นพรัตน์ ณ วังขนาย หรือ นพ สาวสวยที่พกดีกรีปริญญาตรี และปริญญาโท กลับมาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของอังกฤษ อย่าง University of East Anglia พบมุมมองและแง่คิดดีๆ จากสาวคนนี้กันค่ะ
Hands On แอบนัดคุยอัพเดทชีวิตน้องสาวคนนี้ของเรา ที่ดูแลกันมายาวนานถึง 7 ปี จากเด็กผู้หญิงผมเปีย ที่วันนี้กำลังจะกลายเป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญในการพัฒนาธุรกิจครอบครัวอย่าง “น้ำตาลวังขนาย” ผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่ของประเทศไทยที่เราๆ รู้จักกันดี ลองติดตามบทสัมภาษณ์นี้ แล้วคุณจะหลงรักเธอเหมือนที่เรารัก
วันนี้ขอเจาะลึกประสบการณ์การเรียนที่อังกฤษเลยนะคะ
ได้เลยค่ะ 🙂 นพไปเรียนอังกฤษหลังจากจบ ม.6 ที่โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัยค่ะ ก็เริ่มตั้งแต่คอร์ส Foundation แล้วต่อปริญญาตรีสาขา International Business Management และปริญญาโทสาขา International Business Economics ที่ University of East Anglia ค่ะ
อันดับแรก ทำไมเลือกเรียนต่อที่อังกฤษคะ?
ตอนแรกจะเรียน ABAC แต่ที่บ้านอยากให้ไปเรียนที่อังกฤษ พอดีตอนนั้นพี่สาวเรียนอยู่ที่ลอนดอนค่ะ ก็เลยเลือกทุกอย่างจากโลเคชั่นก่อนเลย จะได้อยู่ใกล้ๆ พี่ #ใช้ชีวิตง่ายๆ
การเตรียมตัวเรียนต่อ
ทีนี้ในตอนนั้นเราก็ blank มาก ก็เลยเข้าไปคุยกับอาจารย์แนะแนวที่โรงเรียนว่าเราจะไปเรียนต่อที่อังกฤษ จะเริ่มจากตรงไหนดี เพราะทั้งระบบการศึกษา และเอกสารต่างๆ ที่จะต้องทำคงเยอะมาก อาจารย์แนะแนวก็แนะนำว่าใกล้ๆ แถวโรงเรียน มีออฟฟิศของพี่ๆ Hands On ลองเข้าไปคุยดู เราก็โอเคใกล้ๆ ลองเดินเข้าไปปรึกษา ครั้งแรกเจอพี่ปุ้ยค่ะ แล้วตอนนี้ก็เหมือนได้พี่สาวเพิ่มมาอีกหนึ่งคนเลย เพราะว่าคุยกับพี่ปุ้ย ปรึกษาเรื่องเรียนต่อเยอะมาก คือพี่ปุ้ยเนี่ย เตรียมข้อมูลต่างๆ มาให้นพปี้ตั้งแต่เรื่องเรียน Foundation อะคิดดู แล้วระหว่างเรียนหรือช่วงที่เปลี่ยนคอร์สเรียนต่างๆ นพก็กลับมาหาพี่ปุ้ยตลอด เรียกได้ว่าดูแลนพตั้งแต่ปี 2011 จนตอนนี้จบแล้วยังมีถามไถ่และพูดคุยกันอยู่เลยค่ะ น่ารักมากก
เริ่มแรกเลย พี่ปุ้ยก็ดูก่อนว่าเราจบ ม.6 ได้เกรดเท่าไร เราอยากไปเรียนที่ไหน แล้วหลังจากนั้นก็กลับมาพร้อมข้อมูลและตัวเลือกต่างๆ ให้เราเลือก แนะนำเราเป็นขั้นตอน 1 2 3 4 มันทำให้เรื่องซับซ้อนต่างๆ ง่ายขึ้น… จริงๆ นพปี้ได้พี่ปุ้ยจัดการแทบทุกเรื่องให้เลยค่ะตอนนั้น ขอบคุณพี่ปุ้ยจากใจเลยค่ะ 🙂
Hands On เป็นตัวแทนมหาวิทยาลัยในสหราชอาณาจักรอย่างเป็นทางการประจำประเทศไทยกว่า 100 สถาบัน ทุกบริการของเราไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้นค่ะ
งั้นเริ่มที่ Foundation เลยค่ะ เพราะน้องๆ คนไทยหลายๆ คนอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อนี้เลย
สำหรับคอร์สนี้นะคะ ใครที่จบ ม.6 แล้วเกรดไม่ถึง 3 จะต้องเรียนคอร์สนี้ก่อนที่จะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยปี 1 ที่อังกฤษ เพื่อปรับพื้นฐานให้เราพร้อมสำหรับการเข้าเรียนมหาวิทยาลัย แต่ว่าไม่ต้องกลัวว่าจะเสียเวลานะคะ ที่อังกฤษการเรียนปริญญาตรีทั้งหมด 3 ปี ก็เท่ากับว่าใช้เวลาทั้งหมด 4 ปี เหมือนกับเมืองไทยค่ะ
นพเรียนกับ INTO University Partnerships ค่ะ จบแล้วจะสามารถเลือกเรียนได้หลากหลายมหาวิทยาลัยที่ทางสถาบันเป็นเครือข่ายหลังจบ Foundation ตอนนั้นมีแอบงง แล้วก็ตัดสินใจไม่ได้ด้วยค่ะ ว่าจะเรียนสาขาอะไร ยังไงต่อ ก็กลับมาหาพี่ปุ้ยที่ Hands On อีก พี่ปุ้ยก็น่ารักมาก มีแนะนำหลายๆ คอร์ส หลายๆ มหาวิทยาลัย ที่ match กับความต้องการและความสามารถ รวมถึงคะแนนของเราให้ค่ะ
Foundation course คือคอร์สเรียนปรับพื้นฐานก่อนเข้าเรียนในระดับปริญญาตรีที่อังกฤษ สำหรับนักศึกษานานาชาติ
เอาจริงๆ หนูว่า คอร์สนี้สมควรเรียนสุดๆ เพราะมันถือเป็นการปูพื้นฐานต่างๆ ให้เราพร้อมสำหรับการเรียนต่อปริญญาตรี เช่น วิธีการเขียนเรียงความตอบคำถามให้ห้องสอบ
หนึ่งเลย คือเราไม่เคยมีพื้นฐานการอ่าน หรือหลายๆ สกิลที่เป็นภาษาอังกฤษ เหมือนอย่างเวลาเขียน มหาวิทยาลัยในไทยอาจจะมี choice ให้เราเลือกบ้าง ตอบสั้นๆ บ้าง แต่ที่เราเจอคือมีสมุดมาเล่มนึงกระดาษเปล่าๆ กับโจทย์ 3 บรรทัด กำหนดให้เราตอบอย่างน้อย 8 หน้า นพนั่งมองอยู่แป๊ปนึงแล้วก็คิดว่า แล้วเราจะต้องเขียนอะไรเนี่ย!! โอเค เราเรียนมาว่ามันต้องมี introduction, body, conclusion ต่างๆ แต่จะเขียนอย่างไรให้มันลื่นไหล ให้มันได้คะแนนดีๆ คือคนเรารู้ theory แต่ไม่รู้ว่าจะทำให้มัน practical ยังไง ตอนแรกนี่คะแนนไม่ดีเลย เพราะเราตีโจทย์ไม่ได้ เราไม่รู้ว่าเค้าต้องการอะไร
นอกจากนี้ คอร์สนี้ยังเปิดโอกาสให้เราได้ใช้ชีวิต และได้อิสระอย่างเต็มที่ เราจะได้เจอกับสถานการณ์ที่เราต้องจัดการชีวิตตัวเอง วางแผน แล้วก็มีระเบียบกับตัวเองให้เป็นค่ะ
สำหรับน้องๆ คนไทยที่สนใจอยากเรียนต่อปริญญาที่อังกฤษ นพก็คิดว่ายังไงคอร์สนี้ก็เป็นคอร์สที่น่าสนใจและสมควรเรียนนะ เพราะมันเป็นการปูพื้นฐานและเตรียมความพร้อมสำหรับการเรียนต่อของเรา แถมหาเพื่อนได้ง่ายกว่าด้วย หรืออย่างคอร์สภาษาที่เพื่อนๆ คนไทยชอบมาเรียนก่อนเริ่มเรียนปริญญาโท นี่ก็ถือเป็นการให้เวลาตัวเองปรับตัว หาเพื่อน เตรียมรับมือกับสิ่งที่เราจะได้เจอจริงๆ ในตอนเรียนเหมือนกันค่ะ
ความต่าง ระหว่าง การเป็นนักเรียนอังกฤษ และนักเรียนไทย
ก็ต่างนะคะ .. เพราะตอนนพอยู่ที่เมืองไทยนี่ เราไม่ได้สนใจอะไรมาก คือไม่เคยไปเรียนพิเศษเพิ่มเติม ไม่ได้อ่านหนังสือเตรียมสอบ อะไรแบบนั้นเลย คะแนนหรือเกรดเราก็เลยออกมาตามนั้น (หัวเราะ)
แต่พอไปเรียนที่อังกฤษมันก็ต่างกันเรื่องอื่นด้วย เช่น เนื้อหาวิชาที่เราเรียนก็ไม่เหมือนกัน อย่าง Business, Accounting, Economics คือ เราได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ที่เราไม่เคยเรียนมาก่อน เจอเพื่อนใหม่ เจอสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ
จำได้ว่าตอนเรียน Economics ยากมากเลยค่ะ คือเราไม่มีพื้นฐานมาเลย หรืออย่าง Accounting เนี่ย จากที่เราไม่เคยเข้าห้องสมุดเลยเราก็ฝืนตัวเองเข้าไปนั่งอ่านจนมันผ่านมาได้ ส่วนเรื่อง Business เนี่ย แอบได้ Top มาด้วยนะคะ (ยิ้มหวาน) แต่ Economics นี่เรายืนยันเลยว่ายากมาก เกือบตกด้วย!!
ส่วนเรื่องการใช้ชีวิต ตรงนี้คือการอยู่ที่ลอนดอนกับเมืองไทยเนี่ยต่างกันมาก อย่างที่ลอนดอน เรามีอิสระเยอะมาก มากจนเกินไป คือถ้าเราไม่มีภูมิคุ้มกันในการคุมตัวเอง เราสามารถเสียคนได้เลยนะ เพราะมันมีสิ่งยั่วยุเยอะมากและหาได้อย่างง่ายๆ เช่น เหล้า ยา ต่างๆ เมื่อก่อนอยู่แถว Shoreditch นี่ก็แหล่งเลยค่ะ แต่ทางการเค้าก็มีการดูแลที่เข้มงวดมากนะ มีตำรวจคอยยืนอยู่ในจุดอับต่างๆ แต่เดี๋ยวนี้แถวนั้นเปลี่ยนไปเยอะแล้วค่ะ กลายเป็นที่ที่วัยรุ่นฮิปๆ นัดเจอกัน มีร้านค้าเก๋ๆ เปิดเยอะแยะ คือมันไม่ได้อันตรายถ้าเรารู้จักดูแลตัวเอง แล้วก็เลือกใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาทเนอะ
สนใจเรียนต่อคอร์ส Pathway พบกันที่งาน Your Pathway to a top UK University – เส้นทางสู่มหาวิทยาลัยในฝันที่ UK วันเสาร์ที่ 2 มิถุนายน 2561 ตั้งแต่เวลา 14:00 – 17:00 ที่โรงแรมโนโวเทล สยามสแควร์ ห้องโบเดอแลร์ ชั้น B1 (BTS สยาม ทางออก 6) ลงทะเบียนฟรี คลิก