Hands On Education Consultants

รีวิว Digital Marketing ที่ University of Southampton

“Digital Marketing ที่นี่ สอนเราเรื่องกระบวนการคิด วิเคราะห์ ในหลายๆ องค์ประกอบค่ะ เป็นอะไรที่ใหม่แล้วก็มาเติมเต็มความรู้เราว่าทางด้านของดิจิทัลไม่ใช่ว่าคุณเอาโฆษณาไปลงทางออนไลน์อย่างเดียว คุณต้องวิเคราะห์เป็นด้วย เพื่อที่คุณจะได้ปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจของคุณเองได้” ออมสิน University of Southampton

 

แนะนำตัวหน่อยค่ะ

สวัสดีค่ะ ชื่อ ออมสิน นะคะ เรียน Digital Marketing อยู่ที่ University of Southampton ค่ะ

Why this course?

ทำไมถึงเลือกเรียนคอร์สนี้

ก็ต้องบอกก่อนว่าตอนปริญญาตรี ออมเรียนเกี่ยวกับ Marketing ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มาก่อน คราวนี้หลังจากเรียนจบก็ไปทำงานด้านสาย Marketing พอทำไปสักพักนึงแล้วถ้าถามว่างานมันสนุกมั้ย งานมันสนุกนะ งาน Marketing มันเป็นงานที่ท้าทาย มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เราต้องเรียนรู้ใหม่เรื่อยๆ แต่พอมาเริ่มคิดถึงอนาคตตัวเองก็คิดว่า Marketing ตอนนี้มันไม่ใช่ Marketing ธรรมดาแล้วอ่ะ แล้วยิ่งโลกปัจจุบันที่มีเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้องค่อนข้างมาก ออมก็เลยเริ่มหาคอร์สเรียนก่อนเนอะว่ามีอะไรที่มันเกี่ยวข้องกับ Marketing บ้างเพราะว่าใจยังชอบด้านนี้ แต่แค่ไม่อยากเรียน Marketing แบบเดิมๆ ก็จะเจอหลายคอร์สมากเลย ทั้งเกี่ยวกับแบรนด์ พฤติกรรมผู้บริโภค หรือจะเป็นดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง คราวนี้ก็รู้สึกว่า Digital marketing มันเป็นอะไรที่ค่อนข้างน่าสนใจมาก เพราะมันเป็นอะไรที่ใหม่ในบ้านเรา แล้วตอนนี้ในเรื่องเทรนด์ด้านการตลาด ทุกอย่างมันก็โฆษณาบนออนไลน์หมดแล้ว ก็เลยตัดสินใจที่จะเรียน Digital marketing ค่ะ

ทำไมถึงตัดสินใจลงเอยที่ University of Southampton

ในตัว Digital marketing อ่ะค่ะ มันจะมีอยู่ไม่กี่มหาวิทยาลัยที่เปิดสอนเพราะเหมือนกับเป็นคณะใหม่ในอังกฤษ แล้วเหมือนที่ Southampton เปิดคณะ Digital marketing นี้มาหลายปีแล้ว ในขณะที่มหาวิทยาลัยอื่นเพิ่งจะเปิด ออมก็เลยคิดว่าเค้าน่าจะต้องมีประสบการณ์มากกว่ามหาวิทยาลัยอื่นแน่นอน ก็เลยตัดสินใจเลือกที่ Southampton ค่ะ

สนใจเรียนต่อ University of Southampton ลงทะเบียนเพื่อรับข้อมูลเรียนต่อและคำปรึกษาฟรี คลิก

Preparation

เตรียมตัวก่อนมาเรียนอย่างไรบ้าง?

จริงๆ ออมทำงานไปได้สักปีนึง ออมก็เริ่มรู้สึกว่าอยากเรียนต่อแล้ว แต่ตอนนั้นคือมันยุ่งมาก เราก็เลยไม่รู้ว่าจะทำยังไง จนทำงานไปอีกปีนึงก็รู้สึกว่ามันไม่ได้แล้ว ถ้าเราปล่อยให้มันนานกว่านี้มันจะยิ่งไปเรื่อยๆ ออมก็เลยเริ่มหาข้อมูล ก็มีถามเพื่อนที่ไปเรียนต่อปริญญาโทที่อังกฤษว่าเค้าเตรียมตัวกันยังไงบ้าง เพื่อนๆ หลายๆ คนก็แนะนำให้ใช้เอเจนซีเลยเพราะสะดวกมาก แล้วออมก็ไม่เคยใช้เอเจนซีมาก่อนก็คิดว่ามันดูน่ากลัวเพราะคิดว่าเอเจนซีเค้าจะมาหวังดีกับเราได้ยังไง มันต้องมีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้องแหล่ะ ตอนนั้นก็เริ่มมีติดต่อเอเจนซีประมาณ 3-4 ที่ คือใครแนะนำที่ไหนมาก็ไปหมดเลย แล้วก็มีหาเองด้วยค่ะ แล้วด้วยความที่ออมทำงานจันทร์ถึงศุกร์ เวลาว่างมันก็จะน้อย ก็เลยติดต่อทั้ง 4 ที่แล้วทุกที่ก็เหมือนกันเลย อันดับแรกคือ น้องอยากเรียนหรือสนใจด้านไหน เค้าก็จะส่งข้อมูลลิสต์มาให้หมดเลย แต่สุดท้ายคือเลือก Hands On เพราะว่าอย่างที่อื่นเวลาส่งกลับไปปุ๊ป เค้าหายไปเลยอ่ะ แล้วประมาณ 2-3 วันงี้ค่อยกลับมา แต่อย่างของ Hands On ออมคุยกับพี่พลอย สาขาพระราม 2 คือส่งไปไม่ถึงวัน พี่เค้าก็ส่งข้อมูลกลับมาให้หมดแล้วอ่ะ มันก็เลยทำให้เรา keep connection กับเค้าได้ไวค่ะ มันก็เลยทำให้เราไม่อยากคุยกับที่อื่นแล้วเพราะว่าเค้าดูไม่ค่อยสนใจแล้ว แล้วดูไม่ค่อยให้เวลากับเราค่ะ

การบริการจาก Hands On

แล้วมันเป็นอะไรที่แปลกใจมากค่ะ เพราะว่าคือออมทำงานจันทร์ถึงศุกร์ใช่มั้ย ออมก็ไม่รู้ว่าจะต้องเตรียมเอกสารอะไรยังไง แล้วพี่พลอยเค้าก็ลิสต์มาให้หมดเลยว่าช่วงนี้น้องออมต้องทำยังงี้ก่อนนะ ไปสอบ IELTS ก่อนนะ แล้วเดี๋ยวพอถึงช่วงที่ต้องทำ SoP หรือต้องยื่นเอกสารเข้ามหาวิทยาลัยพี่พลอยก็จะมาตามแล้ว ว่าทำอันนี้ยัง ไปสอบ IELTS มาเป็นยังไงบ้าง มันเหมือนมีคนมาคอยกระตุ้นเราอยู่ตลอดค่ะ ทำให้เรื่องงานเราก็โฟกัสได้ เรื่องเตรียมตัวไปเรียนก็มีคนมาช่วยอีก มันเลยดีมากๆ ค่ะ

ตอนแรกก็คิดว่าก็ต้องมีอย่างน้อยสักนิดแหล่ะ คิดว่าอย่างน้อยเข้ามหาวิทยาลัยได้มันต้องมีสักนิดนึงอ่ะ แต่สุดท้ายคือมันก็ไม่มีค่ะ

ตอนแรกที่เพื่อนแนะนำ มีคนแนะนำ Hands On มั้ยคะ

มีค่ะ เพื่อนบอกว่าบริการฟรีค่ะ แต่ออมแค่รู้สึกว่ามันจะจริงหรอ? คือรู้สึกว่า Hands On มีทั้งสำนักงาน มีจัดสัมมนาโน่นนี่นั่น แล้วเค้าจะเอารายได้มาจากไหน ก็เลยคิดว่ามันไม่น่าใช่แต่สุดท้ายมันก็ฟรีจริงๆ (ยิ้ม)

แล้วกิจกรรมที่ทาง Hands On เตรียมให้เป็นยังไงบ้าง

พี่พลอยส่งมาให้เยอะมาก อันที่ออมไปคืออันที่มีตัวแทนจาก University of Southampton บินมาที่ไทย แล้วให้เราไปคุยกับเค้าได้ เค้าก็จะมาแนะนำคอร์สอะไรแบบนี้ แต่ว่าวันที่เค้าจะมาจัดสัมมนาจริงๆ อ่ะออมไม่ว่าง ออมก็เลยถามพี่พลอยว่ามันมีเวลาอื่นมั้ย คราวนี้พี่พลอยก็แนะนำงานที่ให้เราสามารถไปถามตัวต่อตัวได้

ซึ่งวันนั้นคนที่มาเป็นอาจารย์คนไทยที่สอนอยู่ที่ University of Southampton ชื่อพี่นุช สอนด้าน Finance ค่ะ คือเค้าก็มาอธิบายทุกอย่างให้หมดเลย ออมไปเรียนคนเดียวทีนี้ออมก็ไม่รู้ว่าไปถึงจะต้องเดินทางยังไง เตรียมตัวยังไง ต้องทำอะไรบ้าง คือพี่นุชก็อธิบายทุกอย่างให้หมดเลย มันก็เลยทำให้เราเห็นภาพว่าก่อนไปเราต้องเตรียมตัวประมาณนี้ มีอะไรที่เราควรเอาไปหรือไม่ควรเอาไปบ้าง ซึ่งก็คลายความกังวลได้ดีเลย

แล้วอีกอันคืองานที่ UK Networking Party ที่ Hands On จัด ที่เอานักเรียนที่เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันมารู้จักกันก่อนไป ซึ่งอันนั้นคือดีมาก คือใครที่ไปคนเดียวอ่ะมันกลัวอยู่แล้วว่าไปถึงจะดำรงชีวิตยังไง แต่พอไปงานนี้ออมบอกเลยว่าออมได้เพื่อนจากตรงนี้ ซึ่งอย่างน้อยพอตอนไปถึงแล้วเราจะไปไหนก็มีเพื่อนไปด้วยกัน ก็เลยกลายเป็นว่าเรามีเพื่อนอ่ะ จากเดิมที่เรากลัวว่าไปคนเดียวแล้วใช้ชีวิตคนเดียว แต่มันไม่ใช่แล้ว พอเรารู้จักเพื่อนที่เรียนคณะเดียวกันหรือมหาวิทยาลัยเดียวกัน พอมาด้วยกันทุกอย่างก็ง่ายไปหมดเลย แล้วมันก็ทำให้เรามีเพื่อนตั้งแต่วันแรกที่เรามาที่นี่ แล้วทำให้การดำรงชีวิตในอังกฤษกลายเป็นเรื่องที่สนุก เรื่องของความกลัวอะไรแบบนี้มันหายไปเลยค่ะ

สนใจเรียนต่อ University of Southampton ลงทะเบียนเพื่อรับข้อมูลเรียนต่อและคำปรึกษาฟรี คลิก

Digital Marketing

ด้วยความที่มันเป็น Digital marketing วิชาที่เรียนมันก็จะมีความดิจิทัลอย่างเช่น มีวิชาเกี่ยวกับการเขียนเว็บไซต์อย่าง Web analytics หรือ Web application ก็ให้เราสร้างเว็บไซต์จริงๆ เลย ตอนเรียนในคลาสก็จะมีเรียนว่าอะไรคืออะไรแบบไหน แล้วก็มีเรียนเขียนเว็บซึ่งจุดประสงค์คือเค้าไม่ได้ต้องการให้เราจบออกไปแล้วเราสร้างเว็บเป็นนะ แต่คือต้องการให้เรารู้ว่าถ้าเราอยากกลับไปทำงานด้านนี้ แล้วจ้างคนมาเขียนเว็บไซต์ เราจะได้ใช้ภาษาแบบที่นักเขียนเว็บเค้าใช้ เหมือนอธิบายให้เค้าฟังได้ว่าฉันต้องการแบบนี้นะ ซึ่งก็จะทำให้การทำงานง่ายขึ้น เพราะว่าอย่างคนเขียนเว็บเวลาเค้าออกแบบเค้าก็จะคิดแค่ว่าเว็บไซต์แบบไหนที่มันดูว้าวสุด มีลูกเล่น มีเทคโนโลยีอะไรใหม่ๆ สุด แต่ในด้าน Marketing เค้าจะคิดในมุมของลูกค้าว่าเวลาลูกค้ากดเข้ามาในเว็บนี้แล้วลูกค้าจะได้อะไร เหมือนดู Customer experience ของลูกค้าค่ะ ซึ่งจะ match ความต้องการของลูกค้าในการใช้เว็บได้ดีขึ้นค่ะ กับอีกตัวนึงเป็น Web analytics คืออย่างที่บอกว่าตอนนี้การโฆษณาออนไลน์ค่อนข้างเยอะ ถ้าเกิดว่าเราวิเคราะห์มันเป็นว่าการที่เราโพสรูปขึ้นไป 1 รูปบน Facebook มันหมายถึงอะไร แล้วคนที่มากด like มา comment เนี่ยมันส่งผลอะไร หรือว่าการที่คนคลิกเข้ามาในเว็บไซต์ของเราเนี่ย ระยะเวลาที่เค้าอยู่ในแต่ละหน้า มันส่งผลอะไร มันสามารถนำมาวิเคราะห์ได้หมด ซึ่งที่ผ่านมาเราไม่เคยรู้หรือเราไม่เคยเรียนด้านนี้มาก่อน ตรงนี้เลยเป็นอะไรที่ใหม่แล้วก็มาเติมเต็มความรู้เราว่าทางด้านของดิจิทัลไม่ใช่ว่าคุณเอาโฆษณาไปลงทางออนไลน์อย่างเดียว คุณต้องวิเคราะห์เป็นด้วย เพื่อที่คุณจะได้ปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจของคุณเองได้

เพื่อนๆ คนไทยในห้องเป็นยังไงบ้างคะ ได้ข่าวว่าคนไทยเยอะมาก

คนไทยเยอะมากค่ะ ด้วยความที่ Digital marketing มันค่อนข้าง popular ในประเทศไทย เพราะฉะนั้นคอร์สนี้เพื่อนคนไทยจะเยอะมาก แต่ว่าออมก็จะมีเพื่อนชาวต่างชาติด้วย ก็คือมันมาจากวิชาเรียนวิชานึงที่อาจารย์เค้าจับกลุ่มให้เพราะเค้าอยากให้เรารู้จักกับคนอื่น ก็เลยมีเพื่อนเป็นชาว Lebanese กับ Vietnamese เราก็อยู่กับกลุ่มเพื่อนคนไทยด้วย แล้วก็กลุ่มต่างชาติด้วย ทีนี้ด้วยความที่เรามีเพื่อนต่างชาติด้วย เวลาทำงานกลุ่ม culture หรือความคิดเค้าก็จะแตกต่างจากของคนไทย คืออย่างคนไทยเวลาใคร lead หรือพูดอะไรไป ก็จะเออๆๆ เอาแบบนั้นก็ได้ แต่ว่ากับชาวต่างชาติเค้าจะไม่ใช่ อย่างเพื่อนชาวเลบานอนเค้าก็จะถามเลยว่าทำไมถึงคิดแบบนี้หล่ะ ทำไมไม่เป็นแบบนี้ มันจะเหมือนช่วยกันถกปัญหา ช่วยกันถกประเด็นไปเรื่อยๆ ทำให้งานมันเกลาออกมาได้ดีมากขึ้น

คิดว่าการที่มีคนไทยเยอะมีข้อดีหรือข้อเสียยังไงบ้าง

อย่างแรกเลยมันอยู่ที่การดำรงชีวิต การเลือกเพื่อนของเรามากกว่า คือถ้าเกิดว่าเราอยากพัฒนาภาษาแล้วเราอยู่กับกลุ่มเพื่อนคนไทยอันนี้คือข้อเสียแล้ว เพราะเราจะไม่ได้ใช้ภาษาแน่นอน Speaking นี่จะไม่ได้เลย แต่ว่าข้อดีของคนไทยคือคนไทยจะช่วยกัน เวลามีงานอะไรสงสัยอะไรมันจะคุยกันถามกันอธิบายกัน เหมือนช่วยกันเรียนช่วยกันทำมากกว่าชาวต่างชาติ แต่ว่ากับชาวต่างชาติเนี่ยสิ่งที่ได้จะเป็นเรื่องของการพัฒนาภาษา เราได้ฝึก Speaking เราได้ฝึก Critical thinking เพราะว่าเค้าจะค่อนข้างคิดอะไรที่เป็นระบบ มีตรรกะค่ะ

กิจกรรมในห้องเรียนมีอะไรบ้าง นอกจากทำงานกลุ่มกับเพื่อน

ก็จะมีเป็นพรีเซนต์ค่ะ มันแล้วแต่วิชา บางวิชาก็จะมีคะแนนแบ่งเป็นพรีเซนต์ 50% แล้วก็รายงาน 50% ซึ่งพรีเซนต์เนี่ยก็จะมี 2 แบบ บางวิชาก็จะให้เราไปอัดวิดีโอมาภายใน 20 นาที จะสร้างสรรค์วิดีโอยังไงก็ได้ ตัดต่อยังไงก็ได้ แล้วก็ส่งไปให้อาจารย์ บางวิชาก็จะเป็นการพรีเซนต์หน้าห้องแล้วก็จะมีช่วงถาม-ตอบ 5 นาที หลักๆ Digital marketing จะมีสอบแค่วิชาเดียว นอกนั้นเนี่ยจะเป็นงานกลุ่มแล้วก็ assignment

สนใจเรียนต่อ University of Southampton ลงทะเบียนเพื่อรับข้อมูลเรียนต่อและคำปรึกษาฟรี คลิก

University of Southampton

Facilities ในมหาวิทยาลัยเป็นยังไงบ้าง

เอาเรื่องห้องสมุดก่อนแล้วกันเพราะค่อนข้างใช้บ่อย อย่างที่บอกไปแล้วว่าในบางวิชาก็จะมีอาจารย์แนะนำว่าต้องไปอ่านหนังสืออะไรบ้าง ด้วยความที่ห้องสมุดกับที่พักจะต้องนั่งรถประมาณ 20-30 นาที บางทีเราก็ไม่สะดวกมาห้องสมุดเพื่อเดินไปดูที่ชั้นว่ามีหนังสือที่เราหามั้ย แต่ที่นี่คือเราสามารถกดจองได้จากระบบของมหาวิทยาลัยเลยว่าฉันหาหนังสือเล่มนี้อยู่นะ ฉันขอกดจองไว้เลย คือบางทีมันไม่มีตอนนี้คือมีคนอื่นยืมอยู่ เราก็สามารถกด hold ไว้ พอถึงช่วงที่มีคนเอาหนังสือมาคืนแล้วเล่มนี้ถึงคิวเราแล้ว มันก็จะมีอีเมลเด้งเตือนมาว่าหนังสือที่เรา hold ไว้ตอนนี้ถึงคิวคุณแล้วนะ ก็สามารถไปหยิบจากชั้นที่ hold ไว้ คือเค้าจะเก็บหนังสือที่โดน hold ไว้แยกจากชั้นวางหนังสือปกติเลย เพราะฉะนั้นมาถึงแล้วเรามั่นใจได้แน่นอนว่าเราได้หนังสือเล่มนี้แน่ๆ แล้วด้วยความที่ห้องสมุดที่นี่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง ก็จะมีอีกโซนที่ชอบมากคือ IT service ด้วยความที่ออมไม่ถนัดเกี่ยวกับการลงโปรแกรมคอมพิวเตอร์อะไรทุกอย่าง พอมันมี IT service มันก็ช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น มันมีครั้งนึงเครื่องโน๊ตบุ๊คออมติดไวรัส เราก็ทำไม่เป็นก็ยกมาให้ที่นี่เค้าทำให้ ซึ่งทุกอย่างมันฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย แล้วอีกสิ่งนึงที่ดีคือมหาวิทยาลัยนี้เค้าจะ support โปรแกรมการเรียนการสอนทั้งหมดเลย ก็คือไม่ว่าจะเป็น Photoshop, SPSS, หรือว่าจะเป็น Microsoft ที่ใช้กับเครื่อง Mac คือทุกอย่างสามารถ download ใช้ได้ฟรีหมดเลย นอกจากนี้ก็ยังมีเว็บไซต์ที่เป็น lynda.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่เราสามารถกดเข้าไปดูแล้วเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นวิธีการเขียนเรียงความ วิธีการตัดต่อวิดีโอ วิธีการทำ SPSS คือทุกอย่างอยู่ในนี้หมดแล้วเราสามารถกดเข้าไปได้ค่ะ อีก facilities นึงที่มหาวิทยาลัย Southampton ใช้จะเป็น application ที่เรียกว่า Black board ซึ่งจะเป็นตัวที่เวลาอาจารย์จะติดต่อสื่อสารกับนักศึกษาก็จะผ่านทางนี้ ไม่ว่าจะเป็นการ upload ชีทที่เรียนหรืออะไรต่างๆ เค้าก็จะอัพโหลดผ่านตรงนี้หมด ซึ่งตัวนี้มันมีเป็น application เราก็สามารถกดเข้าไปดูได้ว่ามีหนังสืออะไรออกมาใหม่ มีชีทเรียนอะไรออกมาใหม่ คือทุกอย่างผ่านทางออนไลน์ใหม่ก็ค่อนข้างจะสะดวกค่ะ

เรียนแบบอังกฤษ

จะว่ายังไงดีคือการเรียนการสอนของไทยกับอังกฤษมันคนละเรื่องเลย อย่างที่ไทยนี่เค้าจะเน้นเข้าห้องเรียนไปฟัง lecture แต่ว่าของที่อังกฤษเนี่ย สัปดาห์นึงจะเรียนค่อนข้างน้อยจะมีเรียนแค่ 3-4 วัน วิชานึงก็จะเรียนแค่สัปดาห์ละครั้ง แต่ว่าที่เหลือจะเป็นการ independent learning อาจารย์เค้าก็จะให้หนังสือหรือวารสารมาให้เราอ่านเสริม แล้วเราจะอ่านหรือไม่อ่านก็ได้ ทีนี้แรกๆ ออมก็ไม่อ่าน ไปถึงก็ไปนั่งเรียนเลย พอเรียนไปสักพักนึงสัก 2-3 ครั้งเราก็รู้สึกว่าเราตามเค้าไม่ทันอ่ะ เราเข้าใจที่เค้าพูดว่าเค้าพูดอะไรแต่เราไม่เข้าใจลึกลงไปว่าทำไมตัวนี้มันถึงเป็นแบบนี้ แล้วยิ่งอาจารย์ที่สอนที่นี่เค้าก็ไม่ได้เป็นคนไทย เค้าก็จะยกตัวอย่างอะไรที่เป็นเกี่ยวกับยุโรปหรืออังกฤษ ซึ่งเราไม่เคยดูเราก็จะไม่อิน ทีนี้พอเราไม่อินเราก็ไม่เข้าใจ มันก็เลยกลับไปที่ว่าเราต้องไปอ่านหนังสือหรือวารสารที่เค้าให้มาบ้างแล้วแหล่ะ คือพอเรามานั่งอ่านแล้วพอเราไปเข้าคลาสเรียนใหม่ มันเก็ทเลยว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ มันชัดขึ้นค่ะ

ปรับตัวเรื่องการเรียน

ออมว่ามันคือเรื่องการจัดการเวลา คืออย่างที่บอกว่าคอร์สเรียนที่นี่สัปดาห์นึงเรียนแค่ 3-4 วัน วันนึงมาเรียนแค่ 2-3 ชั่วโมงก็กลับบ้านแล้ว แรกๆ เราก็รู้สึกว่าอาทิตย์นึงเรียนแค่ไม่กี่วันเองก็เต็มที่เลย ไปเที่ยวกับเพื่อนสังสรรกันจนแบบสักพักนึงเรารู้สึกว่ามันไม่ใช่แล้ว ถึงแม้ว่าตารางเรียนมันน้อยแต่เวลาส่งงานหรือเวลาสอบอ่ะทุกอย่างมันใกล้กันหมดเลย คือถ้าเราไม่จัดการดีๆ เนี่ยมันจะไปกองกันช่วงสุดท้ายที่ต้องส่ง มันจะทำให้เราทำงานไม่ทัน คือวิชานึง essay มันจะประมาณสัก 3,000 คำ เราก็อาจจะเฮ้ย 3,000 คำเองนิดเดียว แต่จริงๆ คือ 3,000 คำนั้นอ่ะเราต้องมานั่งหาข้อมูล หา reference มาประกอบงานเขียนของเราเพื่อให้งานดูมีน้ำหนัก แล้วก็ดูมีความเป็น academic มากขึ้นค่ะ เพราะฉะนั้น 3,000 คำนี้มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะมันจะเสียเวลาไปกับการนั่งหาข้อมูล

เมือง Southampton

ถ้าใครติดชีวิตที่มีความเป็นเมืองเนี่ย Southampton จะไม่ตอบโจทย์เลย คือ Southampton จะเป็นเมืองเล็กๆ คนก็ค่อนข้างน้อย พวกสถานที่เที่ยวก็ค่อนข้างจะน้อย ก็จะมีแบบซุปเปอร์มาร์เก็ตหลักๆ ให้ อย่าง Asda, Sainsbury’s ห้างสรรพสินค้าก็จะมี Westquay ถึงแม้ว่าจะเป็นเมืองที่เล็กแล้วไม่ได้มีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะ แต่ว่ามีรถบัส มีรถไฟ ก็เลยทำให้การไปไหนมาไหนค่อนข้างสะดวก คือจากนี่นั่งรถไฟเข้าลอนดอนก็ 2.5 ชั่วโมง ถ้าเทียบกับที่กรุงเทพเราดำรงชีวิตแบบรถติดเนี่ยก็พอกัน หรือว่าอยากไปชอปปิ้งที่ Outlet ก็มีเมืองข้างๆ Portsmouth ก็นั่งรถไฟไปได้ค่ะ ด้วยความที่เมืองนี้มันเป็นเมืองที่ค่อนข้างสงบ คนที่นี่เองก็ค่อนข้างจะ nice มาก มีความเป็นกันเอง มีความช่วยเหลือ แล้วอีกสิ่งนึงคือเรื่องของโจรหรือขโมยเนี่ยไม่ต้องกังวลเลย มีครั้งนึงออมเคยทำกระเป๋าตังตก แล้วก็มีผู้ชายเดินมาบอกว่ายูๆๆ ทำกระเป๋าตังตกนะ คือมาบอกทันที ไม่ต้องมาระแวงว่าของจะหายค่ะ

มีอะไรแนะนำน้องๆ ที่สนใจเรียนต่อมั่ง ในฐานะที่เราเป็นรุ่นพี่

Aomsin: ถ้าเกิดใครไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไง ก็เหมือนออมตอนนั้นที่ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง ออมคิดว่าเอเจนซีเป็นตัวช่วยที่ดีเลย ข้อมูลเค้าจะให้เราพร้อม ละเอียด รู้จริง เราถามนอกเรื่องได้เลยนะว่าแบบเมืองนี้เป็นยังไง มหาวิทยาลัยเป็นแบบไหน เราเป็นคนสไตล์ชอบแบบเงียบๆ เมืองนี้มหาวิทยาลัยนี้เหมาะกับเรามั้ย คือพี่เค้าให้คำแนะนำได้หมดเลยเพราะว่าพี่เค้าก็มีน้องๆ ที่รู้จักค่อนข้างเยอะ เค้าก็จะไปถามต่อมาให้ หรืออย่างตอนนั้นออมถามเลยว่าอย่าง Digital marketing นักเรียนคลาสนึงเยอะมั้ย มีคนไทยมีต่างชาติประมาณเท่าไหร่ พี่พลอยเค้าก็ไปถามมาให้เพื่อมา guideline ให้เราค่ะ นอกจากนี้เอเจนซีเค้าก็ยังมาช่วยเรียงลำดับความสำคัญให้เราได้ด้วย ว่าเราต้องทำอะไร จัดการเอกสารยังไง เขียน SoP ยังไงแล้วก็มีตรวจให้ด้วย เรื่องของการหาเพื่อนสำหรับใครที่มาคนเดียวก็เวลาที่ Hands On จัดสัมมนาให้ก็อยากแนะนำให้ไปเหอะ อย่าคิดว่าเสียเวลา คือทุกคนส่วนใหญ่ก็ไปเรียนคนเดียว ทุกคนมางานนี้ส่วนใหญ่ก็ไปหาเพื่อน รับรองว่าไปปุ๊ปได้เพื่อนแน่นอน แล้วการที่เรามีเพื่อนก่อนที่เราจะมาถึงอังกฤษมันเป็นอะไรที่สะดวกมาก เพราะว่ามีอะไรเราสามารถถามเค้าได้ เพราะว่าถ้าเรามีปัญหาแล้วเรากลับไปถามพ่อแม่หรือถามเพื่อนที่ไทย เค้าก็ไม่สามารถช่วยเราได้ ปัญหามันคนละแบบ

 

สนใจเรียนต่อ University of Southampton ลงทะเบียนเพื่อรับข้อมูลเรียนต่อและคำปรึกษาจากพี่ๆ Hands On ตัวแทนมหาวิทยาลัยอย่างเป็นทางการประจำประเทศไทย คลิก