Hands On Education Consultants

รีวิว Polymer Science ที่ University of Warwick

“เอิร์จทำงานมาแล้ว 5 ปีก็จะรู้ว่าการที่เราเรียนแค่เคมีเฉยๆ มันจะช่วยให้เราทำงานด้านเคมีได้นิดนึง แต่ว่าเวลาทำงานจริงๆ แล้วมันจะต้องรู้เรื่องธุรกิจด้วย เพื่อที่จะได้บริหาร จัดการ มองนวัตกรรมในอนาคตข้างหน้าได้.. ที่นี่เปิดโอกาสให้เราเรียนรู้เรื่องเคมีแบบเจาะลึก พร้อมสอนเราเรื่องการมองธุรกิจที่สามารถนำไปปรับใช้ได้จริงหลังเรียนจบ” เอิร์จ Polymer Science

แนะนำตัวให้เรารู้จักกันหน่อยค่ะ

เอิร์จนะคะ จบภาควิชาเคมี จากมหาวิทยาลัยมหิดล แล้วก็มาทำงานต่อที่ SCG 5 ปี แล้วทีนี้ก็ได้ทุนจาก SCG มาเรียนต่อที่ University of Warwick คอร์ส Polymer Science ภายใต้ WMG (Warwick Manufacturing Group) ค่ะ

การเตรียมตัว

ทำไมถึงเลือกเรียนคอร์สนี้

บริษัทที่เอิร์จทำงานเนี่ยผลิตพลาสติก ที่เอิร์จได้ดูจะเป็นพลาสติกเรียกว่า Polypropylene เอาไปทำรถยนต์ ทำถุงพลาสติกได้ คือจะทำยังไงให้เราเปลี่ยนถุงพลาสติกไปเป็นชิ้นส่วนในการทำรถยนต์ได้ มันเป็นอะไรที่ amazing มากๆ เลยเพราะว่าปกติชิ้นส่วนรถยนต์จะทำจากเหล็กหรือโลหะแล้วมันหนักมาก ซึ่งข้อดีคือปลอดภัย ชนแล้วไม่ตาย แต่ถ้าเราใช้แต่เหล็ก รถก็จะน้ำหนักเยอะมาก กินพลังงานเยอะ เลยเปลี่ยนมาใช้เป็นพลาสติกที่มีน้ำหนักเบากว่า แต่จะต้องทำยังไงให้พลาสติกมันแข็งแรงเทียบเท่ากับเหล็กได้ เค้าก็เลยส่งมาเรียนที่นี่เพื่อเรียนรู้และนำกลับไปพัฒนาต่อยอดได้

ซึ่ง University of Warwick ตอบโจทย์นี้ ตรง Warwick Manufacturing Group นี่แหละค่ะ ที่นี่เป็นการเรียนการสอนที่สามารถพัฒนาเด็กไปในภาคอุตสาหกรรมได้เยอะขึ้น ก็จะเห็นภาพจริง อาจารย์ก็จะมาจากอุตสาหกรรมเลย ความรู้ที่ได้ก็จะกลั่นกรองมาแล้วว่าสามารถนำไปทำงานได้ เพราะฉะนั้นที่นี่ก็จะมีอัตรารับเข้าทำงานเยอะมาก มี connection ด้วย แล้วก็เก่งในการสอนให้เด็กเข้าใจมากขึ้น ไม่ใช่แค่สอนเฉยๆ แต่ต้องทำงานได้ด้วย

บริการจาก Hands On

ตอนนั้นคิดว่าจะมาเรียนก็เลยหาข้อมูลแล้วก็ Google เลยค่ะ Hands On ขึ้นมาเป็นอันแรก เค้าบอกว่าดีมาก เอิร์จรู้สึกว่าพวกพี่ๆ Hands On ทำมานานใน Pantip ก็มีแต่คนแนะนำ Hands On ก็เลยคิดว่าคงต้องเป็น Hands On แหล่ะ แล้วพอมาปรึกษาก็มีความมืออาชีพจริงๆ นะ ช่วยเหลือตั้งแต่แรกจนจบ

คือต้องบอกก่อนว่าช่วงที่เตรียมตัวมาเรียนเอิร์จมีความยุ่งในระดับนึงคือปีสุดท้ายก่อนที่เอิร์จจะตัดสินใจมาเรียนต่อ เอิร์จทำงานจันทร์-ศุกร์ ตั้งแต่ 7:30-16:30 แล้วหลังจากนั้นเอิร์จก็สอนพิเศษด้วย จันทร์-อาทิตย์ คือทำงานมัน 7 วันเลย แล้วก็เขียนหนังสือ 2 เล่ม เพราะฉะนั้นมันก็จะยุ่งมาก ไม่มีเวลาอะไรเลย แล้วเราก็ไม่รู้ขั้นตอนด้วยว่าจะต้องเริ่มจากอะไรก่อน ซึ่งเอิร์จก็จะโทรไปหาพี่นุ้ยที่ Hands On ตลอดว่าต้องทำยังไงต่อ ต้องกรอกตรงไหน ซึ่งพี่เค้าก็จัดให้หมด มันก็เลยทำให้เราสบายใจขึ้นมากเลยในส่วนนี้

ตอนนี้ก็มีน้องๆ มาถามเอิร์จว่าจะเลือกเอเจนซีไหนดี ก็เชียร์ Hands On เพราะพี่ก็มากับ Hands On อ่ะ (ยิ้ม)

สนใจเรียนต่อ University of Warwick ลงทะเบียนเพื่อรับข้อมูลเรียนต่อและคำปรึกษาฟรี คลิก

Pre-sessional Course

เอิร์จคิดว่าควรเรียน Pre-sessional มาก เพราะว่าเหมือนเค้าออกแบบมาให้แล้วว่าเราจะไปเจออะไรบ้าง เช่น การเขียน reference, การเขียน academic writing มีอันนึงดีมากเลย เค้าจะให้เขียนงาน 3,000 คำ เกี่ยวกับสิ่งที่เราจะเรียน ซึ่งมันจะทำให้เรารู้ว่าเวลาเขียนงาน 3,000 คำเนี่ยเราจะทำเสร็จเมื่อไหร่ อย่างบางคนคิดว่า 3,000 คำมันนิดเดียวเดี๋ยวค่อยทำ ปรากฎว่าไม่เสร็จ คือไม่เสร็จก็คือไม่จบ ระดับภาษาของเราก็ไม่เท่ากัน การเล่าเรื่องของไทยก็จะไม่เหมือนกับฝรั่ง คือถ้าใครที่ไม่ได้เรียนมาจริงๆ จะฟุ้งซ่านมากจะผิดประเด็น เราก็จะเห็นแล้วว่างานเรา 3,000 คำมันจะเป็นยังไง เพราะตอนมาเรียนจริงๆ ไม่ว่าจะคอร์สเอิร์จหรือคอร์ส business มันจะต้องเขียนรายงานส่ง 3,000 คำเหมือนกัน นอกจากนี้ก็มีเรียน Presentation เค้าก็จะให้เราทำสไลด์ที่พูด 10 นาที เราก็จะเห็นตัวเราเองเหมือนกันว่าตอนเรามาพรีเซ้นท์งานจริงๆ มันดีหรือเปล่า เราพูดได้มั้ย ซึ่งเอิร์จไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเราพูดบางคำไม่ได้ แล้วเราติดสำเนียงไทยขนาดไหน และที่สำคัญคือตอนเรียน Pre-sessional เค้าจะพาเราไปเที่ยวด้วยทุกๆ เสาร์ ก็มีได้ไปบ้าน Shakespeare, Cambridge ไปหลายที่มากๆ เลย

บรรยากาศช่วงเรียน Pre-sessional

ตอนเรียนพรีเนี่ยนึกว่าไม่ใช่มหาวิทยาลัยอังกฤษ เพราะจะเจอคนจีนพูดภาษาจีนกันเยอะมาก จนนึกว่าเป็นมหาวิทยาลัยจีนเลยตอนแรก เวลาเรียนพรีเค้าจะเรียน 6 weeks กับ 10 weeks แล้วแต่เลยนะ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ IELTS คือใครอยากเรียนนานๆ ก็เลือกมาเรียนได้ ทีนี้ตอนที่เอิร์จมาเรียนเค้าก็จะจัดสาย art อยู่ด้วยกัน จัดสาย business อยู่ด้วยกัน เพื่อที่จะได้คุยกันรู้เรื่อง แล้วของเอิร์จก็อยู่สายวิทย์ซึ่งมีทั้งหมด 12 คน มีคนไทย 1 คน นอกนั้นเป็นคนจีนหมดเลย อันนั้นก็จะมันส์มากจริงๆ เพราะเค้าจะพูดภาษาจีนกันตลอด แต่ข้อดีคือพวกเค้าเฟรนลี่มาก

Polymer Science

คอร์ส Polymer ก็จะมีด้วยกัน 2 แบบ แบบแรกคือ Polymer chemistry ก็เคมีเลย แล้วก็มีที่เอิร์จเรียนคือ Polymer science จะเรียน Polymer ด้วย และเรียน Business ด้วย

เอิร์จทำงานมาแล้ว 5 ปีก็จะรู้ว่าการที่เราเรียนแค่เคมีเฉยๆ มันจะช่วยให้เราทำงานด้านเคมีได้นิดนึง แต่ว่าเวลาทำงานจริงๆ แล้วมันจะต้องรู้เรื่องธุรกิจด้วย เพื่อที่จะได้บริหาร จัดการ มองนวัตกรรมในอนาคตข้างหน้าได้ เพราะฉะนั้นคอร์สนี้ก็จะมีตัวเลือกให้เอิร์จเลือกเรียน 2 วิชาที่เกี่ยวกับธุรกิจ เอิร์จก็จะเลือกวิชาที่เรียกว่า Business model generation คือการคิดธุรกิจขึ้นมา ส่วนอีกอันนึงก็คือ Establishing a New Business อันนี้จะทำนายคู่แข่งด้วย คล้ายๆ กับเรียน Business จริงๆ เลย เรียน 2 วิชานี้คู่กับเคมีก็จะเห็นภาพกว้างขึ้น

รูปแบบการเรียนการสอน

เอิร์จว่าถ้าเทียบกับที่ไทย เราจะพยายามทำให้เด็กเป็น child center ให้ได้ ให้เด็กเรียนรู้เอง แต่เวลาเราทำให้เด็กไทยเรียนรู้เอง เด็กก็จะงง แต่ที่นี่มันจะมีหลายวิชาเลยแหล่ะ เช่น Polymer in the Real World มันก็จะมีให้ไปฟังสัมมนาทุกๆ อาทิตย์ โดยเค้าจะพูดอะไรก็ได้เกี่ยวกับโพลิเมอร์ขึ้นมา เช่น ฉันทำโฟมนะ ทำให้รถมันเบาขึ้นได้ หรือว่าทำยานะ เราเรียนโพลิเมอร์มาก็จริงแต่เราไม่ได้มี background เกี่ยวกับพวกยาหรือโฟมมาก่อนในชีวิต แต่พอเค้าพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาปุ๊ป อาจารย์ก็จะสั่งให้เขียนรายงาน 300 คำ แบบ academic reference ภายใน 24 ชั่วโมง เราก็ต้องไปหา journal มาแล้วก็อ่านๆๆ ให้เข้าใจแล้วมาสรุปให้มันเชื่อมโยงกันว่าอันนี้มันดีกว่ายังไง อันนี้มันไม่ดียังไง ให้วิจารณ์เรื่องนั้นออกมาให้ได้ ตอนแรกรู้สึกมันยากมากเลย 300 คำเองดูกระจอกแต่จริงๆ แล้วมันต้องรู้เรื่องโฟมด้วยอ่ะ แล้วเราไม่เคยขึ้นรูปโฟมมาก่อนเลย มันก็เลยทำให้เราได้เรียนรู้เองจริงๆ ด้วยเวลาที่สั้นและต้องวิจารณ์ให้ได้ มันก็ทำให้เราได้เรียนรู้เร็วขึ้น เขียนเก่งขึ้น แล้วก็รู้หลายเรื่องขึ้น

บรรยากาศในห้องเรียน

ดีค่ะ ก็คอยช่วยเหลือกันมาก ตอนแรกเอิร์จเข้าใจว่าจะเป็นบรรยากาศของการแข่งขันมาก แต่จริงๆ คือมาคอย support กันตลอด ให้กำลังใจกัน แชร์เรื่องราวกัน ช่วยกันติวด้วย ซึ่งเราไม่เคยคิดว่าจะมีเลย คิดว่าจะแข่งขัน ฆ่าฟันกัน

อีกอย่างคือตอนแรกเอิร์จคิดว่ามาเรียนที่นี่เราจะเจอคนที่ทำธุรกิจมาแล้ว หรือทำงานมากกว่า 3 ปีมาแล้วถึงมาเรียนที่นี่ได้ เพราะว่าจะได้มีอะไรมาแลกเปลี่ยนกัน แต่พอมาเรียนปุ๊ปก็เจอน้องๆ ที่เพิ่งจบมา อายุ 22 แล้วเค้าก็มาเรียน ข้อดีคือความรู้เค้าจะเฟรชมาก แน่นมาก ในขณะที่เราลืมหมดแล้วจ้าาา (หัวเราะ)

สนใจเรียนต่อ University of Warwick ลงทะเบียนเพื่อรับข้อมูลเรียนต่อและคำปรึกษาฟรี คลิก

University of Warwick

สำหรับมหาวิทยาลัย Warwick นะคะ ก็ติด Top 10 ใน UK เลย แล้วก็ยังเป็นอันดับต้นๆ ของโลกด้วย คือสำหรับเอิร์จนะ ที่มหาวิทยาลัยนี้คือมีครบจริงๆ

อย่างคอร์สเรียนที่เปิดสอนก็มีเยอะมากๆ คอร์สหลักๆ ของมหาวิทยาลัยนี้นะคะ มีตั้งแต่ Art, Social Science แล้วก็ที่รู้จักกัน ก็ Warwick Business School

แล้วก็จะมีคอร์สที่อยู่ภายใต้ WMG หรือ Warwick Manufacturing Group แล้วอาจารย์ที่เค้ามาสอนเรา คือก็เป็นคนที่มีประสบการณ์ทำงานแล้ว มันทำให้เรารู้ลึกจริงๆ

Facilities ของมหาวิทยาลัยเป็นยังไงบ้าง

อลังการ ห้อง lab อย่างที่เราเรียนตอนที่ไทย เช่น dropper จะต้องล้างแล้วใช้ใหม่ แต่ที่นี่ใช้แค่หยดเดียวก็ทิ้งเลยจ้า ดูไฮโซมาก แล้วก็มี Hood คือที่ใส่สารเคมี เค้าก็ให้คนละ Hood เลย ถ้าที่ไทยก็กลุ่มนึง Hood นึง แต่ที่นี่ให้คนละ Hood เลย ก็ทั่วถึงมาก ทำเป็นแน่นอนค่ะ Facilities ครบครัน ห้องเรียนก็โอเค คือที่นี่เค้าจะไม่ใช้คำว่าห้อง lecture เค้าจะใช้เป็น theatre room คือจอก็อลังการ เสียงก็จะดี

Warwick Manufacturing Group

ที่นี่เค้าเคลมว่าเป็น Heart of British เพราะรัฐบาลพยายามสร้างนวัตกรรมภายในอังกฤษ โดยใช้ WMG นี่แหล่ะเป็นตัวช่วยโค้ชคุณให้ธุรกิจมันสำเร็จ เพราะฉะนั้นถ้าเรามาเรียนอังกฤษทั้งที เราก็ต้องพยายามมามีส่วนร่วมในพวกนี้ให้ได้ จะได้รู้ว่าเค้าทำงานจริงๆ กันยังไง ไม่ใช่จบไปปุ๊ปแล้วได้แค่ทฤษฎี ถ้ามาเรียน Warwick กลับไปปุ๊ปก็จะเห็นภาพการทำงานมากขึ้น แล้วก็เป็น professional มากขึ้น

Living in the UK

ปรับตัวเยอะมาก! คือต้องบอกก่อนว่าเอิร์จไม่เคยมาต่างประเทศเลย ไม่เคยออกนอกประเทศเลย พอโบกมือบ๊ายบายพ่อกับแม่ที่สนามบิน เรื่องสนุกก็เกินขึ้นทันที (หัวเราะ)

ยกตัวอย่างเลย เราไม่รู้ว่าเราต้องรีบต่อคิวตรวจ ตม. มัวแต่ถ่ายรูปๆๆ เดินเล่น สักพักเห็นคนรีบๆ กัน เดินตามมาถึงรู้ว่าเค้ามารอคิวนะ อะไรแบบนี้ เวลาเรายังไม่เคยคิดเลยว่ามันต่างกันกับที่ไทย (หัวเราะ) เรื่องอากาศ หรืออาหารการกินก็ต้องปรับเยอะมาก เราเป็นคนขี้หนาวขึ้นเดินผ่านตู้เย็นแล้วหนาว มาถึงที่อังกฤษก็ไม่รู้ว่าต้องซื้อเสื้อผ้าแบบไหนกันหนาว หรือเรื่องที่พีคที่สุดคือเรื่องอาหาร!

ต้องเล่าเลยว่าวันแรกที่มาแล้วเค้าจัดอาหารไว้ให้ มันจะเป็นอาหารเหมือนขนมปังสับๆๆ ไว้ให้ แล้วก็จะมีแฮมแผ่นๆ ที่เค้าเปิดมาจากกล่อง มีผลไม้ มีแยมอะไรแบบนี้ไว้ให้ เพื่อนก็หันมาบอกเราว่ากินอันนี้สิ อร่อยนะ เราก็รู้สึกว่ามันยังไม่ได้ล้างป่าววะ ผักก็เพิ่งเปิดมาจากกล่องเลยอ่ะ แฮมก็สีแดงๆ เราก็ไม่เคยกิน ตอนแรกคิดว่าตัวเองเป็นคนง่ายๆ มากเลยนะแบบว่ากินอะไรก็ได้ แต่พอกินไปคำแรกแล้วแบบจะร้องไห้ คือมันเย็นๆ แล้วรสชาติก็ประหลาดๆ น้ำตาจะไหลคิดถึงบ้านมาก คือวันนั้นก็กินอะไรไม่ได้เลยนอกจากขนมปังกับเนย ดูคุณหนูมากเลยเนอะ (หัวเราะ) แต่หลังๆ นี่ก็กินทุกอย่างจ้าาา

นักเรียนไทยใน University of Warwick

ประมาณ 100 คนนะ ส่วนใหญ่เรียน business กับ WMG เยอะ ก็รักใคร่กลมเกรียว คนบ้านเดียวกันแค่มองตากันก็เข้าใจอยู่ แบบว่าเพลงนี้เลย ยิ่งแรกๆ เอิร์จเป็นคนที่ไม่เคยมาต่างประเทศก็เลยจะไม่รู้ว่าต้องซื้อเสื้อกันหนาวประมาณไหนอย่างที่บอกไปเมื่อกี้ ก็เลยไปซื้อมาตัวนึงแบบธรรมดา 40 ปอนด์ แล้วคือมันไม่อุ่นเลย พี่ที่นี่ก็แนะนำว่าต้องซื้อแบบนี้ ประมาณนี้ๆ เราก็เลยไม่ตาย (ยิ้ม)

อยากฝากอะไรถึงน้องๆ ที่อยากมาเรียนต่อที่อังกฤษบ้าง

เดินไปหา Hands On เลยค่ะ (หัวเราะ) คือเอิร์จเคยไปพูดให้เด็กที่โรงเรียนนึงฟังประมาณ 700 คน แล้วเอิร์จก็แจก post it ให้เด็กทุกคนเขียนคำถามที่อยากให้เอิร์จตอบมาคนละ 1 คำถาม ซึ่งคำถามเหมือนกันหมดเลยเกือบ 500 แผ่นคือ ไม่รู้จะทำอาชีพอะไร ไม่รู้จะเรียนต่ออะไรในอนาคต ซึ่งอันนี้มันเป็นจุดอ่อนของประเทศเรามากเลย เลยอยากจะฝากให้ค่อยๆ คิด ค่อยๆ หาตัวเอง ทำอะไรหลายๆ อย่าง จนตกผลึกว่าเราอยากทำอะไรจริงๆ แล้วถ้าอยากมาเรียนต่อต่างประเทศก็ไม่ต้องไปที่ไหนค่ะ เอาจริงๆ ก็เข้ามาหา Hands On พี่ๆ เค้าก็จะคอยแนะนำเรา

สนใจเรียนต่อ University of Warwick ลงทะเบียนเพื่อรับข้อมูลเรียนต่อและคำปรึกษาจากพี่ๆ Hands On ตัวแทนมหาวิทยาลัยอย่างเป็นทางการประจำประเทศไทย คลิก