“Aston อยู่แล้วเหมือนเป็นบ้าน คือ ทุกคนเฟรนลี่มาก อยากทำอะไรก็ทำได้ Facilities ก็ดี คอยสนับสนุนทุกอย่าง.. สำหรับ MBA นอกจากเนื้อหาที่น่าสนใจมากๆ แล้ว มหาวิทยาลัยยังมี Summer exchange programme ให้นักศึกษาที่หลากหลายมากๆ ค่ะ” – เจเจ MBA
แนะนำตัวให้เรารู้จักหน่อยค่ะ
สวัสดีค่ะ เจเจ นะคะ เรียน MBA อยู่ที่ Aston University ค่ะ
Why this course?
ทำไมถึงต้องเรียน ป.โท ใบที่สอง
ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องสายงานแล้วก็อยากได้ความรู้จริงๆ มากกว่า และที่เลือกเป็นโทเพราะมันเรียนแค่ปีเดียว มันสั้น เรียนจบแล้วเราก็กลับไปทำงานได้ แล้วก็ช่วย support ในการทำงานค่ะ
คือพื้นฐานเจเจเรียนเป็น Chemical Engineering ที่จุฬาฯ มาค่ะ หลังจากเรียนจบก็ต่อ MSc ที่เป็น Engineering Business Management ที่ University of Warwick ที่อังกฤษเลย ก็คือยังไม่ได้ทำงาน พอเรียน MSc เสร็จแล้วก็ยังรู้สึกว่ายังไม่ค่อยอินเท่าไหร่ ก็เลยไปฝึกงานก่อน หลังจากนั้นก็เลยพบว่าเราไม่ใช่สาย Engineer เลยก็เลยเปลี่ยนสายงานไปสมัครทำงานเป็น Management trainee เพราะจะได้ rotate ทุกสายงาน แล้วพอเริ่มทำงานไปสักปีครึ่งก็รู้สึกว่าเราทำงานได้นะ แต่เราไม่มีพื้นฐานเลยเวลาเราคุยกับคนอื่น ก็เลยคุยกับเพื่อนที่เรียนสาย business ว่าเอายังไงดี สุดท้ายเลยตัดสินใจเรียน ป.โท อีกใบนึงตามใจตัวเองเลยค่ะ
พอจะมาต่อโทอีกใบ ได้เล็งประเทศอื่นไว้มั้ยเพราะเคยมาอยู่ที่อังกฤษแล้ว
ก็ชอบที่อังกฤษเพราะรู้สึกว่าคนที่นี่น่ารัก เคยคิดจะไปเรียนที่อเมริกาแต่ที่นั่นเค้าจะมีสอบ GMAT แล้วก็มีสอบ TOEFL อีก ซึ่งระบบก็จะแตกต่างจากตอนที่สมัคร แล้วที่อเมริกาก็มีข่าวที่ไม่ค่อยปลอดภัยเยอะ ที่บ้านเลยไม่ค่อยอยากให้ไปค่ะ
ทำไมถึงเลือกเรียนคอร์สนี้
เจเจคิดว่า MBA น่าจะตรงกับเรา เพราะเราพอมีพื้นฐานการทำงานมาแล้ว บวกกับรายละเอียดคอร์สก็ตรงตามความสนใจของเราค่ะ
ทำไมถึงเลือก Aston University
ชอบโลเคชั่นที่ Birmingham เพราะมันไม่วุ่นวายเกิน แล้วก็มีความเป็นเมือง ค่าครองชีพก็ไม่สูงมาก พี่แนตที่ Hands On ก็แนะนำมหาวิทยาลัยในเมืองนี้และที่ใกล้ๆ มาให้ค่ะ เจเจก็เลยมาหาข้อมูลต่อแล้วตัดสินใจเลือกที่ Aston University เพราะเป็น Triple Accredited แถมเรียนปีเดียวและมีทุนให้
Aston Business School 1 ใน 90 มหาวิทยาลัยจากทั่วโลก ที่ได้รับการรับรองหลักสูตรแบบ Triple Accredited
การบริการจาก Hands On
คือก่อนหน้านี้ตอนเราสมัครเรียนที่ Warwick เคยใช้บริการอีกที่นึงแต่เราไม่ค่อยอินเท่าไรค่ะ พอจะเรียนโทอีกใบก็เลยลองคุยกับรุ่นพี่ที่เรารู้จักที่เรียนอยู่ Birmingham ก็เลยถามเค้าว่าติดต่อที่ไหน พี่คนนั้นเค้าบอกว่าให้ติดต่อพี่ Hands On เพราะพี่เค้าใจดี เฟรนลี่มาก แล้วก็ช่วยเหลือทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบเลยค่ะ คือของจริงดีกว่าที่คาดหวังไว้ด้วยนะ พี่แนตน่ารักมาก จำได้เลยว่าโทรมาแล้วถามว่ามี requirement อะไรบ้าง ทำไมถึงอยากเรียนที่เมือง Birmingham ไปเรียนอันนี้มาก่อนทำไมถึงเปลี่ยน ถามว่าทำงานมากี่ปี คือเค้าก็จดแล้วลิสต์มาให้หมดเลยว่ามหาวิทยาลัยไหนมี requirement อะไรยังไงบ้างให้เราทางอีเมล แล้วให้เราไปนั่งคิดเองว่าเราอยากเรียนที่ไหน แล้วทีนี้พี่แนตก็โทรมา follow-up ว่าเป็นยังไงบ้าง ไหนจะเรื่องสอบ IELTS อีก ก็มานั่งลุ้นกัน แล้วพอรู้ว่าได้ทุนด้วย พี่แนตก็บอกว่า “เอาเลยหนู ถูกขนาดนี้” (หัวเราะ) คือพี่แนตก็คอยช่วยตลอดทุกอย่างค่ะ พอตัดสินใจเลือก Aston University แล้ว พี่แนตก็คอยช่วยเตรียมเอกสารว่าอย่าลืมนั่นอย่าลืมนี่ แล้วเราก็มาคิดว่าเราเคยสมัครไปแล้วครั้งนึง ทำไมอันนี้มันต้องใช้หรอ แต่พอไปถึงวันที่สมัครวีซ่าจริงๆ แล้วไปยื่น คือเจ้าหน้าที่ก็บอกเลยว่าเอเจนซีนี้ไม่ต้องห่วง แค่เห็นซองก็โอเคเลย ดีงามมากค่ะ คือเอกสารที่เราคิดว่าไม่ต้องใช้ แต่พี่แนตบอกว่าให้ใส่มาเถอะเผื่อไว้ แล้วสุดท้ายคือมันต้องใช้จริงๆ ค่ะ ประทับใจมาก รู้รายละเอียดและใส่ใจ อีกอย่างคืออย่างเรื่องวีซ่าเนี่ย ที่อังกฤษจะมีกำหนดไว้ว่าไม่สามารถเรียนในระดับเดิมได้ แต่เราจะไปเรียนโทซ้ำ ก็ได้พี่แนตไปหาข้อมูลมาให้ค่ะ ว่าถ้าไปเรียนอีกสายนึงที่ไม่ทับเนื้อหาเดิมก็โอเค แล้วพี่แนตก็ติดต่อกับทางมหาวิทยาลัยให้ ให้ทางมหาวิทยาลัยเขียนจดหมาย support ให้เหมือนกันค่ะ ดีงามค่ะ (หัวเราะ)
สนใจเรียนต่อ Aston University ลงทะเบียนเพื่อรับข้อมูลเรียนต่อและคำปรึกษาฟรี คลิก
MBA
เนื้อหาก็ตรงกับที่คิดไว้ค่ะ เพราะก่อนมาเรียนก็เปิดดูว่าจะต้องมีเรียนอะไรบ้าง และที่เลือกมาเรียนที่ Aston University เพราะที่นี่มีเกี่ยวกับ Change management แล้วเค้ามีเกี่ยวกับ Shaping Complex Organisations ซึ่งคนที่อยากเปลี่ยนสายงานไปเป็นที่ปรึกษาหรืออยากเติบโตในบริษัทเดิมจะต้องรู้เกี่ยวกับวิธีบริหารคน ซึ่งรู้สึกว่าน่าสนใจมาก แล้วทีนี้ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับ Strategy แล้วคิดว่าตัวเองไม่เก่งเรื่อง Strategy เลย เลยอยากมาเรียนที่นี่ค่ะ
ก็พอเปิดเรียนวันแรกเรียน finance เราก็รู้สึกว่าเป็นวิชาที่เราไม่ค่อยน่าจะได้เท่าไหร่ แต่เคยทำงานเกี่ยวข้องกับแผนกนี้มาก่อน แล้วตอนนั้นได้ยินเค้าคุยกันคือเราไม่รู้เรื่องเลย แต่พอมานั่งเรียนก็ อ๋อ นี่คือสิ่งที่เค้าคุยกัน เหมือนเราเข้าใจตัวที่เป็นพื้นฐานมากขึ้น ก็เรียนแบบ simulation คือเหมือนให้เราบริหารธุรกิจจริงๆ ก็ดีค่ะ ถ้าเทียบกับ MSc ตัวนี้จะมีความ live มากกว่า แล้วเราก็ได้ประยุกต์ความรู้แบบ real time เลยจริงๆ พอตอนทำงานกลุ่มก็ให้ความรู้สึกเหมือนได้ทำงานจริงๆ อาจมีปัญหาบ้าง ได้ discuss กันบ้าง แล้วก็ได้เรียนรู้จากเพื่อนบ้างมันก็ดีกว่า เพราะตอนเรียน MSc พอเลิกเรียนก็กลับบ้านทำ assignment มันจะไม่ค่อยมีงานกลุ่มเท่าไหร่ค่ะ
บรรยากาศในชั้นเรียน
คือที่นี่งานกลุ่มเยอะมากค่ะ พรีเซ้นท์ทุกอาทิตย์เลย แต่ก็รู้สึกว่าสนุกดี ทำให้เราได้คิดเยอะขึ้น ได้เรียนรู้จากเพื่อนมากขึ้น ต้องเตรียมตัวมากขึ้นค่ะ เพราะอาจารย์เค้าก็จะจับกลุ่มให้เรา ต้องคอยลุ้นว่าเราจะได้ทำงานกับใคร (หัวเราะ)
อาจารย์ดีนะคะ คือเวลาเราถามอะไร เค้าตอบได้หมดทุกสิ่งอย่างที่เราอยากรู้ แล้วถ้าเราอยากนัดคุยนอกเวลาก็สามารถเลือกจองเวลาผ่านระบบได้เลยค่ะ
ส่วนเพื่อนในคลาสก็ประมาณ 30 คนค่ะ เฟรนลี่มากตั้งแต่วันแรก แล้วก็จะมีความหลากหลาย ทุกคนดีมากก็สนิทกัน ไปเที่ยวด้วยกันบ่อย มีชวนกันไปปาร์ตี้ที่บ้าน ก็มีครั้งนึงที่คุยกันว่าให้ทำกับข้าวกันไปเองแล้วไปแบ่งกัน เราก็ทำต้มยำไปโชว์เค้า ทุกคนก็บอกว่าอร่อยมากเลย ยู (หัวเราะ)
Summer exchange programme
ถ้าสมมุติว่ามาเรียน MBA ก็จะมีเป็น Summer exchange programme ที่เราสามารถเลือกไปเรียนกับมหาวิทยาลัยที่เป็น partner กับ Aston ได้ค่ะ ประมาณ 4 อาทิตย์ ของเจเจตอนนี้จะได้ไปที่ Copenhagen ตอนเดือนมิถุนายนนี้ค่ะ รู้สึกว่าตื่นเต้นมาก อยากไปมาก แล้วมหาวิทยาลัยคือออกค่าเรียนให้หมดเลย เราก็ออกแค่ค่าที่พักกับกินอยู่เท่านั้นค่ะ แล้วก็ยังมีให้เลือกไปตอนเทอม 5 คือหลังจากเราเรียนจบช่วงกันยายน คือจะไปอยู่เทอมนึงที่ไหนก็ได้ที่เป็น partner ก็จะมี อเมริกา เยอรมัน ออสเตรเลีย เป็นต้น ซึ่งมหาวิทยาลัยเหล่านั้นก็ ranking สูงมาก คอร์สก็น่าสนใจมาก เราสามารถเลือกคอร์สเรียนได้เลยค่ะ ซึ่งมหาวิทยาลัยก็จะออกค่าเรียนให้เช่นกันค่ะ ซึ่งจริงๆ แล้วแค่ค่าเรียนก็ค่อนข้างแพงมากแล้ว ก็เลยรู้สึกว่าคุ้มมากค่ะ นอกจากนี้ก็ยังมี Double degree คือเรียน MBA ปีแรก ส่วนปีที่สองก็จะเป็นอีก degree นึงเลย คือได้ 2 ใบ มหาวิทยาลัยออกค่าเทอมให้ฟรีเหมือนกันค่ะ คือเหมือนได้ทุนเลย
จะเรียนต่ออีกใบไหม?
คือหนูก็เรียนโทจบมาใบนึงแล้วค่ะ พอแล้วววว (หัวเราะ)
Aston University
Facilities และการดูแลนักศึกษา
ส่วนตัวรู้สึกว่า Aston อยู่แล้วเหมือนเป็นบ้าน คือ ทุกคนเฟรนลี่มาก อยากทำอะไรก็ทำได้ Facilities ก็ดี คอยสนับสนุนทุกอย่าง ค่อนข้างครบค่ะ
อย่างของ MBA ก็จะมีเป็น base room ก็จะเป็นห้องสำหรับเด็ก MBA ให้นั่งทำงานโดยเฉพาะ หรือถ้าเข้าไปห้องสมุดก็มีสอนเกี่ยวกับการเขียนให้เราจองได้เป็นตัวต่อตัว ส่วนเรื่อง career support เค้าก็มีช่วยดู CV ให้ก็สามารถจองเป็นตัวต่อตัวได้เหมือนกันค่ะ แล้วก็มีอันนึงที่เจเจเคยใช้ เค้าเรียนว่าเป็น LDC หรือ Learning Development Centre ค่ะ สำหรับคนที่ภาษาอังกฤษไม่แข็งมาก อย่างตอนเขียนหรืออะไรอย่างนี้ก็สามารถจองเป็นตัวต่อตัวได้ 1 ชม. เค้าก็จะช่วยสอนเราให้ว่าตรงไหนเราอยากเรียนเพิ่ม หรือว่ามีงานที่อยากให้เค้าช่วยดูให้ก็ได้ค่ะ
Scholarship
ก็ปีที่เจเจมา มหาวิทยาลัยมีทุน 5,000 ปอนด์กับ 10,000 ปอนด์ค่ะ เจเจได้ตัว 5,000 ปอนด์ค่ะ ก็ได้พี่ๆ Hands On คอยช่วยดูแลด้วยค่ะ
กิจกรรมนอกห้องเรียน
เจเจก็เป็น Course representative ก็เป็นตัวแทนให้เพื่อนในห้อง แล้วคือที่มหาวิทยาลัยเค้าจะมีประชุมของคอร์สว่านักเรียนมี feedback ยังไงบ้าง ในคลาสก็จะมีตัวแทน 3 คน ก็จะมี เจเจ แล้วก็เพื่อนอีก 2 คน เวลามีประชุมเค้าก็จะนัดมา เราก็ต้องเก็บ feedback จากทุกคนประมาณนี้ค่ะ คือเราก็จะมีเป็นลิสต์ให้กับทางมหาวิทยาลัยเลย พอเรา feedback ไปเค้าก็จะอธิบายให้เราว่าตอนนี้มันเป็นแบบนี้นะ ถ้ายังปรับไม่ได้เค้าก็จะบอกว่าเดี๋ยวเค้าจะ follow up ให้ครั้งหน้าที่ประชุมนะ เช่น ตอนไป field trip ส่วนใหญ่ก็จะไปพวกบริษัทรถยนต์ เราก็มี feedback ไปว่าอยากไปดูพวก stock exchange ในลอนดอนบ้าง เค้าก็บอกว่าเค้าจะพยายามหาให้อะไรประมาณนี้ค่ะ ก็ดีค่ะ
สนใจเรียนต่อ Aston University ลงทะเบียนเพื่อรับข้อมูลเรียนต่อและคำปรึกษาฟรี คลิก
Birmingham
เจเจชอบ Birmingham อยู่แล้ว เคยมาอยู่ที่นี่ก่อนหน้านี้แล้วประมาณ 2 เดือนตอนมาเรียนโทครั้งที่แล้ว แต่มาอยู่รอบนี้รู้สึกว่าชีวิตมันหฤหรรษ์มากขึ้น คือพอดีตอนนี้เจเจอยู่หอที่มันค่อนข้างออกนอกเมืองนิดนึง มันจะต้องเดินทางเยอะค่ะ แต่จริงๆ เมือง Birmingham ก็โอเค แต่เรื่องความปลอดภัยก็อาจจะต้องระวังตัวนิดนึง เจเจทำงานตอนกลางคืนบ้างเป็นบางครั้งก็ต้องระวังตัวด้วยเพราะเราเป็นผู้หญิง
Part time job
ตอนนี้มีอยู่ 2 อย่างที่เป็นหลักๆ อันแรกคือทำงานร้านอาหารไทยที่ชื่อเจ้าพระยา ซึ่งอยู่ใน city center เลย สนุกดี ได้กินข้าวฟรีค่ะ แล้วก็มี holiday pay ให้ด้วย ได้ส่วนลดค่าอาหารด้วย (ยิ้ม)
อีกงานนึงคือทำงานเป็นล่ามค่ะ ส่วนใหญ่จะไปที่โรงพยาบาลหรือเป็นที่ส่วนตัว คือจะเป็นคนที่เคยถูกทำร้ายหรือว่ามีปัญหา เจเจก็จะทำงานกับ Social worker เค้าก็จะบอกว่างานนี้กี่ชั่วโมง ไปทำที่ไหน เราว่างมั้ย ถ้าว่างก็คอนเฟิร์มแล้วก็ติดบัตรของที่บริษัทแล้วก็ไป พอไปถึงก็จะไปนั่งระหว่างคนที่เป็นเจ้าหน้าที่กับคนที่เป็นคนไทย แล้วเราก็แปลภาษาไปกลับ ส่วนใหญ่ก็เป็นงาน confidential
งานนี้มันสอนอะไรเราบ้าง
ก็รู้สึกว่าโลกนี้มันมีอะไรมากกว่าที่เราคิด เพราะจะมีกรณีที่คนโดนทำร้ายด้วยค่ะ แล้วเวลาไปโรงพยาบาลก็เคยเจอคนไข้พูดว่าเค้าเจ็บป่วยมานานมาก เค้าหาล่ามไม่ได้จริงๆ แล้วพอเรามาเค้าก็รู้สึกดีใจมากที่เหมือนมีคนมาช่วย มีคนมาแปลให้เค้าอะไรอย่างนี้ค่ะ หนูก็เลยรู้สึกว่าอยากทำต่อ อยากทำไปเรื่อยๆ เพราะมันดีกับเราด้วยค่ะ
แล้วก็ได้เห็นการทำงานของที่อังกฤษด้วย เข้าใจว่าคนที่นี่เค้าจ่ายภาษีกันเยอะ สวัสดิการทุกอย่างคือดีมาก คือสมมุติว่าถ้าเราเคยโดยทำร้าย เค้าจะจดเป็นเคสไว้แล้วก็จะติดตามตลอด จะถามว่าเราต้องการการช่วยเหลือมั้ย และต้องการอะไรบ้าง อย่างเช่นบางคนเค้าก็จะมีการถามว่าต้องการบ้านที่ปลอดภัยกว่าที่อยู่ตอนนี้มั้ย แล้วเค้าก็จะหาให้ค่ะ แล้วก็จะคอยช่วยเหลือจนกว่าเราจะโอเค
สนใจเรียนต่อ Aston University ลงทะเบียนเพื่อรับข้อมูลเรียนต่อและคำปรึกษาจากพี่ๆ Hands On ตัวแทนมหาวิทยาลัยอย่างเป็นทางการประจำประเทศไทย ฟรี คลิก