นักเรียนทุนสาขา Marketing Communication กับแง่คิดดีๆ ในการเรียนต่อ

  • Share this:

บทสัมภาษณ์นักเรียนทุนเต็มจำนวนจาก University of Westminster ประจำปี 2016/17

 

วันนี้อยู่กับพี่ปุ๋ย ที่ University of Westminster นะคะ เดี๋ยวให้พี่ปุ๋ยแนะนำตัวเองนิดนึงว่าเรียนสาขาวิชาอะไรค่ะ

พี่ปุ๋ย: สวัสดีค่ะ จิรวัส ปิตินานนท์ ปุ๋ยนะคะ ตอนนี้ศึกษาอยู่ที่ University of Westminster ในสาขา Marketing Communication หรือ การสื่อสารทางการตลาดค่ะ

Pui- marketing - westminster

วันนี้เราอยู่กับคนเก่งของจริง เพราะพี่ปุ๋ยเนี่ยเป็นนักเรียนทุนเต็มจำนวนของมหาวิทยาลัยเลย ขอถามเรื่องนี้ก่อนเลยว่าได้รับทุนมาได้ยังไงคะ

พี่ปุ๋ย: คือต้องบอกว่าอยากให้น้องๆ ที่เป็นเด็กไทยที่สนใจจะมาเรียนต่อ ลองติดตามดูทางเว็บไซต์ของมหาลัยนะคะที่เราสนใจ อาจจะเป็นมหาลัยต่างๆ เพราะว่าตอนที่กำลังเลือกเนี่ยเราอาจจะยังไม่ได้เลือกว่าจะเรียนที่ไหน ก็ลองดูว่าตรงไหนมีทุนที่น่าสนใจ บางที่เนี่ยอาจจะมีทุน 3,00 ปอนด์ 5,000 ปอนด์ 10,000 ปอนด์ แล้วแต่นะคะ ก็ลองศึกษาดูในเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยเป็นอันดับแรกนะคะ

แล้วก็อีกอย่างนึงก็คือ ทางเอเจนซี่นะคะที่ว่าดูแลนักเรียนที่ว่าส่งมาค่ะ เค้าก็จะมีข้อมูลมากกว่าเรานะคะ ตรงไหนมีทุนอะไรเนี่ยก็สามารถบอกพี่ว่า เออ พี่หนูสนใจจะได้รับทุนนะ อยากจะได้รับทุนตรงนี้ พี่เค้าจะส่งรายละเอียดมาให้นะคะ

 

ที่ Hands On พี่เชอร์รี่ช่วยดูแลเรื่องการขอรับทุนอย่างไรบ้างคะ

พี่ปุ๋ย: ในแง่ของทุนการศึกษา อันดับแรกเนี่ย พี่เชอร์รี่ก็จะส่งอีเมลมาให้เรื่อยๆ นะคะ ว่ามหาลัยนี้มีทุนเท่านี้ๆ ให้เราลองตัดสินใจลองสมัครดู ปุ๋ยก็ลองสมัครไปนะคะ แล้วก็ก่อนอื่นที่เราจะสมัครเนี่ยเราต้องดูก่อนว่า criteria ที่เค้าต้องการเนี่ยเราตรงมั้ย อ่านข้อมูลดูให้ดี

 

ทำไมถึงเลือกหลักสูตรนี้ของ University of Westminster คะ?

พี่ปุ๋ย: ก็ในระหว่างที่เตรียมตัวและอยู่ไทยก็พยายามศึกษาหาข้อมูลเยอะมาก เราก็จะดูตามอินเตอร์เน็ตว่ามหาวิทยาลัยนี้เนี่ยชื่อเสียงเป็นยังไง แล้วก็พบว่า University of Westminster เนี่ย ranking ทางด้าน Business ค่อนข้างจะดี มีชื่อเสียง

Business School ของเค้าก็ดังนะคะ มีห้องสมุดเฉพาะเกี่ยวกับด้าน Business ก็ทำให้เราสนใจ แบบ เฮ้ย อยากจะเจาะลึกไปทางด้าน Business ก็เลยคิดว่ามหาวิทยาลัยเนี้ยตอบโจทย์นะคะ แล้วก็มีศึกษาเรื่องเนื้อหาที่เราต้องเรียนในเทอมหนึ่ง เทอมสอง dissertation เนี่ยเราต้องทำอะไร แล้วประกอบกับได้ทุนคอร์สเรียนนี้จากที่นี่ ตรงนี้เนี่ยก็เลยเป็นเหตุผลที่ตัดสินใจมาเรียนนะคะ

พี่ปุ๋ยตัดสินใจเลือกจากคอร์สเรียนก่อนหรือว่าเลือกมหาวิทยาลัยก่อนคะ

พี่ปุ๋ย: จริงๆ ดูประกอบกันนะค่ะ คือ อย่าดูแค่ชื่อมหาวิทยาลัยว่าเราต้องเข้ามหาวิทยาลัยนี้เท่านั้น อยากจะแนะนำว่าลองดูคอร์สเรียนของเค้านะคะ รายละเอียดใน course syllabus หรือว่าโมดูลของเค้า เค้าจะมีรายละเอียดบอกว่าแต่ละคอร์สเนี่ยเราต้องเรียนอะไรบ้าง เราชอบหรือไม่ชอบ บางคนเนี่ยอาจจะไม่ชอบเกี่ยวกับด้านตัวเลข แล้วบางคอร์สเนี่ยอาจจะมี เราต้องเรียน Math หรือว่าเรียน Finance เราก็อาจจะ suffer ได้นะ อยากให้ดูรายละเอียด

 

เล่าถึงการเตรียมตัวให้ฟังหน่อยค่ะ

พี่ปุ๋ย: ก็ใช้เวลาอาจจะประมาณปีนึงนะคะ คือต้องขอออกตัวก่อนว่าปุ๋ยเนี่ยไม่เคยเรียนอินเตอร์มาก่อน ประถม มัธยม มหาลัย ตอนที่เรียน ป. ตรี เรียนอะไรเป็นหลักสูตรไทยทั้งหมด ก็รู้สึกว่ากลัวจะมี language barrier เพราะฉะนั้นระหว่างปีนึงเนี้ย หลักๆ เลยคือเตรียมตัวเรื่องภาษาค่ะ

เรื่องการสอบ IELTS ละคะ เตรียมตัวอย่างไรบ้าง

พี่ปุ๋ย: วิธีการที่เตรียมตัวนะคะ หนึ่งเลย ถ้าเกิดว่าเราไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนเนี่ย แนะนำว่าอาจจะไป test คอร์สเรียนตามสถาบันสอนภาษานะคะซักหนึ่งคอร์ส เพื่อเราจะได้รู้ scope ว่าต้องสอบประมาณไหนหรือเรียนยังไง เราจะได้เตรียมตัวถูกนะคะ

ตอนสอบตื่นเต้นมาก หัวใจเราเต้นไว ฟังแทบไม่ทัน ตื่นเต้นทุก Part, Part พูดนี่ตื่นเต้นสุด เพราะต้องไปเจอฝรั่งตัวเป็นๆ (หัวเราะ)

 

หลังจากที่มาเรียนจริงๆ ใช่อย่างที่คิดไว้มั้ยคะ มีอะไรที่ตกใจหรือแปลกใจไหมคะ

พี่ปุ๋ย: อะไรที่แปลกๆ น่าจะเป็นตัวเอง (หัวเราะ) ไม่ใช่แล้ว ก็เริ่มแรกที่มาเรียนก็รู้สึกว่า โห มันแตกต่างจากที่เราคิดไว้เลยนะคะ ในคลาสเล็คเชอร์ใช่มั้ยคะ คืออาจารย์เค้าก็ไม่ได้มาลงรายละเอียดกับเด็กนักเรียนเป็นรายบุคคลเหมือนสมัยที่เราเรียนที่ไทย   ตรงนี้ก็ต้องศึกษาเอง ดูเอง หลังจากเล็คเชอร์เราก็ต้องกลับไปทบทวนเอง

มหาวิทยาลัยจะมีระบบออนไลน์ คือคิดว่าทุกมหาลัยเป็นแบบนี้นะคะของอังกฤษ เป็นระบบออนไลน์ที่อัพโหลดเกี่ยวกับ อาจจะเป็นคลิปวิดีโอที่สอนอยู่ในเล็คเชอร์ หรือว่าจะเป็นชีทประกอบการเรียน เราสามารถปรินท์มาก่อนที่จะเข้าเรียนเล็คเชอร์ตรงเนี้ยค่ะช่วยได้ค่ะ

ชีวิตเด็กนักเรียนไทยกับชีวิตเด็กนักเรียนอังกฤษแตกต่างกันมากมั้ยคะ

พี่ปุ๋ย: แตกต่างกันค่ะ คือ ต้องบอกว่าพอเรามาอยู่เมืองนอกเนี่ย สิ่งหนึ่งที่เราต้องทำคือการควบคุมตนเอง เรียกว่าไม่มีใครมาควบคุมเรา หลังจากที่เราเรียนกลับบ้านไปเราก็ต้องดูแลตัวเอง ทำกับข้าว ดูแลเรื่องเสื้อผ้า ดูแลเรื่องการบ้าน งานต่างๆ หรือว่าแม้กระทั่งการทำงานกลุ่ม คือเราต้องจัดสรรระเบียบวินัยในตัวเองค่ะ

 

ช่วยเล่าถึงคอร์สเรียนของตัวเองเพิ่มเติมให้ฟังนิดนึงค่ะ เป็นยังไงบ้าง

พี่ปุ๋ย: โอเค ค่ะ สำหรับที่เรียนนะคะจะเป็น Major ของ Marketing Communication นะคะ เราก็จะเรียนเกี่ยวกับ Marketing ทั้งหมดเลยนะคะ จะเริ่มจากตั้งแต่ Brand Strategy คืออยากแนะนำว่าวิชาที่ชอบมากที่สุดคือ Brand Strategy เราคิดว่ามันจะนำไปใช้ในชีวิตจริง สมมติว่าเราจะกลับไปเป็น Marketing Manager อะไรอย่างงี้นะคะ ก็สามารถนำตรงนี้ไปประยุกต์ได้ จากที่ไม่เคยรู้เลยว่า SWOT Analysis เนี่ยคืออะไรกันแน่ เรารู้ว่า SWOT คือย่อมาจากอะไร แต่เราไม่รู้ว่าหลักการในการทำมันคืออย่างไร ก็สามารถเรียนรู้จากตรงนี้ หรือ TOWS Metric คนที่สายงานอยู่ทาง Marketing เนี่ยก็จะใช้ตรงนี้ดู Strategy ต่างๆ แล้วก็ระหว่างที่เรียนเนี่ย เค้าให้เราใช้ข้อมูลธุรกิจจริงๆ ฃ ยกตัวอย่างนะคะอย่างเช่นวิเคราะห์งบการเงินจริงของบริษัทธุรกิจที่อังกฤษน่ะค่ะ

 

เห็นว่าพี่ปุ๋ยไม่เคยเรียน Marketing มาเลย ก่อนหน้านี้พี่ปุ๋ยเรียนอะไรมาคะ

พี่ปุ๋ย: ปุ๋ยจบครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาค่ะ เป็นคุณครูหน้าตาดีด้วย (หัวเราะ)

ทำไมถึงเบนเข็มมาเรียน Business ล่ะคะ

พี่ปุ๋ย: ก่อนที่จะมาเรียน ปุ๋ยมีประสบการณ์ทำงานมาประมาณ 5 ปีค่ะ ก็ระหว่างที่ทำงานอยู่ก็ เราคิดว่าตัวเองเนี่ยน่าจะมาทางสาย Business แล้ว เราชอบทางนี้ ก็คิดว่าประสบการณ์การทำงานตรงนั้นน่ะมาช่วยเราในเรื่องการเรียนต่อได้นะคะ

เป็นนักเรียนที่เรียนโรงเรียนไทยมาตลอด แล้วก็เปลี่ยนสายการเรียนด้วย ตรงนี้พี่ปุ๋ยปรับตัวเยอะมั้ยคะ

พี่ปุ๋ย: ต้องบอกว่าปรับตัวเยอะนะคะ ก็พยายามหลังเวลาเลิกเรียนก็ไปหาข้อมูลเพิ่มเติมอย่างงี้ ปุ๋ยก็ไปนั่งดูเว็บไซต์คำศัพท์ทางการตลาดอะไรอย่างงี้ คืออยากจะให้ตัวเองเข้าใจตรงนี้มากขึ้นน่ะค่ะ แล้วก็อย่างที่บอกก็คือ เราควรจะเตรียมตัวมาก่อนนอกเหนือจากเรื่องภาษา ก็คืออาจจะอ่านหนังสือเป็นภาษาไทยก่อนก็ได้ว่าเราชอบตรงนี้มั้ย หรือว่ามันเหมาะกับเรามั้ยด้วยค่ะ

 

บรรยากาศในห้องเรียนละคะ เพื่อนๆ เป็นอย่างไรบ้าง

พี่ปุ๋ย: ในคลาสใรนักเรียนทั้งหมดประมาณ 40 คนนะคะ กำลังดีค่ะ เพื่อนๆ ในห้องหลักๆ จะเป็น European นะคะ ตอนแรก คิดว่าเราต้องมาเจอเพื่อนคนจีนเยอะแยะแน่เลย ปรากฏว่าผิดคาด มหาลัยนี้เป็นมหาลัยที่เป็น International จริงๆ คือ พอเข้ามาเรียนปุ๊บปรากฏว่าเราเจอเพื่อนคนไทยประมาณ 4-5 คนเอง แล้วนอกเหนือจากนั้นเนี่ยก็คือเป็นคนยุโรป คนอเมริกา หรือแม้กระทั่งคนอินเดีย คือเราจะได้ใช้ภาษาได้อย่างจริงๆ จังๆ เลย แล้วก็ได้ไอเดียมุมมองจากหลากหลายชาติด้วยค่ะ

เมื่อกี๊บอกไปแล้วว่าชอบวิชาไหน แล้วมีวิชาที่แบบไม่ชอบมั้ยคะ?

 พี่ปุ๋ย: ก็อาจจะเป็นวิชาเดียวกัน คือ Brand Strategy (คือทั้งชอบแล้วก็ทั้งไม่ชอบด้วยเหรอ ?) คือมันโหด มันมีความโหดอยู่ในนั้น (หัวเราะ) โหดตรงที่ว่านี่หมายถึงว่าปุ๋ยเนี่ยจบครุมา แล้วเราก็ไม่ได้เรียนเกี่ยวกับ Finance ไม่เคยดูงบการเงินเลย ไม่รู้เลยว่ามันคืออะไร Turnover เป็นยังไง Profitability ของบริษัทนี่ดูยังไง อันนี้เนี่ยจะสอนให้เรารู้ กว่าเราจะได้เรียนรู้เนอะ No pain, no gain นะทุกคน pain มาเยอะเลย

แล้วอาจารย์ล่ะคะเป็นยังไงบ้าง

พี่ปุ๋ย: บรรยากาศในห้องเรียนก็อย่างที่บอกนะคะ 40 คนก็ไม่ได้เยอะเกินไป อบอุ่น อาจารย์ดูแลทั่วถึง แล้วก็ใจดีค่ะ

อาจารย์ให้คะแนนโหดรึเปล่า

พี่ปุ๋ย: แล้วแต่ด้วย แล้วแต่เรา (หัวเราะ) แล้วแต่นักเรียนด้วยนะคะ

 

เล่าเรื่องกิจกรรมในห้องเรียนให้ฟังได้ไหมคะ

พี่ปุ๋ย: เอาวิธีการเรียนของที่นี่ก่อนนะคะ เค้าจะแบ่งเป็นเล็คเชอร์แล้วก็ seminar นะคะ นักเรียนที่เรียน Marketing ช่วงเช้าจะเป็นการเรียนเล็คเชอร์ เค้าจะอัดเกี่ยวกับทฤษฎีๆๆ เข้าไปในเล็คเชอร์นะคะ หลังจากที่เรียนเล็คเชอร์จบเนี่ยจะเป็นการเรียน seminar เค้าจะแบ่งนักเรียนจาก 40 คนออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 20 คน ในกลุ่มเล็กๆ เนี่ย เราจะได้ practice ทำงานกลุ่มเล็กๆ ในคลาส seminar ตรงนี้เราจะได้แชร์ความคิดเห็น ได้ brainstorm กับเพื่อนๆ ทุกวันเลย วิธีการเรียนก็จะเป็นแบบนี้นะคะ

นอกจากกิจกรรมในห้องเรียนล่ะคะ พี่ปุ๋ยมีกิจกรรมอย่างอื่นเพิ่มเติมมั้ย

พี่ปุ๋ย: เนื่องจากว่าพอดีปุ๋ยเป็นนักเรียนทุนใช่มั้ยคะ คราวนี้เนี่ย ทางมหาวิทยาลัยเนี่ยก็อยากจะให้เราเนี่ยไปทำกิจกรรมอะไรเพื่อเป็นประโยชน์ต่อสังคมของอังกฤษเค้า ปุ๋ยก็เลยตัดสินใจไปทำ volunteer ให้กับ charity นึงนะคะ เป็น charity เกี่ยวกับช่วยเหลือเด็ก ก็ไปทำมาได้ 30 ชั่วโมง เป็นเหมือน shop น่ะค่ะ เราก็ไปช่วยรีดผ้า ไปช่วยแขวน จัด shelf แล้วก็ไปทำแคชเชียร์ จากที่ไม่เคยใช้เครื่องกดเงินนะคะ เรียกว่า Tube นะคะ ใช้เป็นเลย  มันก็มีประโยชน์นะ เผื่อใครสนใจ เพราะว่า คือหนึ่งเราอาจจะไม่ได้ได้จ่ายเงินนะคะเพราะว่าเป็นการกุศลนะคะ เราก็ไปทำ แต่ว่ามันได้ประโยชน์เพราะว่าเนี่ยเราจะได้การ Store Management นะคะ เอ๊ย จัดเรียงเสื้อผ้ายังไง ควรจะมี Shelf Life เท่าไหร่ ตรงนี้เค้าก็จะสอนเราด้วย

 

ค่าครองชีพล่ะคะ อยู่ใจกลางลอนดอน โซนหนึ่งอีกต่างหาก ค่าครองชีพโหดมั้ยคะ

พี่ปุ๋ย: โชคดีคือเราได้ทุน ถ้าตัดถึงเรื่องทุนไป โชคดีตรงที่ว่ามีสถานการณ์ Brexit พอดีนะคะ Currency ต่ำลงมาหน่อย แต่ยังไงมันก็ยังจะสูงอยู่ดีถ้าเทียบกับเมืองไทย ค่าครองชีพในลอนดอนหลักๆ เลยที่แพงคือ accommodation นะคะ มันจะต่างจากนอกเมืองนิดหน่อย วีคนึงปุ๋ยคิดว่าเฉลี่ยเนี่ย อาจจะอยู่ที่ประมาณ 200-250 ปอนด์นะคะ

เรื่องอาหารการกินล่ะคะ พี่ปุ๋ยทำกับข้าว

พี่ปุ๋ย: ทำเองทุกมื้อเลยค่ะคุณพลอย เรียกว่าทำเก่งเลย ว่าจะไม่ทำแล้วการตล่งการตลาดเดี๋ยวเปิดร้านอาหารเลย ทำเองนะคะประหยัด เพราะว่าอย่างไปซื้อเค้ากินเนี่ย อย่างน้อยคุณต้องจ่ายแล้ว 7 ปอนด์ 8 ปอนด์ 10 ปอนด์นะคะ อันนี้คือราคาแบบมาตรฐานเลย แต่ถ้าทำเองก็อาจจะเซฟเงินหน่อย

 

ประโยชน์ที่พี่ปุ๋ยได้จากการเรียนคอร์สนี้ที่มหาวิทยาลัยนี้ค่ะ

พี่ปุ๋ย: หลักๆ จะเป็นเรื่องของ การที่เมื่อก่อนเนี่ยเราไม่เคยมีความรู้เรื่องธุรกิจ ตอนนี้มันจะกลายเป็นว่าเราเป็นคนที่มี Strategy มากขึ้น เหมือนคิดอะไรเป็น pattern 1 2 3 4 อยากจะได้ outcome แบบเนี้ยเราควรจะทำอะไร คือมันเหมือนกับทำให้เราเป็นคนที่คิดแบบเป็นระบบมากขึ้นน่ะค่ะ ปุ๋ยว่าตรงนี้สำคัญ

คิดว่าตัวเองเปลี่ยนแปลงแล้วก็พัฒนาไปด้านไหนมากที่สุดจากการมาเรียนที่นี่

พี่ปุ๋ย: ก็เปลี่ยนแปลงไปหลายๆ อย่างนะคะ จากที่เราอยู่ในอ้อมอกคุณพ่อคุณแม่นะคะ ดูแลเราทั้งเรื่องอาหารการกินเรื่องอะไร เราได้ออกมาเผชิญโลกกว้างด้วยตัวเองนะคะ สอง นอกจากเรื่องการดูแลตัวเองเนี่ย เราก็ได้เรียนรู้เกี่ยวกับภาษานะคะ ฝึกฟังพูดอ่านเขียนได้ครบทุก skill แล้วเรียน Marketing เนี่ย Present ทุกคลาสนะคะ ไม่ต้องห่วง

 

หลังจากเรียนจบ เป้าหมายของตัวเองคืออะไรคะ

พี่ปุ๋ย: อันดับแรกนะคะ ปุ๋ยก็คงจะขอพักซักหน่อย เพราะเรียนเหนื่อยมามากค่ะ หลักๆ เลยเนี่ยก็อาจจะกลับไปทำงานนะคะ เพราะว่าเรียน Marketing มาแล้วตอนนี้ความรู้ทฤษฎีแน่นมาก เราอยากจะไปปฏิบัติ ไป practice ความรู้ที่เรามีหน่อยแล้วหละ

 

สิ่งที่ประทับใจที่สุดกับการเป็นนักเรียนมหาวิทยาลัย University of Westminster คืออะไร

พี่ปุ๋ย: สิ่งที่ประทับใจ อันดับแรกเลยต้องขอบคุณทางมหาวิทยาลัยนะคะที่ให้โอกาส ให้ทุนนะคะที่ได้มาเรียนตรงนี้ เป็นทุน free scholarship นะคะ ก็อยากจะบอกน้องๆ ทุกคนที่มีความสนใจจะเรียนที่นี่นะคะ คอร์ส Marketing Communication ที่ University of Westminster นะคะ คอร์สนี้ดีมากๆ นะคะ ทำให้เราพัฒนาตัวเอง ได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องแบรนด์ เรื่องการทำ Marketing ตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วทุกๆ คอร์สเนี่ยเค้าจะเชิญวิทยากรมาจริงๆ  ยกตัวอย่างเช่น เชิญมาจาก Google เชิญมาจาก Facebook เราจะได้สัมผัส Professional จริงๆ น่ะค่ะ ก็เลยคิดว่าตรงนี้เนี่ยได้การฝึกปฏิบัติจริง ได้การเรียนรู้การทำธุรกิจของที่อังกฤษเนี่ย คิดว่าเป็นความประทับใจอย่างนึงค่ะ

 

อยากขอบคุณใครเป็นพิเศษมั้ยคะ กับการที่เราได้มีโอกาสมาเป็นนักเรียนอังกฤษ

พี่ปุ๋ย: ค่ะ ก็เมื่อกี๊ของคุณมหาวิทยาลัยไปแล้ว ก็อยากขอบคุณทาง Hands On นะคะ ขอบคุณพี่เชอร์รี่ที่มีการแนะนำทุนตรงนี้เข้ามาแล้วก็ ขอบคุณครอบครัวที่คอยสนับสนุนส่งเสริมนะคะ เป็นกำลังใจให้เวลาเราทุกข์เราอะไรนะคะ แล้วก็เพื่อนๆ ที่คอยรับฟังเวลาที่เรามีปัญหา หลักๆ ก็จะเป็นประมาณนี้นะคะ

 

สำหรับน้องๆ คนไหนนะคะที่สนใจอยากเรียนต่อ ไม่ว่าจะเป็นสาขา Marketing Communication หรือข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ University of Westminster ก็สามารถปรึกษาพี่ๆ Hands On ได้นะคะ

หรือ เข้าร่วมงาน The UK Study Exhibition 2017 เพื่อพบตัวแทนของมหาวิทยาลัย ในวันพฤหัสบดีที่ 9 พฤศจิกายน นี้ ณ โรงแรม โซฟิเทล กรุงเทพ สุขุมวิท

Enquiry Form

Please provide the following information and we will aim to respond within 48 hours:

Your details
Please enter your first name.
Please enter your last name.
Please enter a valid email address.
Please enter your phone number.
Please select a country you want to study.
Please select a year you want to study.
Please select your preferred branch.

* All fields required (in English)

  • Share this: