เกรดน้อยกว่า 3

เกรดน้อยกว่า 3.0 เตรียมตัวเรียนต่อยังไงดีให้ได้เข้าท็อปยู

  • Share this:

แจกทริกง่าย ๆ ในการเตรียมตัวเข้าท็อปยูสำหรับใครที่มี เกรดน้อยกว่า 3.0 โดยเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการเรียนต่อต่างประเทศของ Hands On

ก่อนตัดสินใจว่าจะสมัครเรียนต่อกับมหาวิทยาลัยไหนหรือประเทศไหนดี สิ่งที่เราควรรู้และเริ่มตั้งต้นก่อนอื่นใดเลย คือผลคะแนนเกรดเฉลี่ยหรือ GPA ใบล่าสุดของเราจะเป็นเอกสารหลักที่มหาวิทยาลัยใช้ในการพิจารณาใบสมัครของเรา แต่นอกจากนี้ยังมีเอกสารอื่นๆ ที่น้องๆ จะต้องยื่นพร้อมกับใบสมัครเรียนด้วยค่ะ

บทความนี้ พี่ Hands On รวมข้อมูลดี ๆ ให้กับน้อง ๆ ที่เกรดน้อยกว่า 3.0 ทุกคน ได้รู้เคล็ดลับจากพี่ Counsellor ว่าเราควรเตรียมตัวอย่างไรสำหรับสมัครเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยชั้นนำในต่างประเทศ

มาดูกันเลยว่าอะไรที่จะช่วยเติมเต็มใบสมัครเรียนของเราให้เข้าท็อปยูได้ง่ายขึ้น

 

🎟 First come first serve basis

แต่ละมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นที่สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ หรือสิงคโปร์ก็ตามแต่ ล้วนมีกำหนดการรับสมัครที่ต่างกันออกไปตามฤดูกาล และแน่นอนว่าทุกมหาวิทยาลัยมีที่นั่งในชั้นเรียนจำนวนจำกัด เพื่อการจัดการดูแลนักศึกษาในแต่ละคลาสเรียนอย่างทั่วถึงและเอาใจใส่เป็นรายบุคคล

เวลาที่นักศึกษาสมัครเรียน ระบบการคัดกรองนักศึกษาของมหาวิทยาลัยจึงจะให้ความสำคัญกับผู้ที่ยื่นเอกสารสมัครเรียนก่อน หรือเป็นการจัดการแบบ first come first serve นั่นเอง เพราะฉะนั้นประเด็นนี้จึงเป็นมาตรฐานสากลที่ทางมหาวิทยาลัยใช้วัดความพร้อมของนักศึกษาที่ต้องการจะเข้าเรียนที่สถาบันเป็นอันดับต้น ๆ และในขั้นตอนการสมัครที่น้อง ๆ ต้องเตรียมเอกสารทุกอย่างให้พร้อมและดำเนินการสมัครอย่างรวดเร็วเพื่อถือสิทธิ์นี้ พี่ Hands On ยินดีให้ความช่วยเหลือและโค้ชดูแลทุกขั้นตอนให้ได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น

 

📝 Strong SoP/Personal Statement

รู้กันหรือไม่คะ ว่าทางมหาวิทยาลัยเขาจะทำความรู้จักและเก็บข้อมูลเกี่ยวกับนักศึกษาที่มาสมัครเรียนได้จากส่วนไหนของใบสมัครของเรา?

ในขณะที่น้อง ๆ สามารถหาข้อมูลของมหาวิทยาลัยได้จากพี่ Hands On และค้นหาได้จากหน้าเว็บไซต์ต่าง ๆ แต่ทางมหาวิทยาลัยนั้นจะได้ทำความรู้จักเกี่ยวกับน้องผู้สมัครเรียนผ่านทาง Statement of Purpose (SoP) หรือ Personal Statement เท่านั้น เพราะฉะนั้นเวลาที่เราเขียนเรื่องราว ประสบการณ์การเรียน และประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาลงไปในเอกสารฉบับนี้ จึงควรใส่ความเป็นตัวเองและความมุ่งมั่นตั้งใจในฐานะนักศึกษาเข้าไปด้วย เพื่อให้ทางมหาวิทยาลัยได้เข้าใจมุมมองของนักศึกษาในฐานะผู้สมัครที่ดีและมี First Impression ที่ดีไปพร้อม ๆ กัน

ในส่วนของการเขียน SoP/Personal Statement พี่ Hands On ก็มี SoP Clinic ให้น้อง ๆ เข้ามารับคำแนะนำกันแบบฟรี ๆ เพื่อเสริมสร้างเสน่ห์และความแข็งเกร่งให้กับ SoP ของน้อง พร้อมกับมี Native Speaker ที่สามารถช่วยตรวจทานความถูกต้องในเรื่องการใช้ภาษาอังกฤษให้น้อง ๆ ได้ด้วย

 

💼 Work experience, certificate & achievement

ใครที่มีประสบการณ์การทำงานมาก่อน มักได้เปรียบในการยื่นสมัครเรียนเล็กน้อย ตรงที่ว่า บางมหาวิทยาลัยอาจจะระบุในเกณฑ์การรับสมัครไว้อยู่แล้ว ว่าหลักสูตรนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีประสบการณ์การทำงาน แต่ถ้าหากน้องต้องการสมัครเรียนในสายวิชาหรือสายงานอื่นที่ตนไม่ได้จบมา ก็อาจจะต้องเขียนระบุลงไปใน SoP/Personal Statement ของตนเองให้ชัดเจน ว่ามีความต้องการย้ายสายงานด้วยเหตุผลใด และจะนำความรู้มาประยุกต์ใช้ในอนาคตอย่างไร

ในระหว่างที่น้อง ๆ กำลังเตรียมเอกสารเกี่ยวกับตนเองนั้น จึงควรใส่ประสบการณ์การทำงาน ประกาศนียบัตร รางวัล หรือผลงานที่สำคัญทั้งหมดลงใน CV ของตัวเองให้ดี พร้อมเขียนเติมลงไปใน SoP ให้ครบถ้วนด้วย แต่ถ้าหากน้องคนไหนไม่ได้มีประสบการณ์การทำงานมาก่อนก็สามารถสอบถามขอคำปรึกษาเพิ่มเติมจากเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญของ Hands On ได้

 


Noted: พี่ขอหมายเหตุเพิ่มเติมนิดนึงว่า ทั้งนี้การพิจารณาใบสมัครเรียนของน้อง ๆ จะขึ้นอยู่กับดุลพินิจของมหาวิทยาลัยเป็นอันสิ้นสุด สิ่งที่พี่ Hands On แนะนำได้ในบทความนี้ จึงเป็นตัวแปรที่ช่วยเสริมได้บางส่วนเท่านั้น หากน้อง ๆ อยากได้คำแนะนำแบบตัวต่อตัว เจาะลึกกันทีละขั้นตอนการสมัครเรียนต่อ อย่าลืมมาพบกับเจ้าหน้าที่ของเราได้ที่งาน


 

และส่วนนี้พี่ขอแนะนำจากประสบการณ์ตรงของตัวเองอีกสักข้อสองข้อ

💯 Get ready as much as possible

การเตรียมเอกสารที่ต้องใช้ยื่นสมัครได้ครบถ้วนก่อน เป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ ต่อให้เรามี เกรดน้อยกว่า 3.0 ก็ยังได้เปรียบเพราะเราพร้อมและดำเนินการสมัครเสร็จก่อน เหลือเพียงขั้นตอนต่อไป คือรอการตอบรับและตามเรื่องการสมัครจากมหาวิทยาลัยนั่นเอง แต่ละมหาวิทยาลัยในแต่ละประเทศ มีระยะเวลาในการตอบรับและติดต่อกลับหาน้อง ๆ ช้าเร็วต่างกันมาก ตั้งแต่ 1-6 สัปดาห์ ก่อนที่เราสมัครควรเช็ควันที่เปิด-ปิดยื่นสมัครให้ดี และดำเนินการให้เสร็จโดยไว เพื่อที่มหาวิทยาลัยจะได้ตอบกลับเราไวขึ้น ทำให้น้อง ๆ มีเวลามากขึ้นในการเตรียมตัวยื่นคำร้องขอวีซ่านักเรียนในลำดับถัดไปและเตรียมตัวเดินทางต่อได้นั่นเอง

 

📚 Research & Ask for more information

เคล็ดลับนี้คือเรื่องที่พี่อยากให้น้องที่สมัครเรียนพึงทำไว้ให้ติดเป็นนิสัย เรื่องนี้คือการใช้ความกระตือรือร้นในการทำการบ้านหาข้อมูลให้ถี่ถ้วนที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ ศึกษาข้อมูลของมหาวิทยาลัยและสาขาวิชาที่เราอยากเรียนให้เยอะเข้าไว้ แต่ใช่ว่าหาข้อมูลไว้ทำความเข้าใจเฉย ๆ นะคะ พี่แนะนำว่าให้เราหาข้อมูลแล้วตั้งคำถามไว้เยอะ ๆ ว่าสิ่งที่เรียนในคลาสมีรายละเอียดตรงตามที่เราเข้าใจหรือคิดไว้รึเปล่า มีการจ่ายการบ้านแบบไหน มีการสอบเยอะหรือไม่ มีกิจกรรมเสริมนอกห้องเรียนหรือไม่ และนำคำถามเหล่านี้ไปถาม-ตอบกับเจ้าหน้าที่ตัวแทนของมหาวิทยาลัยตอนที่เราได้โอกาสสัมภาษณ์ตัวต่อตัวกับเขา เพราะการทำความเข้าใจและการรู้รอบด้านในสิ่งที่เราจะไปเรียน เป็นความใส่ใจที่สร้างความประทับใจให้กับมหาวิทยาลัยได้ และเป็นคำถามที่เจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยชอบถามด้วย

 

รับเคล็ดลับดี ๆ กันไปพอหอมปากหอมคอแล้ว หากใครอยากรับคำปรึกษาเชิงลึกในเรื่องการสมัครเรียนต่อที่สหราชอาณาจักร ไอร์แลนด์ สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ หรือสิงคโปร์ สามารถปรึกษาพี่ Hands On ฟรี

  • Share this: