รวมข้อสอบวัดผลในการวางแผนเรียนต่ออเมริกา (เรียนต่อ USA) เรียนต่อออสเตรเลีย
มัดรวมข้อสอบวัดผล เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเรียนต่ออเมริกา (เรียนต่อ USA) เรียนต่อออสเตรเลีย
การเตรียมตัวสอบเพื่อเรียนต่อต่างประเทศถือเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับน้อง ๆ เพราะการสอบจะเป็นการชี้วัดว่าน้อง ๆ จะสามารถเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่เป็นจุดมุ่งหมายได้หรือไม่ แน่นอนว่าประตูด่านแรกของการสอบ น้อง ๆ คงรู้จักกันเป็นอย่างดี ก็คือการสอบ TOEFL กับ IELTS ซึ่งเป็นการสอบวัดระดับความสามารถทางภาษาอังกฤษ
สำหรับผู้ที่ต้องการวางแผนเรียนต่อต่างประเทศทั้งในระดับปริญญาตรี และเรียนต่อป.โท ต่างประเทศ เรียนต่ออเมริกา (เรียนต่อ USA) และเรียนต่อออสเตรเลีย ยังมีข้อสอบวัดผลที่ทางมหาวิทยาลัยใช้เป็นเกณฑ์มาตรฐานในการคัดเลือกอีกมากมาย โดยทางมหาวิทยาลัยจะเป็นผู้กำหนดเกณฑ์ข้อสอบภายใต้หลักสูตรขึ้นมาเอง และเพื่อให้น้อง ๆ ไม่พลาดกับการสอบ พี่ Hands On ได้รวบรวมข้อมูลการสอบทั้งหมดมาบอกน้อง ๆ ตามมาดูกันเลยดีกว่า
การสอบ SAT : The Scholastic Aptitude Test (SAT)
เป็นข้อสอบวัดระดับความถนัดเชิงเหตุผลทางคณิตศาสตร์ (Mathematics) และภาษาอังกฤษ (Reading & Writing) ของนักเรียนชั้นมัธยมตอนปลาย สำหรับน้อง ๆ ที่ต้องการเรียนต่อต่างประเทศในระดับปริญญาตรี โดยเฉพาะเรียนต่ออเมริกา (เรียนต่อ USA) และเรียนต่อออสเตรเลียนั้น ข้อสอบจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่
- Reasoning Test การทดสอบการให้เหตุผล ข้อสอบส่วนนี้เช็คทักษะการเชียนภาษาอังกฤษและไวยกรณ์โดยรวม
- Subject Test การทดสอบรายวิชาเฉพาะ เพื่อตรวจสอบความรู้ความสามารถในขอบเขตการศึกษาที่เกี่ยวข้อง
ข้อสอบ SAT นี้จะอยู่ภายใต้ลิขสิทธิ์ The College Board of the United States of America โดยการสอบ SAT จะใช้เวลาในการสอบประมาณ 3 ชั่วโมง 40 นาที แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้
- การอ่าน (Reading) ใช้เวลา 20 นาที 1ส่วน และ 25 นาที 2 ส่วน โดยมีคำถามจากบทความ 48 ข้อ และจากการเติมประโยคให้สมบูรณ์อีก 19 ข้อ
- คณิตศาสตร์ ใช้เวลา 20 นาที 1 ส่วน และ 25 นาที 2 ส่วนเช่นกัน โดยมีคำถามแบบกากบาท 44 ข้อ และแสดงวิธีทำอีก 10 ข้อ
- การเขียน (Writing) ใช้เวลา 10 นาที 1ส่วน และ 25 นาที 2 ส่วน โดยมีคำถามเกี่ยวกับการปรับปรุงประโยค 25 ข้อ, หาประโยคที่ผิด 18 ข้อ และปรับปรุงย่อหน้าใหม่ 6 ข้อ และยังให้ผู้เข้าสอบเขียนเรียงความอีก 1 เรื่อง แต่จะไม่ได้คาดหวังเรียงความที่สมบูรณ์แบบ เพราะมีเวลาในการเขียนที่จำกัด จึงไม่จำเป็นต้องเขียนร่างก่อน
SAT เป็นการทดสอบมาตรฐานของนักเรียนทุกคน และได้เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นทั่วโลกและกลายเป็นมาตรฐานของการทดสอบนักเรียนเพื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยชั้นนำในหลายประเทศ การสอบจะถูกจัดสอบขึ้นทั้งหมดแค่ 7 ครั้งต่อปี
วิธีการนับคะแนน SAT
สำหรับการสมัครสอบสามารถสมัครกับ The College Board เพื่อที่จะได้สามารถตรวจผลคะแนนสอบแบบออนไลน์ได้ แทนที่จะต้องรอผลผ่านทางไปรษณีย์ โดยมหาวิทยาลัยจะกำหนดระดับผลคะแนนสอบ SAT ที่แตกต่างกันออกไป โดยมีมาตรฐานคะแนนอยู่ที่ 2,400 คะแนน ส่วนคะแนนเฉลี่ยจะมีเริ่มต้นตั้งแต่ 1,500 ขึ้นไป
แม้ว่าผลคะแนนสอบ SAT สูง แต่มหาวิทยาลัยก็ยังมีวิธีการในการคัดเลือกอีกหลายรูปแบบ ทำให้ SAT เป็นเพียงแค่หนึ่งในวิธีเหล่านั้น โดยวิธีที่มหาวิทยาลัยใช้ในการตัดสินคัดเลือกนักเรียนมีหลายวิธี เช่น เรียงความ, จดหมายรับรอง รวมถึงผลการเรียนที่ผ่านมาด้วย
MCAT : The Medical College Admission Test (MCAT)
เป็นข้อสอบสำหรับผู้ที่ต้องการเรียนต่อป.โท ต่างประเทศ โดยรับความนิยมมากในอเมริกา ซึ่งจะเป็นข้อสอบวัดผลสำหรับน้อง ๆ ที่ต้องการเรียนต่ออเมริกา (เรียนต่อ USA) และเรียนต่อออสเตรเลีย โดย MCAT เป็นแบบทดสอบที่ถูกออกแบบมาเพื่อสำหรับน้อง ๆ ที่ต้องการเรียนแพทย์ โดยรูปแบบข้อสอบของ MCAT จะเป็นแบบตัวเลือกหรือ Multiple-choice ซึ่งจะสามารถชี้วัดความถนัดและความรู้ในเนื้อหาวิชาที่เกี่ยวข้อง
น้อง ๆ ที่ต้องการเรียนต่ออเมริกา (เรียนต่อ USA) และเรียนต่อออสเตรเลีย ในหลักสูตรแพทย์ทุกคนจะต้องยื่นคะแนน MCAT เพื่อแสดงให้ทางมหาวิทยาลัยเห็นถึงระดับความรู้ที่สำคัญทางด้านวิทยาศาสตร์ โดยต้องใช้เวลา 7.5 ชั่วโมงในการสอบ และต้องตอบคำถามทั้งหมดประมาณ 230 คำถาม ในการสอบ MCAT โดยข้อสอบแบ่งออกเป็น 4 ส่วนด้วยกัน ได้แก่
- Biological and Biochemical Foundations of Living Systems
- Chemical and Physical Foundations of Biological Systems
- Psychological, Social, and Biological Foundations of Behavior
- Critical Analysis and Reasoning Skill
วิธีการนับคะแนน MCAT
มีคะแนนเต็มอยู่ที่ 528 คะแนน แต่ส่วนใหญ่แล้วมหาวิทยาลัยจะพิจารณาโดยดูจากช่วง percentile ของผู้สมัคร สิ่งที่น่าสนใจคือ หากตอบคำถามผิดจะไม่มี penalty รวมถึงการเลือกที่จะไม่ตอบ ก็จะไม่โดน penalty เหมือนกัน ดังนั้นน้อง ๆ ควรตอบคำถามให้มากที่สุด โดยระบบนำจำนวนคำตอบที่ถูกต้องของแต่ละ section มาแปลงตาม scale คะแนน ที่มีตั้งแต่ 118 ถึง 132 ซึ่งเมื่อนำมารวมกันทุก section แล้ว จะได้เป็นคะแนนเต็มสูงสุด คือ 528 คะแนนนั่นเอง
LSAT : Law School Admission Council (LSAC)
เป็นแบบทดสอบมาตรฐานสำหรับว่าผู้ที่ต้องการเรียนต่อป.โท ต่างประเทศในสถาบันด้านกฎหมายที่มีอยู่ 202 สถาบันที่เป็นสมาชิกของ Law School Admission Council (LSAC) LSAT ทั้งอเมริกา ออสเตรเลียและแคนาดา โดยเป็นข้อสอบแบบปรนัย มีทั้งคำถามที่อ่านจับใจความและการวิเคราะห์หาข้อสรุปอย่างสมเหตุสมผล โดยมีการสอบ 4 ครั้งต่อปี
การสอบ LSAT มีส่วนคำถามแบบปรนัยที่แตกต่างกัน 5 ส่วน รวมถึงส่วนตัวอย่างการเขียนที่ไม่ได้ให้คะแนน 5 ส่วนที่แตกต่างกันประกอบด้วยการใช้เหตุผลเชิงตรรกะ การให้เหตุผลเชิงวิเคราะห์ ความเข้าใจในการอ่าน ส่วนตัวแปรที่ไม่ได้ให้คะแนนซึ่งใช้สำหรับการทดสอบคำถามใหม่ และตัวอย่างการเขียน น้อง ๆ จะมีเวลา 35 นาทีในการทำแต่ละส่วนให้เสร็จ
วิธีการนับคะแนน LSAT
จะเป็นคะแนนดิบที่ได้จากการตอบคำถาม และจะปรับให้เป็นคะแนนในช่วง 120-80 โดยใช้สูตรคำนวณที่กำหนดขึ้น LSAT
GRE : The Graduate Record Examination (GRE)
นับว่าข้อสอบที่ถูกกำหนดในหลักสูตรปริญญาโทหลายแห่งทั่วโลก รวมไปถึงน้อง ๆ ที่ต้องการไปเรียนต่ออเมริกา (เรียนต่อ USA) โดยเฉพาะในหลักสูตรวิศวกรรมศาสตร์และวิทยาศาสตร์ เป็นแบบทดสอบมาตรฐานที่ใช้วัดความสามารถทางคณิตศาสตร์และทักษะการคิดวิเคราะห์
- โครงสร้างข้อสอบ GRE การเขียนเชิงวิเคราะห์ (เรียงความ 2 เรื่อง) 75 นาที การใช้ภาษา 2 x 30 นาที การวัดความสามารถในการคำนวณ 2 x 35 นาที ใช้เวลาทั้งสิ้นประมาณ 3 ชั่วโมง 45 นาที
GMAT : Graduate Management Admission Test (GMAT)
เป็นข้อสอบสำหรับน้อง ๆ ที่ต้องการเรียนต่ออเมริกา (เรียนต่อ USA) ในสาขาบริหารธุรกิจ คะแนนเฉลี่ยของ GMAT จะอยู่ในช่วง 570-580 ส่วนเกณฑ์ของมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก คะแนนต้องมากกว่า 700 คะแนน ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการปรับปรุงแบบทดสอบใหม่ โดยเพิ่มข้อสอบ ‘Integrated Reasoning’
- โครงสร้างข้อสอบ GMAT การเขียนเชิงวิเคราะห์ (เรียงความ 1 เรื่อง) 30 นาทีการให้เหตุผลเชิงบูรณาการ 30 นาทีการวัดความสามารถในการคำนวณ 75 นาที การใช้ภาษา 75 นาทีใช้เวลาทั้งสิ้นประมาณ 3 ชั่วโมง 30 นาที
GRE และ GMAT จัดว่าเป็นข้อสอบตัวเลือกที่สำคัญสำหรับน้อง ๆ ที่ต้องการเรียนต่อเมริกา (เรียนต่อ USA) ในระดับปริญญาโท โดยเป็นข้อสอบที่ได้รับความนิยมสูงสุดในการรับสมัคร ซึ่งน้อง ๆ ต้องพิจารณาดูว่ามหาวิทยาลัยที่สนใจเปิดรับต้องการให้สอบข้อสอบประเภทไหนมากกว่ากัน หรือสามารถเลือกแบบใดแบบหนึ่ง แต่สำหรับน้อง ๆ ที่ต้องการเรียนต่อออสเตรเลีย มหาวิทยาลัยในออสเตรเลียจะไม่ต้องใช้ผลคะแนน GRE และ GMAT ในการสมัครเข้าเรียนหลักสูตร MBA
UMAT : Undergraduate Medicine and Health Sciences Admission Test (UMAT)
เป็นข้อสอบสำหรับน้อง ๆ ต้องการเรียนต่อออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ในคณะแพทย์หรือทันตแพทย์ ซึ่งเป็นข้อสอบที่วัดความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ แต่จะสอบใน 3 วิชา
1. การใช้เหตุผลและการแก้ปัญหา (Logical Reasoning and Problem Solving)
2. การทำความเข้าใจผู้คน (Understanding People)
3.การแก้ปัญหาโดยใช้รูปภาพ และการดู pattern ต่าง ๆ (Non-verbal Reasoning)
เมื่อน้อง ๆ รู้แล้วว่าการเรียนต่ออเมริกา (เรียนต่อ USA) และเรียนต่อออสเตรเลีย ต้องเตรียมตัวในเรื่องของข้อสอบยังไงบ้าง น้อง ๆ ควรเลือกมหาวิทยาลัยและสาขาที่อยากเรียนเอาไว้ก่อน เพื่อตั้งเป้าหมายในการสอบให้กับตัวเอง แต่ถ้าน้อง ๆ ยังไม่มั่นใจในมหาวิทยาลัย หรือสาขาวิชาที่ต้องการจะเลือกเรียน พี่ Hands On พร้อมเป็นที่ปรึกษาน้อง ๆ ที่มีแผนไปเรียนต่อต่างประเทศ เริ่มตั้งแต่ให้คำปรึกษาและแนะนำข้อมูลคอร์สเรียนและมหาวิทยาลัย ตรวจทานเอกสารและดำเนินการสมัครเรียน ติดตามสถานะใบสมัครและประสานงานกับทางมหาวิทยาลัย ให้คำปรึกษาเรื่องการเตรียมเอกสารยื่นขอวีซ่า และมีกิจกรรมพิเศษอื่น ๆ เตรียมพร้อมตลอดปี ให้คำปรึกษาทั้งระดับปริญญาตรี ปริญญาโทและเอก รวมถึงคอร์สเรียนประกาศนียบัตร และสำหรับน้อง ๆ ที่สนใจเรียนคอร์สภาษาระยะสั้น ๆ ก็สามารถเข้ามาปรึกษาพี่ Hands On ได้ฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
Hands On บริการให้คำปรึกษาด้านเรียนต่อต่างประเทศ เรียนต่อ ป.โท ต่างประเทศ
เรียนต่ออังกฤษ เรียนต่อ ป.โท อังกฤษ (เรียนต่อ UK) เรียนต่ออเมริกา (เรียนต่อ USA) เรียนต่อออสเตรเลีย
เปิดบริการ 6 สาขาทั่วประเทศไทย คือ สีลม (สำนักงานใหญ่), สุขุมวิท, ปิ่นเกล้า, พระราม 2, พระราม 9 และเชียงใหม่
Line : @handson
Facebook : www.facebook.com/HandsOnEdu
Tel : 02 635 5230, 02 821 6877, 084 245 1708