผ่อนคลายหรือนัดเจอเพื่อน ๆ

อีกอย่างหนึ่งหนูชอบที่มหาวิทยาลัยเขาส่งข้อความ Support มาให้เรื่อย ๆ ว่าจะเปิดเทอมแล้วต้องเตรียมตัวยังไง หรือว่าอยากหาหอที่อื่นอยู่หลัง Semester นี้ก็สามารถติดต่อได้ที่ไหน หนูรู้สึกว่าบางทีเด็กนักศึกษาเขาก็ไม่มีเวลามานั่งดูเรื่องหอพักบ่อย ๆ เพราะว่าเขาก็มีงานต้องทำ แล้วก็ชีวิตส่วนตัวด้วย หนูรู้สึกว่าการที่มหาวิทยาลัยเขาส่งอีเมลไป Support แบบนั้น มันเป็นอะไรที่ง่ายมาก ๆ หนูรู้สึกว่าติดต่อมหาวิทยาลัยเป็นหนทางที่ง่ายที่สุดสำหรับนักศึกษาที่อยากจะได้อะไร เราก็สามารถถามเขาได้เลย หรือเรามีปัญหาอะไรเราก็ถามเขาได้เลย ซึ่งมันง่ายมากค่ะ

แล้วก็จะมีเทศกาลหรือ Event ต่าง ๆ ที่ทางมหาวิทยาลัยจัดให้ ทางมหาวทิยาลัยก็จะมีเวลาบอกให้หรือบอกล่วงหน้า ซึ่งทำให้เราจัดตารางได้มากขึ้นว่าถ้าเราอยากไป

มี Campaign สำหรับเรื่อง Wellbeing ด้วย ทำให้เด็กที่เขาเป็นซึมเศร้าหรือ Anxiety หรือคนที่รู้สึกว่า Homesick ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นชีวิตยังไงตอนมาเรียนคนเดียว เขาก็ Support ค่ะ Happy มาก มันมีอะไรให้ทำเยอะแยะเลยค่ะ

ที่ Clifton จะมี Bar ที่เราได้เครื่องดื่มฟรีครั้งแรกเป็นการต้อนรับนักเรียนใหม่ เพราะขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในรั้วมหาวิทยาลัยได้ เรา Chilling ได้ตลอด ซึ่งหนูรู้สึกว่ามันเป็น Environment ที่ดีมาก แล้ว Bar ในมหาวิทยาลัยมันอยู่ในการควบคุมที่เขาสามารถดูแลได้เพราะว่าเป็นเด็กของเขาอะไรแบบนี้ค่ะ หนูรู้สึกว่าการดูแลบริการตรงนี้มันดี อาหารบางอย่างในมหาวิทยาลัยก็ถูกกว่าไปซื้อข้างนอกด้วยค่ะ

แล้วได้เข้ากิจกรรมชมรมหรืออะไรแบบนี้มั้ย

Fern: เขามี Exchange Culture ซึ่งจัดอยู่ที่ Clifton นะคะ เป็น Event ที่คนเขามาแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม อย่างคนอินเดียที่มาจากประเทศอินเดียแล้วก็มาเรียนต่อที่นี่ เขาจะทำอาหารอินเดียมาให้ชิม หรือว่ามีการแสดงโชว์เต้นอะไรแบบนี้ค่ะ เราก็รู้สึกว้าวมาก รู้สึกว่ามันแปลกใหม่ เราไม่เคยเห็นจริง ๆ จัง ๆ แบบนี้ คนที่มาจากไนจีเรีย อาหารพื้นบ้านของเขาก็ต่างจากของไทย ซึ่งเราก็ได้ชิมฟรี หรือขนมจากประเทศอื่น ๆ ด้วย ซึ่งเรารู้สึกว่าได้เข้าใจวัฒนธรรมของประเทศอื่น ๆ มากขึ้น ได้เห็นมากขึ้น เราอาจจะมาจากต่างที่ต่างแดน หรือว่าต่างประเทศกับเขา แต่ก็จะมีบางอย่างที่ Link กันก็คือความแตกต่างที่ลงตัว รู้สึกว่าการที่เราเปิดกว้างคุยกันแบบนี้มันทำให้เราได้เจออะไรใหม่ ๆ ในชีวิตค่ะ (ยิ้ม)

*สนใจ เรียนต่อ Nottingham Trent University ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ฟรีทุกขั้นตอน คลิก

 

รีวิวเมือง Nottingham

เรียนต่อ Nottingham Trent University

Fern: ต้องบอกเลยว่าพื้นฐานคือครอบครัวอยู่ที่นี่ ชีวิตที่เมืองนี้เรียบง่ายมากเลยค่ะ มันไม่หวือหวาเหมือนอยู่ในเมืองใหญ่ เลยรู้สึกว่าที่นี่มัน Slow Life การเดินทางมันง่ายด้วย เรานั่ง Bus แค่ 50 นาทีถึง 1 ชั่วโมงจากที่พักมามหาวิทยาลัย ซึ่งใช้เวลาไม่นานมาก ค่าใช้จ่ายไม่ได้สูงมากเมื่อเทียบกับ การไปเรียนที่อื่น

แต่ทีแรกหนูก็หวั่น ๆ เหมือนกันว่าจะใช้ชีวิตด้วยตัวเองได้มั้ยนะ เพราะเรารู้สึกติดเพื่อนด้วย ไม่มีใครมาเรียนที่นี่กับหนู แต่ Nottingham มันไม่ได้วุ่นวายหรือเป็นเมืองใหญ่ หนูรู้สึกว่า Environment ต่าง ๆ มัน Friendly มีสถานที่น่าเที่ยวให้เราเลือกไปเยอะ เดินลงไป 5 นาทีก็ถึง Shopping Center แล้วก็จะเห็นร้านอาหารเป็น 10 ร้านเลยค่ะ ที่นี่อาหารไทยก็เยอะด้วย หนูไม่ได้คาดหวังว่าร้านอาหารไทยจะเยอะขนาดนี้ เลือกกินได้เลย มีหลายเชื้อชาติมาก อยากกินอะไรก็เลือกเลย

การคมนาคมที่นี่ก็ดีกว่าที่ไทยเยอะมาก เพราะเราสามารถเช็กใน Application ได้เลยว่ารถจะมากี่โมง ราคาเท่าไหร่ แล้วบางอย่างบัตรนักเรียนก็สามารถใช้เป็นส่วนลดได้เลยค่ะ เช่น ไปซื้อของแล้วมีบัตรนักเรียนก็มีส่วนลด 10% เลยรู้สึกว่ามันประหยัดไปด้วยค่ะ

บัตรนักศึกษาที่นี่ใช้ลดราคาอะไรได้บ้างคะ

Fern: หนูชอบไปร้านชานมไข่มุกค่ะ ซึ่งชานมไข่มุกราคา 4.50 ปอนด์ เขาก็จะลดให้หนูเหลือแค่ 4 ปอนด์ และมีใบสะสมแต้มด้วยว่าหนูซื้อเท่าไหร่ หนูซื้อ 10 ครั้งจนหนูแลกได้ฟรีแล้ว 1 แก้ว มีร้านเสื้อผ้าบางร้านที่เขาก็จะเช็กด้วยว่าเราเป็นนักเรียนหรือเปล่า เดี๋ยวลดให้นะ หนูเคยไปร้านหนังสือเขาก็จะถามตลอดว่าเรียนที่ไหน ขอดูบัตรได้หรือเปล่า เดี๋ยวให้ Discount อะไรแบบนี้ค่ะ ก็รู้สึกว่าทุกคนที่นี่เขาน่ารักไปหมดเลย

พูดถึงบรรยากาศที่ Nottingham บ้าง

Fern: หนูรู้สึกว่าอากาศที่นี่มัน Random ถ้ามาที่นี่ต้องเตรียมร่มไว้ตลอดนะคะ หนูรู้สึกว่าที่นี่เขาเปิดกว้างเรื่องการแต่งตัวมาก ทุกคนดูแต่งตัวสนุกมาก Fashion Icon สุด ๆ อยากใส่กระโปรงสั้นแค่ไหนตอนหน้าร้อนก็ใส่ไปเลย ไม่มีใครแคร์ หรือว่าตอนหน้าหนาวเราอยากใส่กระโปรงยาวแค่ไหน จะใส่เสื้อกันหนาวกี่ชั้นก็ไม่มีใครแคร์ เพราะทุกคนเข้าใจว่ามันหนาว

แล้วก็รู้สึกว่า LGBTQ+ ที่นี่เขาเปิดกว้างมาก หนูเคยเจอคนแต่ง Drag Queen แบบตัวแม่มาเลย หนูเดินผ่านแล้วรู้สึกว่าทุกคนที่นี่สนุกกับการใช้ชีวิต ทุกคนที่นี่เขาไม่ Judge หรือถึง Judge ก็ไม่ได้เท่าที่อื่น เพราะว่าที่นี่เปิดกว้างเรื่องการใช้ชีวิตของตัวเอง เลยรู้สึกว่าตั้งแต่เรามาอยู่ที่นี่แล้วแต่งตัวสนุกมากเพราะอากาศ Random ใส่ได้ทุกชุดจริง ๆ ค่ะ หนูเลยรู้สึกว่า Happy ที่เราไม่ใช่มาแค่เรียน แต่เราได้มาใช้ชีวิตด้วย มันไม่จำเป็นต้องคิดอยู่แต่กับเรื่องเรียน ทำให้เราได้โฟกัสทั้งเรื่องเรียนและเรื่องการใช้ชีวิตด้วย

เรื่องการหาเพื่อนบ้าง มาเรียนคนเดียวหาเพื่อนยากมั้ยคะ

Fern: หนูเป็นคน Talkative ชอบพูดชอบคุยชอบถาม หนูเลยรู้สึกว่าการหาเพื่อนของหนูไม่ได้ยากมาก โดยเฉพาะอยู่ในห้องเรียนห้องที่มีคนเยอะ เขาเข้าใจว่ามหาวิทยาลัยเป็นที่รวมของคนหลาย ๆ คน ซึ่งสังคมที่นี่เขาเปิดกว้างมาก ในบางครั้งที่เรายังใช้ภาษาอังกฤษไม่เก่ง เขาก็พยายามจะเข้าใจ ในช่วงแรก ๆ เราก็มีกระอึกกระอักบ้าง ใช้ภาษาอังกฤษถูก ๆ ผิด ๆ บ้าง หนูก็รู้สึกว่ามันเรียนรู้ไปด้วยกันได้ แล้วถ้าเจอเพื่อนดี ๆ หน่อยเขาก็จะให้ลองพูดคำนี้สิ สอนคำให้ คิดคำไหนไม่ออกลองพูดออกมาสิ เขาก็จะนึกคำเป็นภาษาอังกฤษให้เรา

บางทีในเวลาที่เรารู้สึก Homesick มาก ๆ เราสามารถเข้าไปหาเขาได้ ไป Hangout กับเพื่อน เรารู้สึกว่า Environment ที่นี่มันมีที่ ๆ อยากไปเยอะมาก เช่น อยากไปเล่นโบว์ลิ่ง หรือไปร้องคาราโอเกะ มีอะไรให้ทำเยอะมาก หรือไปเดินใน Park แล้วพูดคุยกัน 3-4 ชั่วโมงก็ไม่เบื่อ เพื่อน ๆ ที่หนูเจอน่ารักกันหมดเลย หนูรู้สึกว่าเขาเปิดกว้างมาก เขาไม่เคย Judge เราเลยว่าใช้ภาษาอังกฤษผิดนะ ทำไมถึงพูดคำนี้ เขาสอนเราตลอด เราเลยรู้สึกภูมิใจที่เราเปิดกว้างเหมือนกัน แล้วก็พยายามเรียนรู้ที่จะเข้าใจเขาเหมือนกัน มันทำให้เราสนุกกับชีวิตที่นี่ค่ะ

*สนใจ เรียนต่อ Nottingham Trent University ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ฟรีทุกขั้นตอน คลิก

 

การเตรียมตัวเรียนต่อกับ Hands On

ทำไมถึงตัดสินใจมาเรียนปริญญาตรีที่ประเทศอังกฤษคะ?

Fern: ส่วนตัวตอนนั้นเรียนโรงเรียนรัฐบาลธรรมดาเลย แต่ว่าเรามีความฝันว่าอยากออกไปเรียนต่อต่างประเทศบ้าง ตอนแรกหนูคิดว่าไม่ออสเตรเลีย ก็ไป US เลย แต่ว่าหนูมีคุณตากับคุณยายอยู่ที่นี่ มันเลยง่ายเพราะเขาดูแลหนูได้ หนูก็ดูแลเขาได้ด้วยค่ะ แล้วก็คิดว่า UK ก็เป็นที่ ๆ ดีมีมาตรฐานการศึกษาที่ดี เด็กต่างชาติมาเรียนเยอะ Environment และ Community ก็ง่าย

ช่วงการเตรียมตัวล่ะ เราวางแผนเตรียมตัวเรียนต่อยังไงบ้างคะ?

Fern: อย่างแรกหนูก็หาข้อมูลค่ะว่าหนูต้องเตรียมอะไรบ้าง ต้องสอบอะไรมั้ย ต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้าง ซึ่งหนูก็ไปเจอ Hands On นี่แหละค่ะที่อยู่ดี ๆ ก็เด้งขึ้นมาทันทีทันใด เพราะว่าหนู Search ว่าเรียนต่อต่างประเทศต้องเตรียมตัวยังไง แล้ว Hands On ก็ขึ้นมาพอดีแล้วยังบริการฟรีด้วย หนูก็คิดว่าน่าสนใจ ครอบครัวเลยลอง Search ดูว่า Hands On เกี่ยวกับอะไร เชื่อถือได้มั้ย ติดต่อยังไงบ้าง ให้ข้อมูลอะไรบ้าง ไม่ Scam ใช่มั้ย เพราะว่าบางทีพวกเว็บไซต์เราต้องดูดี ๆ ค่ะ (หัวเราะ)

รีวิวบริการจากพี่ Hands On

Fern: คือตอนแรกหนูจะไปเรียนม.6 ต่อ เพราะว่าหนูดรอปตอนม.6 แต่พี่ ๆ Hands On แนะนำว่าถ้าสอบแล้วเตรียมเอกสารให้พร้อมเราสามารถเรียนต่อได้ตั้งแต่ม.5 เลย เราไม่จำเป็นต้องมาเรียนต่อม.6 ที่นี่ เราสามารถเข้าเรียน College ที่อังกฤษได้เลย หนูก็ว่ามันง่ายกว่า แล้วเราก็ทำตามทุกอย่างตามขั้นตอนที่พี่ Hands On แนะนำ เขาก็แนะนำว่าต้องสอบ IELTS นะ ต้องผ่านกี่เปอร์เซ็นต์ ต้องการเอกสารอะไร คือพี่ ๆ Hands On น่ารักมาก อันนี้หนูแบบเฮ้ย! เรื่องจริงไม่จ้อจี้ เพราะว่าทุกครั้งที่หนูมีปัญหาหนูก็จะถามว่าพี่คะ อันนี้หนูต้องทำยังไง คือภาษาอังกฤษเราก็ไม่ได้เก่งตั้งแต่แรก พวกเอกสาร Document อะไรแบบนี้เราก็ไม่รู้ไม่เคยทำ เรื่องวีซ่าก็ไม่เคย ก็ได้พี่ ๆ Hands On บอกว่าแบบนี้เดี๋ยวพี่เช็กข้อมูลให้ แนะนำให้ว่าต้องทำแบบนี้นะ แบบนั้นนะ ทำให้รู้สึกว่าพี่เขาใจดีมาก และไม่เคยเกี่ยงที่จะไม่แนะนำอะไรเลย หรือตอนที่เรารู้สึกว่าไม่รู้จะไปเรียนต่อคอร์สไหนเลย พี่ ๆ เขาก็แนะนำให้ค่ะ ก็มีพี่ Hands On นี่แหละค่ะที่แนะนำว่าถ้าหนูชอบเรียนภาษานะ อันนี้ก็น่าสนใจ หนูลองไปศึกษาดู หนูก็เลยเลือกที่นี่ค่ะ

แล้วได้เข้าร่วมกิจกรรมอะไรที่พี่ Hands On จัดให้บ้างมั้ยคะ

Fern: หนูไปร่วมกิจกรรมตอนที่พี่ ๆ Hands On จัดที่ Office ค่ะ (Pre-departure Briefing งานปฐมนิเทศก่อนเดินทาง) เป็นงานเล็ก ๆ คุยกันไม่กี่คนค่ะ เขาแนะนำว่าก่อนจะมาที่นี่ต้องเตรียมตัวยังไง แนะนำว่าวีซ่าควรเก็บไว้ยังไง เราต้องเตรียมอะไรให้เจ้าหน้าที่บ้างก่อนที่จะมาถึง Boarder แนะนำวิธีการทำเรื่อง Credit Card สิ่งที่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวัน และการเตรียมตัวเบื้องต้นค่ะ ซึ่งทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่กังวลหรือรู้สึกว่าเตรียมตัวไม่ถูก พี่เขาก็แนะนำว่าใจเย็น ๆ ทำแบบนี้ ๆ ตามขั้นตอนไป หนูก็รู้สึกว่าโอเค

มีอะไรอยากฝากถึงคนที่เขาอยากมาเรียนต่อเหมือนเรา หรือคนที่เขาลังเลว่ามาหรือไม่มาดีนะ

Fern : อย่างแรกเลยนะต้องลองคิดก่อนว่าปัจจัยแรกเลย คือสิ่งที่เขาอยากจะทำคือทำอะไร? อย่างเป้าหมายของหนูมันชัดเจนว่าหนูอยากมาเรียน เพราะรู้สึกว่ามันไปต่อได้ ถ้าเราทำตรงนี้ได้ มันไปได้อีกเยอะเลย แล้วก็รู้สึกว่าได้ออกมาจาก Safe Zone เยอะมากเลย เราอยู่ไทยมาตลอด เราไม่เคยออกไปต่างประเทศเลยและกลัวการใช้ชีวิตคนเดียวมาก หนูรู้สึกว่าการออกมาจาก Safe Zone เป็นการเริ่มต้นที่ดีมาก ๆ

อย่างที่สองคือการหาเพื่อนต้องเอาไว้ทีหลังเลย ไม่ต้องกลัวเลย เพราะหาเพื่อนได้แน่นอน หนูรู้สึกว่าปัจจัยการหาเพื่อนคือไม่ใช่เรื่องยากเลย ถ้าเราตัดสินใจได้แล้วว่าอยากออกไปใช้ชีวิตเป็นของตัวเอง เรื่องเพื่อนไม่ต้องกลัว มันจะเข้ามาเรื่อย ๆ  เพราะว่าเราจะได้เจอคนใหม่ ๆ เยอะมาก ไม่ใช่อยู่แค่ในห้องเรียนแน่นอน เพราะหนูเจอเพื่อนในห้องเรียนแล้วก็ไปเจอเพื่อนของเพื่อนอีกทีหนึ่ง ซึ่งเขาก็เป็นเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนคนนั้นอีกทีหนึ่ง รู้สึกว่าเราได้รู้จักหลายคนมาก เราไม่รู้สึกเลยว่าเราต้องพยายาม Force ตัวเอง เพราะโอกาสที่มันเข้ามาและบรรยากาศหลาย ๆ มันทำให้เราเปิดใจ รู้สึกว่าเรื่องนี้เอาไว้ทีหลังได้เลยค่ะ

แล้วก็เราต้องถามย้ำตัวเองให้ดีก่อนว่าอยากที่จะมาจริง ๆ หรือเปล่า เราพร้อมที่จะออกจาก Safe Zone ตัวเองจริง ๆ หรือเปล่า อันนี้คือปัจจัยสำคัญ เพราะบางคนหนูรู้สึกว่าเขามาแค่ 1-2 เดือนเขาก็อยากกลับแล้ว เขารู้สึกว่าเขาเลือกผิด เซึ่งตรงนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่หนูเล็งเห็นแล้วมันเป็นปัญหาจริง ๆ หรือเรื่องเงินหรือการใช้จ่ายเป็นปัจจัยของเราไหม เพราะจริง ๆ การมาเรียนที่นี่มีอย่างเดียวที่เราต้องจ่ายคือค่าเทอม อย่างอื่นคือจ่ายเพื่อความสุขของเราทั้งนั้นค่ะ (ยิ้ม)

 

สนใจวางแผนเรียนต่อ Nottingham Trent University หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ตัวแทนมหาวิทยาลัยอย่างเป็นทางการประจำประเทศไทย ฟรี ทุกขั้นตอน เพียงกรอกแบบฟอร์มด้านล่าง

Enquiry Form

Please provide the following information and we will aim to respond within 48 hours:

Your details
Please enter your first name.
Please enter your last name.
Please enter a valid email address.
Please enter your phone number.
Please select a country you want to study.
Please select a year you want to study.
Please select your preferred branch.

* All fields required (in English)

  • Share this: