แนะนำตัวหน่อยค่ะ
Jazz: ชื่อเล่นชื่อแจ๊ส ตอนนี้เรียนอยู่คอร์ส MBA ที่ Monash University ครับ
เล่าให้ฟังหน่อยว่าทำไมถึงเลือกเรียนคอร์ส MBA คะ
Jazz: ทีแรกผมก็มองหลายคอร์สเหมือนกัน ผมจบ Computer Science มา แต่อยากเรียนต่อด้าน Business เพิ่ม อยากจะเปลี่ยนจากฝั่งเทคโนโลยี มาทำ Business Analyst ตอนนี้ผมทำงานเป็น Product Owner อยู่ที่ Ascend Group แล้วผมก็อยากรู้เรื่องด้าน Business ให้กว้างขึ้น เพราะพอเราขึ้นมาเป็น Management เราก็ต้องมีความรู้ที่กว้างขึ้น ก็เลยหาคอร์สด้าน Business สายต่าง ๆ จนได้ MBA มาเป็นหนึ่งในตัวเลือก แล้วก็ยังได้คุยกับคนที่มีประสบการณ์หลายคน ที่ทำงานด้าน Finance ด้าน Strategy ต่าง ๆ ก็เลยรู้สึกว่าคอร์สนี้เป็นคอร์สที่ดีในการปูพื้นฐานต่าง ๆ แล้วก็เหมือนเป็น Sandbox ให้ได้ผมเข้ามาศึกษาด้วย
พอเราตัดสินใจมาเรียนต่อพี่ Hands On ช่วยดูแลอะไรให้บ้างคะ
Jazz: เอาจริง ๆ เรียกได้ว่า Hands On นี่ก็ครบวงจรพอสมควร โดยบริการฟรีทั้งหมด ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรครับ ตอนที่มาปรึกษาคือผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย เพราะมหาวิทยาลัยที่ออสเตรเลียไม่ได้อยู่ในตัวเลือกของผม เพื่อนผมเรียน UK หมดตั้งแต่เหนือจรดใต้ แต่ออสเตรเลียคือ No Idea เพราะผมไม่มีเพื่อนอยู่ออสเตรเลียเลย ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับออสเตรเลีย ไม่รู้ว่าวีซ่าต้องทำยังไงบ้าง แล้วก็ไม่รู้เรื่องที่พักเลย แต่ Hands On คือมีข้อมูลหมดเลยตั้งแต่ต้น
เริ่มต้นปุ๊บผมก็ถามเลยว่าผมอยากเรียนออสเตรเลีย อยากเรียนคอร์สประมาณนี้ มีมหาวิทยาลัยไหนบ้างในแต่ละเมือง พี่เค้าก็ส่งเป็นลิสต์มาให้ บอกหมดว่าต้องสอบอะไรบ้าง สอบเสร็จปุ๊บ Hands On ก็ช่วยยื่นเอกสารต่าง ๆ ซึ่งปกติเวลายื่นเอกสารมหาวิทยาลัยก็จะมีความงง ๆ นิดนึง มันต้องเข้าระบบของมหาวิทยาลัย Hands On ก็แจ้งมาเลยว่าต้องส่ง 1 2 3 4 มา ซึ่งมันสะดวกกับผมมาก ตอนสัมภาษณ์ต่าง ๆ ผมก็ดำเนินการเองแล้วคอยอัปเดตพี่ Hands On พอในส่วนการยื่นวีซ่าก็จะมีพี่ทีมวีซ่า คอยแนะนำ เค้าก็จะแจ้งมาว่าต้องส่งอะไรมาให้บ้าง ผมก็ทำตามลิสต์เลยเพราะไปดูเองแล้วปวดหัว พอทุกอย่างเรียบร้อย ได้วีซ่า ได้ Offer จากมหาวิทยาลัย จ่ายตังค์เรียบร้อยแล้ว ทีนี้ก็เป็นเรื่องของการหาหอ ทาง Hands On ก็ยื่นเรื่องต่อไปให้ทาง Casita ปีแรกก็อยู่ไปก่อนแล้วกัน คุยกับที่ Casita แล้วก็สมัครจองหอพัก ตอนนั้นมีโปร Early bird เลยได้หอพักในเรท 439 AUD ครับ
*สนใจสอบถามข้อมูลเรียนต่อ Monash University ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ฟรี คลิก
รีวิวเรื่องคอร์สเรียน MBA ที่ Monash University ให้ฟังหน่อยค่ะว่าเราได้เรียนอะไรบ้าง
Jazz: คอร์ส MBA จะแบ่งเป็นเทอม ง่าย ๆ คือเค้าแบ่งเป็น 3 Units ต่อเทอม ในเทอมนึงก็จะรวมทักษะ Soft Skill, Business Skill และ Finance Skill
อย่างเทอมแรก 1 คือได้เรียน Soft Skill ความเป็น Leadership สอนเกี่ยวกับการเป็น Leadership ที่ดี สไตล์การเป็นหัวหน้าว่าแต่ละคนมีสไตล์แบบไหน อันที่ 2 เป็นเรื่องเกี่ยวกับ Business Skill ล้วน ๆ สอนเกี่ยวกับพื้นฐาน Business Framework ต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น การทำ Business Model Canvas และ Value Proposition Canvas เป็นต้น แล้วสุดท้ายก็จะเป็นเรื่อง Finance ก็จะเรียนเกี่ยวกับ Finance
ส่วน Unit ที่ 3 ในทุก ๆ เทอมจะมี Unit ที่เรียกว่า Consulting Project ที่ให้เราได้ประยุกต์สิ่งที่เราเรียนมา อย่างเราเรียน Leadership Skill มาแล้ว เราเรียนพวก Framework ต่าง ๆ มาแล้ว โดย Consulting Project ที่จะแบ่งทีมละ 5 คน อย่างคลาสผมมีทั้งหมด 45 คน แบ่งเป็น 9 ทีม แต่ละทีมก็จะถูก Assign ไปแต่ละบริษัท
ยกตัวอย่างบริษัทที่ผมได้ทำในช่วง Consulting Project ก็คือ Jetstar คือทางมหาวิทยาลัยจะเลือกบริษัทมาให้ก่อน วันที่เปิดเรียน Unit นี้ ก็จะแจ้งว่าแต่ละคนมีเวลากี่สัปดาห์ กี่วัน Framework ที่จะใช้เป็นแบบไหน แล้วก็ให้จัดการได้เองเลย ก็คือมีเวลาประมาณเดือนครึ่ง แต่ละทีมก็จะมีบริษัทต่างกันไป
เล่าการทำงานใน Consulting Project ให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ
Jazz: Jetstar เนี่ย เปิดมาปุ๊บเขาก็จะมีเอกสารคร่าว ๆ ให้อ่านว่า Scope เป็นยังไง ซึ่งค่อนข้างกว้างมาก สเกลการทำงานใหญ่มาก สิ่งที่ต้องทำคือต้องไปคุยกับเค้า ไปแนะนำตัวว่า 5 คนนี้เป็นใคร ใครเป็น Project Manager ถ้าคุณจะติดต่อต้องมาติดต่อคนนี้ เดี๋ยวคนนี้จะไปติดต่อคนในทีมเอง ซึ่ง Jetstar เค้าแจ้งว่าเค้าต้องการเพิ่ม Productivity เกี่ยวกับ Frontline Engineer ซึ่ง Frontline Engineer ก็คือช่างซ่อม สิ่งที่เราต้องทำคือเราต้องทำยังไงก็ได้ที่เพิ่ม Productivity ให้ Jetstar นั่นคือโจทย์ของเรา เราต้องไปแกะเองว่าเค้าทำงานยังไง มีตรงไหนที่เราต้องดูบ้าง จนได้เป็นคำแนะนำร่างออกมาเป็น Presentation ว่าเค้าต้องทำยังไง ซึ่งหลังจากนี้ผมไม่สามารถเล่าได้เพราะมันเป็นสิ่งที่เค้ากำลังพัฒนาอยู่ครับ (ยิ้ม)
*สนใจสอบถามข้อมูลเรียนต่อ Monash University ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ฟรี คลิก
Report ที่ต้องทำส่ง มีความยาก–ง่ายยังไงบ้างคะ เค้าคิดคะแนนยังไง
Jazz: Report มันถูกแบ่งไว้แล้วครับว่าจะมีกี่ส่วน ยกตัวอย่างเช่น Individual Report ในเทอมหนึ่ง จะถูกแบ่งเป็น 3 Sections ใหญ่ ๆ รวมแล้ว 6,000 คำ ไม่รวมอ้างอิง ซึ่งจะแบ่งเป็น 2,000 / 2,000 / 2,000 คำ
- 2,000 คำแรกจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับ Business Strategy เราก็จะใส่พวก Business Model ต่าง ๆ ในนี้
- 2,000 คำที่สองจะเป็นเกี่ยวกับ Marketing การสำรวจตลาดคู่แข่ง ดูว่าคู่แข่งเป็นยังไง ดูจุดแข็ง จุดอ่อนเรา ดูว่าเราจะไปเล่นในตลาดไหน เป็นต้น
- 2,000 คำสุดท้ายเป็น Finance ว่าจากทั้งหมดเราสามารถทำเงินได้หรือเปล่า
เทอมสองเนี่ยมันจะเป็นอีก Report นึง แล้ว Individual Report เค้าจะให้ทำเป็น Start-up ที่เกี่ยวกับ Sustainability แต่ละเทอมจะไม่เหมือนกัน เทอมสองจะเป็นเรื่องของ Design Thinking ก็คือว่าเรามีวิธีคิดในการออกแบบยังไง
เช่น ถ้าเราไปสัมภาษณ์คนมาวาด User Journey ลูกค้าจากจุด Start ไปจุด Stop ได้ยังไงบ้าง เจออะไรมาบ้าง นี่คือในพาร์ทที่หนึ่ง พาร์ทที่สองจะเป็นพาร์ทที่เอาของเทอมหนึ่งมายำ ๆ รวมกันในเชิงของ Business และ Marketing พาร์ทสุดท้ายก็จะเป็น Finance ซึ่งเทอมสองก็จะยากกว่านิดนึงเพราะเราต้องเขียน Excel Sheet เลย โดยพาร์ท Finance ก็แบ่งเป็น 2 ส่วน เป็น Account กับ Management Accounting ก็คือให้เราเขียนว่าเราจะทำเงินกับสิ่งที่เราคิดมาได้ยังไง นี่ก็เป็น Report คร่าว ๆ 6,000 คำ เขียนจริง ๆ ก็ประมาณ 7,000-8,000 คำ เพราะมันจะมีเพิ่มตรง Appendix ด้วย ที่นี่ให้ความสำคัญกับการอ้างอิงมาก ทุกตัวเลข ทุกคำพูดมันต้องมีอ้างอิงหมด ไม่ใช่เราติ๊งต่างว่าเราคิดอย่างนี้ แล้วแต่ละพาร์ทก็สอนโดยอาจารย์แต่ละคน ก็จะมีการให้คำแนะนำโดยอาจารย์ 3 คน
NEW UPDATES:ในปี 2024 เป็นต้นไป Monash University ได้ปรับเปลี่ยนหลักสูตร Master of Business Administration หรือ MBA เป็นหลักสูตรออนไลน์ 100% แทน สำหรับนักเรียนที่กำลังเรียนในหลักสูตรนี้ จะได้เข้าสู่คอร์สเรียน Global Executive MBA + Master of Business เป็น Double Degree แทน รวมเป็นระยะเวลาเรียนทั้งหมด 2 ปี โดยตัวหลักสูตรเปิดให้ผู้เรียนได้เข้าถึงความรู้เฉพาะสายที่ Advanced ขึ้น เช่นการทำงานในตำแหน่ง C-suite Management เป็นต้น เพื่อปูพื้นฐานการก้าวไปสู่ตำแหน่งผู้บริหารในแวดวงธุรกิจได้ในอนาคต |
บรรยากาศการเรียนการสอน เพื่อน ๆ และอาจารย์ในคลาสเป็นยังไงบ้างคะ
Jazz: ที่ Monash ดูจะให้ความสำคัญกับเรื่องความหลากหลายมาก ๆ ผมว่าน่าจะมากกว่ามหาวิทยาลัยอื่นด้วย อย่างในคลาสก็จะแบ่งครึ่ง ๆ เลย เป็นคน Local ครึ่งนึง เป็นคน International ครึ่งนึง อย่างคลาสผม เป็นผู้หญิงประมาณกว่า 40% ผู้ชาย 60% แล้วก็จะแบ่งย่อยประเทศอีก อย่างอินเดียประมาณกี่คน ไทยกี่คน โชคดีว่าในปีผมมีคนไทย 4 คน ซึ่งเยอะกว่าปกติ อย่างเพื่อนคนไทยในคลาสผม เค้าได้ Offer ปีที่แล้ว แต่บินมาไม่ได้ก็เลยมาปีนี้ คนไทยในคลาสก็เลยเยอะขึ้น คนในคลาสก็จะมีความหลากหลายมาก มีศรีลังกา ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ฮ่องกง จีน อิสราเอล ปากีสถาน หลากหลายมากครับ เราก็ได้ฟังประสบการณ์ที่หลากหลายเพราะแต่ละคนก็มีวิธีแนวคิดไม่เหมือนกัน บางคนแข็ง บางคนอะไรก็ได้ เราก็ได้เรียนรู้ในการ Manage เพื่อนร่วมทีมด้วย ให้ทำงานด้วยกันได้
ส่วนอาจารย์ที่นี่ก็หลากหลายมากเช่นกัน มีทั้งอาจารย์ผู้หญิงและผู้ชาย แล้วอีกอย่างผมชอบวิชานึงในเทอมสองมาก เป็นวิชาที่ชื่อ Negotiation เป็นวิชาในการต่อรองอะไรต่าง ๆ ซึ่งอาจารย์ที่สอนเป็นทนายความ สอนดีมาก เพราะมันเป็นอาชีพเค้า เค้ามี Framework ในการต่อรอง เช่น ถ้าทำ Negotiation นี้ คุณจะได้เปรียบในการต่อรองคนอื่น เป็นต้น
ข้อดีในการเรียนต่อคอร์สนี้ที่ Monash University มีอะไรบ้าง
Jazz: ข้อดีคือ ทางมหาวิทยาลัยรวมความรู้ต่าง ๆ อัดแน่นมากในแต่ละเทอม หนึ่งคือเค้าคิดว่าเรามีประสบการณ์การทำงานมาเยอะแล้ว เค้าเลยอัดความรู้มาให้ค่อนข้างเยอะมาก ซึ่งผมยกตัวอย่างง่าย ๆ คือเรื่อง Finance เพื่อนผมที่เรียน Finance มา ที่ผมเรียนมาใน 3-4 วันเนี่ย มันคือ 3-4 ปีของ ป.ตรี เลย
แล้วผมชอบวิชานึงคือวิชา Consulting Project เป็นการฝึกทำ Consult ที่ดี ในการที่เราไป Pitch งาน ไปเสนอลูกค้า ทำ Presentation เป็นยังไง ต้องคุยยังไง แล้วเหมือนมาที่นี่ทำให้เราเพิ่มความมั่นใจมากขึ้น เพราะผมเป็นคนที่ไม่ได้คุยกับคนเยอะอยู่แล้ว บางทีต้องพรีเซนต์ต่อหน้าคลาส ซึ่งเป็นฝรั่งหมดเลย
การเรียนที่นี่ก็สอนอะไรหลาย ๆ อย่าง ทั้งการพรีเซนต์งาน เรื่องการใช้ Framework ในธุรกิจต่าง ๆ มีความคิดไอเดียเกี่ยวกับธุรกิจ หรือถ้าเรามีงานต้องทำเกี่ยวกับบริษัท เราสามารถหยิบ Framework ต่าง ๆ ที่เราเรียนมาเนี่ย มาใช้ยังไงได้บ้าง อย่าง Unit ที่เป็น Consulting Project กับบริษัท เค้าบังคับให้เราเอา Framework ไป Plug-in กับตัว Consulting Project แต่ละบริษัท แบบ Framework นี้เอาไปใช้อย่างนี้นะ Framework บางตัวมันไม่เวิร์คนะ เค้าให้เราเรียนรู้ว่าไม่ใช่แต่จะเอาอันนี้ไปใช้ ต้องดูว่าแต่ละตัวมีประโยชน์ยังไง เอาไปใช้เพื่ออะไร ไม่ใช่แค่ว่าใช้ ๆ ไปเถอะ มันช่วยให้เราจัดการความคิด มีมุมมองด้านธุรกิจมากขึ้นครับ
รีวิวสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่ Monash University บ้าง
Jazz: MBA เค้าจะมี Business Lounge เป็นของตัวเอง ตัวตึกถามว่าดีมั้ย ก็กลาง ๆ ไม่ได้ดีเวอร์ ค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัว มีห้องให้นั่งประชุมทุกอย่างครบ อยากจะคุยงานกับเพื่อนหรือกับในคลาสก็สามารถจองห้องเข้าไปนั่งคุยได้เลย สิ่งอำนวยความสะดวกในการเรียน ในห้องก็เป็นห้องค่อนข้างใหญ่ มีทีวีรอบด้านเลย หนึ่งห้องก็มีทีวีประมาณ 7-8 ตัว คุณไม่ต้องกลัวว่าจะมองอาจารย์ไม่เห็นหรือมองสไลด์ไม่เห็น มีครบ
ตัวมหาวิทยาลัยฝั่งแคมปัส Caulfield ก็โอเคนะ คือผมไม่เคยไปฝั่งแคมปัส Clayton นะ แต่เห็นเค้าบอกว่า Clayton ใหญ่กว่าเยอะ ที่ Caulfield ผมว่าไม่ได้ใหญ่มาก เดินนิดเดียวก็หมดทั้งมหาวิทยาลัยแล้ว ก็จะมีห้องสมุด ยิม ห้องสมุดที่นี่ก็ดูค่อนข้างสวย แต่ผมไม่ได้เข้าเพราะผมใช้สิ่งอำนวยความสะดวกของทาง MBA เป็นหลัก เพราะผมต้องการที่ที่เงียบ ห้องที่ประชุมได้ ด้วยความที่ห้องสมุดคนมันพลุกพล่าน อาจจะไม่เสียงดัง แต่คนเดินไปเดินมา ในห้องกระจกเวลาเห็นคนเดินไปเดินมาแล้วรู้สึกรบกวนครับ
*สนใจสอบถามข้อมูลเรียนต่อ Monash University ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ฟรี คลิก
แล้วมีกิจกรรมอะไรของมหาวิทยาลัยที่เราได้เข้าไปร่วมบ้างมั้ย
Jazz: MBA จะมีสิ่งที่เรียกว่า Career Associated คือการทำ Networking จะมีศิษย์เก่ามาในแต่ละเดือน ช่วงแรก ๆ มีเยอะมาก มีรุ่นพี่มา Networking เค้าก็จะมาแนะนำว่าเรียนจบไปเป็นยังไง คาดหวังอะไรจากคลาสนี้ได้บ้าง อนาคตอาจจะคุยกันเพื่อให้ได้งานก็ได้ เพราะอย่างคลาส Consulting Project ผมก็ได้ Connection จากรุ่นพี่ศิษย์เก่ามาเหมือนกัน เป็นบริษัท Start-up ที่รุ่นพี่เป็นเจ้าของอยู่
นอกจากนี้ก็มีพวก Career Advancement Program (CAP) เค้าจะช่วยแนะนำว่าควรเขียน Resume ยังไง ควรพรีเซนต์ยังไง ควรแนะนำตัวเองยังไง เพราะปัจจุบันเรซูเม่เริ่มมีการใช้ AI เข้ามาตรวจแล้ว เป็นต้น
แล้วก็มีสิ่งที่ผมชอบมากเลยเรียกว่า Mentoring Program ซึ่งผมยังไม่ได้ไปลงนะ แต่เพื่อนผมไปลงแล้ว แต่ผมยังไม่ได้รีบหางานขนาดนั้น อยากโฟกัสเรื่องเรียนก่อน ซึ่งที่เพื่อนผมเล่าให้ฟังก็คือจะมีโปรแกรมให้ Mentor มาสมัคร แล้วเค้าจะดูว่าเราต้องการอะไรจาก Mentor แล้วเค้าจะเอามาชนกัน ยกตัวอย่าง เพื่อนผมเป็นคนโคลัมเบีย เค้าได้ Mentor ที่เป็น CEO ของบริษัทนึง ซึ่งเค้าก็ขยาย Networking ดีมาก แล้วเค้าก็ได้งานจาก Mentor คนนี้ด้วย ซึ่งผมเห็นว่ามันก็ดี ปีหน้าผมสมัครแน่ ๆ ซึ่งตอนนี้เค้าเปิดแล้ว แล้วเดี๋ยวจะปิดประมาณช่วงเดือนมกราคม บางคนก็อาจจะไม่ได้งานแต่ก็ได้ Networking ที่ดี ได้ความรู้ที่ดี ๆ กลับมา
เล่าความประทับใจเกี่ยวกับ Monash University ให้ฟังหน่อยค่ะ
Jazz: ผมคิดว่ามหาวิทยาลัยตัวคอร์สของเค้าดี อาจารย์ดี คุยได้ คุยง่าย ไม่มีปัญหาอะไร ติดต่อได้ตลอดเวลา วันเสาร์อาทิตย์เค้าก็ตอบหมด แต่ด้วยอื่น ๆ และด้วยราคาคอร์สที่ต้องจ่ายมันสูงมาก ๆ เพราะฉะนั้น สิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐาน ผมคิดว่าผมก็ต้องได้แล้วกัน ตอนนี้ยังไม่มีอะไรที่ประทับใจเป็นพิเศษ ผมคิดว่าสิ่งที่เค้าทำให้มามันพื้นฐานที่ควรต้องได้รับอยู่แล้ว อาจจะมีเพิ่มเติมตรงที่เค้าจัด Networking Program ในช่วงแรกตรงนั้นผมชอบ คิดว่าเป็นกิจกรรมที่ดีที่มหาวิทยาลัยให้มา ซึ่งมันไม่ได้อยู่ใน Course Outline ตอนแรกที่เค้าบอก อาจจะด้วยตัวคอร์สที่เรียนมันโอเคด้วย ผมแฮปปี้กับตัวคอร์สมากเพราะว่าผมเข้าใจว่า MBA ส่วนใหญ่อย่างพวกมหาวิทยาลัยดัง ๆ ใน UK เค้าต้องเรียนอ่าน Case Study มีสอบ แต่ว่าที่นี่มัน Practical ผมเลยรู้ว่าสิ่งที่ผมเรียน ผมจะเอาไปใช้จริงยังไง ตรงนี้ผมเลยคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ดีมากของคอร์สนี้ของมหาวิทยาลัยเลย
รีวิวเมืองและการมาใช้ชีวิตที่เมลเบิร์นให้ฟังหน่อยค่ะ
Jazz: หนึ่งคืออากาศที่นี่ดีมาก ผมเป็นภูมิแพ้อยู่ที่ไทย เจอฝุ่นเจออะไร หายใจคัดจมูกตลอด มาที่นี่คือจมูกโล่ง คือผมคุยกับอาจารย์ที่นี่หรือคนที่นี่ เค้าจะตกใจเลยว่าเค้าไม่รู้ว่าอันนี้คือสิทธิพิเศษที่เค้าได้ในการอยู่ออสเตรเลีย คือการมีอากาศที่ดี แต่ข้อเสียของเมลเบิร์นคืออากาศแปรปรวน ใน 1 วันอาจจะมี 4 ฤดูก็ได้ (หัวเราะ) ที่ผมเคยเจอคือร้อน เสร็จฝนตก ฝนตกเสร็จหนาว หนาวเสร็จกลับมาฝนตกต่อ แล้วแดดออก คืองงไปหมด
คือที่ออสเตรเลีย ฤดูกาลมันจะแปลก ๆ นิดนึง ฤดูหนาวจะอยู่ประมาณเดือน 7-8 ฤดูใบไม้ร่วงจะอยู่ประมาณเดือน 5 มันจะสลับขั้วกันกับประเทศอื่น อย่างตอนนี้ ธันวาคมจะเป็นฤดูร้อนแล้ว อย่างอาทิตย์ที่แล้วอากาศประมาณ 30 องศา แต่วันนี้เหลือ 15 แล้วฝนตกอีก ซึ่งทุกครั้งที่อากาศเปลี่ยน ผมก็จะป่วย เลยต้องระวังนิดนึงเวลาใครมาเรียน ถ้าคนที่ป่วยง่ายจากอากาศเปลี่ยนบ่อย ก็เตรียมยามาเยอะ ๆ ด้วย เพราะที่นี่หาหมอลำบาก ตอนแรกผมไม่ได้เตรียมยามาขนาดนั้น เตรียมมานิดเดียว ก็ต้องไปหาหมอ หลังจากนั้นผมก็รู้แล้วว่าต้องเตรียมยาอะไรบ้าง ผมก็จด ๆ ๆ ๆ บอกแม่ (หัวเราะ)
สองคือคน คนที่นี่หลากหลายมาก เดินไปในเมืองผมคิดว่าน่าจะเป็นเอเชียประมาณ 60-70% ตอนแรกที่ผมเดินใน CBD ผมแอบช็อกนิดนึงนะ ผมคิดว่าเป็น China Town (หัวเราะ) อย่างเพื่อนผม พ่อแม่เค้าเป็นคนฟิลิปปินส์ แต่เค้าเกิดที่นี่ แล้วแฟนเค้าเป็นคนมาเลเซียที่เกิดที่นี่ ที่นี่เค้าเรียกว่า Banana ก็คือข้างนอกเป็นคนเอเชีย แต่ข้างในคือเป็นคนขาว เพราะว่าเค้าเกิดที่นี่ แต่ที่นี่ไม่ได้รู้จักวัฒนธรรมคนเอเชียเท่าไหร่ แต่ผมคิดว่าคนที่นี่ส่วนใหญ่ก็เป็นคนจีนตรง China Town ซึ่งหน้าผมก็ค่อนข้างจีนส่วนนึง เดิน ๆ ไปที ไปร้านสะดวกซื้อ เค้าพูดจีนใส่ผมอ่ะ ผมคิดว่าพูดอังกฤษใส่น่าจะเป็นปกติ แต่นี่พูดจีนใส่ (หัวเราะ) อันนี้ก็เป็นเรื่องคน
ต่อไปก็เรื่องเมือง ที่นี่คาเฟ่เยอะมาก ที่เที่ยวผมว่ากลาง ๆ แล้วกัน แต่เน้นหนักคือคาเฟ่ เพราะผมเคยไปดูมาเหมือนที่นี่คาเฟ่ต่อคนมันเยอะสุดในโลกแล้วมั้ง ผมก็ตังค์หมดกับกาแฟเนี่ยแหละ เดินทั่วกินเกือบทุกร้านแล้ว มันมีราคาตั้งแต่ 4 AUD – 40 AUD