Hands On Education Consultants

รีวิวคอร์ส Master of Commerce (Data Analytics for Business) กับ University of Sydney โดย เยลลี่

Jelly: ชื่อเยลลี่นะคะ ปัจจุบันเรียนอยู่คณะ Master of Commerce เอก Data Analytics ที่มหาวิทยาลัย University of Sydney ค่ะ

ทำไมถึงเลือกเรียนต่อออสเตรเลียกับมหาวิทยาลัยนี้คะ?

Jelly: จริง ๆ มันมีเงื่อนไขของการเป็นนักเรียนทุนของบริษัทด้วยค่ะ เค้า require ให้มาเรียนสาขา Data Analytics ซึ่งในออสเตรเลียเนี่ยส่วนใหญ่มันจะไปอยู่ใน Business School นะคะ ถ้าเป็น Data Analytics โดยตรง ก็มันจะมีชื่อสองอย่างคือ Data Analytics กับ Business Analytics ค่ะ ก็ตัดสินใจมาเรียนที่นี่ส่วนหนึ่งก็เพราะชื่อเสียงด้วย University of Sydney ก็เป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ค่ะ ส่วนที่เลือกประเทศออสเตรเลีย เหมือนเป็น requirement ส่วนหนึ่งด้วย เพราะว่าเป็นประเทศที่อยู่ในลิสต์ที่เค้าให้เลือก มันจะมีประเทศนี้กับที่ยุโรป แล้วก็ที่เลือกตรงนี้เพราะรู้สึกว่าที่นี่มีความ blend กับความเป็นคนเอเชียของเราได้มากกว่าค่ะ

 

ในสัปดาห์แรกของการเรียนเป็นอย่างไรบ้างคะ มีอะไรใหม่ที่เราต้องรับมือบ้าง

Jelly: สัปดาห์แรกของการเรียน คือต้องบอกก่อนเลยว่าต้องปรับตัวพอสมควรเลยค่ะ อย่างที่บอกว่าการเรียนในไทยมันเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง พอมาเรียนที่นี่มันก็เจอทุกอย่างใหม่หมดเลย จริง ๆ ถ้าจะบอกว่า suffer ในสัปดาห์แรกก็ไม่น่าจะแปลก เพราะทุกคนก็น่าจะมีประสบการณ์คล้าย ๆ กันตอนมาเรียนครั้งแรกนะคะ

แต่จริง ๆ เหมือนคนที่นี่ ด้วยความที่เค้ามีความหลากหลายมาก พอมาอยู่ที่นี่เราจะค่อนข้างมั่นใจว่าถ้าเรามาอยู่ที่นี่ เราจะไม่มีปัญหาเลยเรื่องความเป็นเอเชียแน่นอน อันนี้ก็น่าจะเป็นข้อดีของออสเตรเลียด้วยค่ะ เหมือนกับว่าเค้า welcome คนทุกเชื้อชาติที่มาเรียน เราก็ไม่ต้องกลัวเรื่องความปลอดภัยอะไรด้วย รวมทั้งเรื่องการเหยียดเชื้อชาติ เรื่อง racist อะไรแบบนี้ค่ะ

 

ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยว่าการเรียนต่อปริญญาโทสาขา Data Analytics เป็นอย่างไรบ้างคะ?

Jelly: จริง ๆ ก็อาจจะยังแนะนำมากไม่ได้ เพราะว่าเพิ่งมาเรียนเทอมแรกนะคะ แล้วตัววิชารายวิชาหลักยังไม่ได้เริ่มเรียน เหมือนกับว่าเค้าจะให้เราเริ่มเรียนวิชาบังคับก่อนในเทอมแรก ซึ่งตอนนี้ก็ได้เรียนวิชาคณะตัวเองเนี่ยแค่ตัวเดียว ก็เลยอาจจะยังให้คำแนะนำได้ไม่เต็มที่ค่ะ แต่ว่าก็เท่าที่เรียนมาก็ลักษณะเนื้อหามันจะมีความ stats หน่อย ก็น้อง ๆ ที่สนใจก็อาจจะต้องมีพื้นฐานด้านคณิตศาสตร์พอสมควรค่ะ

แล้วก็ตั้งแต่เริ่มเรียนมารู้สึกว่ามันมีความยากง่าย หรือมีความแตกต่างกับการศึกษาที่ไทยอย่างไรบ้างคะ?

Jelly: ค่อนข้างจะยากเลยค่ะ ส่วนหนึ่งคือระบบการศึกษาของที่นี่ เค้าจะให้เราได้ทำความเข้าใจวิชาเรียนโดยเจาะลึกในหลาย ส่วนของการเรียนวิชานั้น ๆ เช่น คุณลงเรียนวิชานี้ไป คุณจะต้องไปเตรียมตัว self-study มาก่อน หลังจากนั้นถึงค่อยไปเข้าคลาส แล้วหลังจากนั้นก็จะต้องเข้า workshop แล้วก็จะมีการฝึกทำโจทย์อีกทีนึง

ซึ่งในคลาสเนี่ยคุณจะต้องเตรียมตัวมาพร้อมแล้ว ไม่ใช่ว่าเข้าไปโดยที่ไม่มีเนื้อหาอะไรเลยในหัว ไม่อย่างนั้นเข้าไปก็คือ blank แน่นอนค่ะ เพราะฉะนั้นเนี่ยการเรียนที่นี่เหมือนเราจะต้องดูแลตัวเองในการเข้าเรียน หมั่นหาความรู้และศึกษาเองจากเนื้อหาที่เค้าให้มา ถ้าไม่ทำตรงส่วนนี้ก็จะไปต่อค่อนข้างยาก มันจะไม่เหมือนกับที่ไทยที่เราเข้าไปแล้วครูก็ป้อนหลักสูตรให้นะคะ แต่ที่นี่ก็คือเราต้องป้อนตัวเองเป็นหลักเลยค่ะ

 

มีนักเรียนในห้องประมาณกี่คนต่อคลาส เพื่อนในชั้นเรียนและอาจารย์ที่สอนเป็นยังไงบ้างคะ

Jelly: ที่ University of Sydney นี้ ด้วยความที่มันเป็นคณะที่เกี่ยวกับ Business ซึ่งจริง ๆ ต้องยอมรับว่าคณะ Business เนี่ย นักเรียนจีนจะเข้ามาเรียนเยอะ ถ้าถามว่ามีความหลากหลายมั้ย ส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนจีนค่อนข้างจะเยอะ แล้วก็จะมีคนอินเดียประปราย ที่เหลือก็จะเป็นคนเอเชียบ้างค่ะ

ส่วนในห้องเรียนมีประมาณกี่คน จะขึ้นอยู่กับแต่ละคลาสด้วยค่ะ บางทีถ้าเป็นวิชาที่เรียนกันทุกคน หรือเป็นวิชาบังคับก็จะค่อนข้างใหญ่ เรียนกันประมาณ 60 – 70 คนเลยค่ะ แต่ถ้าเป็นคลาสที่เป็นสาขาวิชาเฉพาะก็จะเล็กลงมา บางคลาสนี่ 10 คน เองค่ะ

สำหรับอาจารย์ผู้สอนนะคะ อาจารย์ก็จะหลากหลายเหมือนกันค่ะที่นี่ ด้วยความที่เค้าค่อนข้างจะเปิดรับเนอะ ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็น native เท่านั้นถึงจะมาเป็นอาจารย์ได้ อย่างที่นี่อาจารย์ชาวแอฟริกาก็มี พวกอาจารย์ที่จบจากที่นี่มา เป็นลูกครึ่งที่ไม่ได้โตที่นี่ก็มีสอนด้วยเหมือนกัน หลากหลายดีค่ะ

 

เล่าให้ฟังเรื่องการบ้านหรือกิจกรรมในห้องเรียนว่าเราได้ทำอะไรไปบ้างคะ

Jelly: คือที่นี่เค้าจะเน้นเรื่องการทำ assignment มาก ๆ เลยค่ะ จะมีการจับกลุ่ม ในแต่ละวิชาจะต้องมีการทำงานกลุ่มทุกวิชาเลย ก็เป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้เจอเพื่อน ได้ทำกิจกรรมร่วมกันจากงานที่เค้าให้มาค่ะ แต่พอต้องทำงานจริง ด้วยความที่มีกลุ่มเยอะ มันก็จะมีความยากลำบากในการจัดการบ้าง เพราะว่าแต่ละวิชาก็มีกลุ่มทุกกลุ่มเลย แล้วแต่ละคนก็มีกลุ่มที่ไม่ตรงกันในแต่ละวิชา ก็จะมีเรื่องการบริหารจัดการ จัดสรรเวลาในการเจอกันในแต่ละครั้งค่ะ

สาขาเรียนอยู่ตอนนี้จะต่อยอดอาชีพของเราในอนาคตได้ยังไงบ้างคะ

Jelly: จริง ๆ ถามว่ามันมีความ link กันอยู่ค่ะ เพราะต้องยอมรับว่าปัจจุบันมันก็เป็นยุคของเทคโนโลยีนะคะ เรื่อง data ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่บริษัทไหนจะไม่ใช้ ก็ต้องใช้ทุกบริษัทนะคะ เพียงแต่ว่าแต่ละองค์กรที่เราอยู่เนี่ย เราจะอยู่ในส่วนงานที่มันได้ใช้รึป่าวค่ะ ก็ในส่วนของตัวเองเนี่ย เราก็ทำงานในองค์กรที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อมูลอยู่แล้ว มีประสบการณ์การทำงานมานานพอสมควรเลย ซึ่งถ้าได้เรียนตรงนี้ ก็สามารถนำไปต่อยอดได้แน่นอนนะคะ

 

มีกิจกรรมหรือ career support ของทางมหาวิทยาลัยที่เราได้เข้าร่วมไหมคะ

Jelly: มีค่ะ คือมหาวิทยาลัยเค้าค่อนข้างจะมีกิจกรรมในทุกรูปแบบเลย ถ้าเราสนใจกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งเราสามารถเข้าร่วมชมรมได้เลย เค้าจะมีคลับของเค้าค่ะ

แล้วก็การเตรียมพร้อมด้านอาชีพเนี่ย เหมือนเค้าจะมีหลักสูตรเป็นอีกวิชาหนึ่งที่จะเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ตลาดแรงงานในอนาคตค่ะ แต่ตรงนั้นเนี่ยทุกคนก็จะต้อง push ตัวเองขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง คือนอกจากวิชาที่ตัวเองเรียนซึ่งมันหนักอยู่แล้ว มันก็จะมีวิชานี้เพิ่มเข้ามา ซึ่งมันก็จะทำให้ในทุกสัปดาห์จะมีกิจกรรมในส่วนของการเตรียมพร้อมอาชีพตรงนี้ เราก็คือต้องมีความพร้อมและเวลาด้วยค่ะ แต่เราไม่ได้สมัครค่ะ ด้วยความที่เราเป็นนักเรียนทุนเราต้องกลับไปทำงานขององค์กรอยู่แล้ว คือถ้าเราสมัครอันนี้ไปเราก็ไม่ได้เอาไปต่อยอดงานที่ทำอยู่ตอนนี้อยู่ดีค่ะ

 

แล้วเราเคยได้ใช้บริการ student support ของที่มหาวิทยาลัยบ้างไหมคะ

Jelly: มีค่ะ เคยเข้าไปปรึกษาครั้งหนึ่งค่ะ เหมือนเราอยากจะ skip บางวิชาที่เราเคยเรียนมาในตอนปริญญาตรีแล้วอะไรอย่างนี้ แต่เราอาจจะต้องเตรียมการมากกว่านี้นิดหนึ่งก่อนจะมานะคะ แนะนำน้อง ๆ คือถ้าเกิดว่าอยากจะมาเรียนที่นี่ให้ไปตรวจสอบวิชาก่อนเลยว่าเราเคยเรียนอะไรมาแล้วบ้าง แล้วก็หาเวลาที่จะมาคุยกับทาง student center ที่นี่ก่อนล่วงหน้า เพื่อที่จะได้จัดเตรียมเรื่องก่อน พอมาถึงเราจะได้ไม่ต้องเสียเวลามาเรียนวิชาที่เราเคยเรียนมาแล้วซ้ำค่ะ

รีวิวการใช้ชีวิตใน Sydney หน่อยค่ะว่าเป็นอย่างไรบ้าง ได้ไปเที่ยวบ้างรึยัง

Jelly: Sydney ก็เป็นเมืองที่อากาศค่อนข้างที่จะแปรปรวนระดับหนึ่ง อาจจะน้อยกว่าที่อื่นในออสเตรเลีย แต่ด้วยความที่เรามาจากไทย เราก็ไม่ได้มีพื้นฐานในส่วนนี้มาก่อน เรามาอยู่ที่นี่ตอนกลางคืนช่วงมาใหม่ ๆ ก็หนาวมาก แต่ตอนกลางวันก็อีกเรื่องนึงเลย ส่วนอย่างอื่นที่นี่ก็มีหาดเยอะค่ะ ถ้าเกิดเราเครียด ๆ ก็ไปเที่ยวหาดได้ แล้วเดินทางไม่ลำบากเลย ใช้เวลาไม่นาน แล้วก็ระบบการขนส่งของเค้าค่อนข้างครอบคลุมนะคะแล้วก็สะดวกมาก ๆ

เราเองก็ได้ไปเที่ยวหาดมาแล้วค่ะ เพราะว่ามันใกล้สุด ไปตามชายหาดไปขึ้นเรือเฟอร์รี่ง่าย ๆ ได้เลยค่ะ แล้วก็ถ้าจะไปทางรถบัสก็ได้ มันมีหลายที่อยู่ค่ะ บางที่อย่างหาด Bondi หรือหาดอื่นก็สามารถเดินทางโดยรถบัสได้ค่ะไม่ได้นานมาก แล้วก็มีไปสวนสนุกด้วย เป็นสวนสนุก ชื่อ Luna Park เดินทางไม่ยาก เพราะว่ามันอยู่ใกล้ ๆ กับ Opera House เลยค่ะ ตรงนั้นก็เป็นจุดรวมพลใหญ่เลยค่ะ ใครจะไปไหนก็จะไปอยู่ตรงนั้นก่อน เพราะจะมีเรือเฟอร์รี่ตรงนั้นออกไปได้หลายที่ จะไปชายหาด จะไปไหนก็ไปขึ้นจากตรงท่าเรือนั้นได้เลย

 

รีวิวการบริการของพี่ ๆ Hands On ให้ฟังหน่อยค่ะ พี่ ๆ ช่วยเราเรื่องอะไรบ้าง

Jelly: มีพี่สองคนที่ดูแลหลัก ๆ นะคะ ก็คือเป็นพี่พราว คนนี้เป็นหลักเลยค่ะที่ติดต่อตอนแรก ดูแลทุกอย่างจนกระทั่งถึงขั้นตอนการยื่นเอกสารขอวีซ่า แล้วก็จะเป็นพี่เมย์ดูแลอีกทีนึงช่วงยื่นเอกสารขอวีซ่า

ก็ดีมากเลยค่ะ จริง ๆ ต้องบอกว่าประทับใจมาก เพราะว่าทางพี่ ๆ เค้าดูแลให้ความเอาใจใส่เป็นอย่างดี โดยเฉพาะช่วงที่เราแจ้งว่าเราต้องรีบมากในการเดินทางมาที่นี่ ระยะเวลาที่ใช้เตรียมตัวอาจจะไม่ได้นานมาก เพราะฉะนั้นทุกอย่างมันต้อง 1 2 3 ทุกอย่างมันต้องเป๊ะตามลำดับ ไม่งั้นก็ไม่ทันขั้นตอนอื่น ๆ ต่อไปเรื่อย ๆ  ซึ่งพี่เค้าก็ให้ความเอาใจใส่ดีมาก ๆ เลย ทำให้ทุกอย่างทัน มาเรียนต่อทัน ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกคิดว่าไม่น่าจะทันแล้วค่ะ

เพราะเราเพิ่งสมัครเรียนปี 2022 สมัครไม่ถึงหนึ่งเดือนก่อนที่เค้าจะปิดรับใบสมัครค่ะ แต่ทุกอย่างทัน แล้วหลังจากนั้นก็จะมีขั้นตอนของการทำวีซ่าต่อ ซึ่งตอนนั้นมันไปติดช่วงวันหยุดยาวด้วย อันนี้ก็คือประทับใจส่วนตัวมาก เพราะพี่เมย์ก็ติดต่อมาในวันหยุดด้วยซ้ำ ซึ่งตอนแรกก็คิดว่าคงไม่ทันแล้วละ เพราะว่ามันติดช่วงหยุดยาวช่วงนั้น แต่ก็ทันหมดเลยค่ะ

 

มีเรื่องไหนที่อยากแชร์ประสบการณ์ให้เพื่อน ๆ ที่กำลังวางแผนมาเรียนต่อได้รู้ก่อนไหมคะ

Jelly: คิดว่าน่าจะต้องเตรียมตัวให้ดี แล้วเตรียมใจมาก ๆ ดีกว่าค่ะ (หัวเราะ) เพราะว่ามาอยู่ที่นี่ อย่างที่บอก มันขึ้นอยู่กับคณะด้วย ถ้าเรามาเรียน Business เนี่ยก็ต้องยอมรับว่าเราจะต้องเจอคนจีนเยอะนะคะ ซึ่งบางคนอาจจะมองภาพว่าการมาเรียนต่อจะต้องเป็นฝรั่งเยอะอะไรแบบนี้ จริง ๆ ออสเตรเลียเป็นประเทศที่คนจีนมาเรียนต่อค่อนข้างเยอะ ก็อาจจะต้องดูนิดนึงถ้าเรารับได้ ก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีในการตัดสินใจค่ะ

อยากฝากให้น้อง ๆ ที่อยากมาเรียนต่อว่า การมาเรียนรู้ประสบการณ์ที่นี่ มาใช้ชีวิต ก็เหมือนกับเปิดมุมมองใหม่ ๆ ให้กับตัวเองได้นำกลับไป เราจะได้เห็นโลกที่กว้างขึ้น และมีทัศนคติที่กว้างขึ้น แล้วก็ enjoy ค่ะ