บทสัมภาษณ์คุณหมอโน๊ต กับการรีวิวสาขา Clinical Neuroscience นักเรียนเอเชียคนเดียวที่ King’s College London
วันนี้เราอยู่ที่ King’s College London กับพี่หมอโน้ต แนะนำตัวนิดนึงเรียนสาขาอะไรคะ
หมอโน้ต: เรียกพี่โน้ตก็ได้นะคะ ชื่อคอร์สจริงๆ คือ Clinical Neuroscience ที่ King’s College London แปลเป็นไทยว่าวิทยาศาตร์สมองทางคลีนิค คือเรียนวิทยาศาตร์เกี่ยวกับสมองและระบบประสาทที่นำมาใช้ทางการแพทย์
(หมายเหตุ: Neuroscience มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการคือ ประสาทวิทยาศาสตร์)
Denmark Hill Campus เป็นแคมปัสหลัก เรียนที่นี่ 99.99% เป็นแคมปัสเกี่ยวกับทางการแพทย์ การแพทย์จริงๆ จะมี 3 แคมปัส แต่ที่นี่จะมีชื่อย่อของคณะ เรียกว่า IOPPN ย่อมาจาก Institute of Psychiatry, Psychology & Neuroscience ก็คือเกี่ยวข้องกับจิตเวช, จิตวิทยาและวิทยาศาสตร์สมอง
3 สาขานี้ต่างกันหรือเชื่อมโยงกันยังไง
หมอโน้ต: จริงๆ ก็คือ 3 สาขาเกี่ยวกับสุขภาพจิต คือ จิตเวช จิตวิทยาและวิทยาศาสตร์สมอง Neuroscience คนส่วนใหญ่ที่สนใจมาเรียนที่นี่คือสนใจเกี่ยวกับสุขภาพจิต อาจจะเป็นแพทย์เฉพาะทางที่สนใจด้านสุขภาพจิตและจิตเวช เป็นนักจิตวิทยา ทำคลินิกก็ได้หรือทำวิจัยก็ได้ สุดท้ายคือวิทยาศาสตร์สมอง อาจจะเป็นคนทำงานด้านคลินิก เช่น เป็นนักสรีรวิทยาหรือคนที่ทำงานด้านการแพทย์ที่สนใจวิทยาศาสตร์สมองก็มาเรียนได้
What is Clinical Neuroscience?
รีวิวหลักสูตรให้เราฟังหน่อยค่ะว่าหลักๆ แล้วเรียนเกี่ยวกับอะไร
หมอโน้ต: หลักๆ คือเรียนเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ตั้งแต่ระดับเล็กไปใหญ่ ตั้งแต่ระดับโมเลกุล เซลล์ อวัยวะ ระบบร่างกาย ตัวคนทั้งคน รวมไปถึงการสื่อสารเชื่อมโยงระหว่างสมองและส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ตัวคอร์สจริงๆ ค่อนข้างเรียนหนัก แต่ความรู้ที่ได้มาก็คุ้มค่า เพราะที่นี่มีชื่อเสียงด้านจิตเวช จิตวิทยาและวิทยาศาสตร์สมองเป็นอันดับต้นๆ ของอังกฤษเลย จำนวนนักเรียนในคลาสก็ไม่เยอะมีแค่ 24 คน เมื่อเทียบกับอีกคอร์สที่ใกล้เคียงกันแต่เน้นทางด้านวิทยาศาสตร์มากหน่อยคือ Neuroscience จะมีประมาณ 80-100 คนต่อคลาส
เรียกได้ว่าของพี่หมอโน้ตจะเฉพาะทางมากกว่า?
หมอโน้ต: ใช่ค่ะ จะเน้นทางด้านคลินิก เป็นการแพทย์ที่ประยุกต์ใช้กับตัวคน ส่วนอีกคอร์สหนึ่งจะ general กว่าคือเป็นวิทยาศาสตร์สมองทั่วไป ใครสนใจมาเรียนก็เน้นเรื่องการทำแล็ป การทำแล็ปในสัตว์ทดลอง และการทำแล็ปแบบ Noninvasive เป็นการทดลองที่ไม่ทำให้คนบาดเจ็บ เช่น การศึกษาคลื่นไฟฟ้าสมอง เป็นต้น ส่วน Clinical Neuroscience จะเน้นที่ตัวบุคคลก็ต่างกันนิดหนึ่ง
Preparation
เรื่องการเตรียมตัวก่อนที่พี่หมอจะมาเรียน ใช้เวลาเตรียมตัว หาคอร์สเรียนหรือเลือกมหาวิทยาลัยอย่างไร?
หมอโน้ต : timeline 2 ปี ในปัจจุบันการเตรียมตัวอาจจะสั้นกว่านี้ ทีนี้ถามว่าทำไมต้อง 2 ปี ก็คือ หนึ่งเคลียร์ภาระงาน เลือกคอร์สที่สนใจ พูดง่ายๆว่าเตรียมตัวสี่ด้าน หนึ่งเลือกคอร์สที่สนใจ สองหาแหล่งทุน ว่าจะเป็น ทุนตัวเอง ทุนจากที่บ้าน หรือทุนจากที่ไหน และอันที่สาม คือ เคลียภาระงาน สี่ เตรียมตัวเรื่องภาษา
ด้านไหนที่พี่หมอคิดว่ายากที่สุด
หมอโน้ต: เรื่องแรงบันดาลใจ ต้องมี passion ก่อน อย่างน้อยในช่วงเวลาสั้นๆเราควรได้เรียนสิ่งที่ตรงใจเรา เพราะฉะนั้นเราจึงต้องหาข้อมูลก่อน จริงๆปัจจุบันก็มีแหล่งข้อมูลเยอะแยะ ทั้งทาง Website , Agency ,นิทรรศการด้านการศึกษามีส่วนช่วยเราได้เยอะ ก็ไปหาข้อมูลดูว่า มหาลัยที่เราสนใจ มีคณะที่เราอยากเรียนไหม มีคอร์สเนื้อหาเป็นยังไง อันนี้สำคัญนะคะ เพราะบางคนอาจจะเลือกเฉพาะว่าเรียนคณะนี้แต่มันมี major ไม่เหมือนกัน อันที่สองก็มาดูว่า ถ้าเราเลือกคอร์สได้ อาจจะต้องส่งแบบไปว่าขอความจำนงค์ ว่าเราอยากจะสมัครที่นี่ ส่งใบสมัครไป อย่าไปกลัวว่าได้ไม่ได้ สมัครไปก่อน แล้วก็เตรียมตัวด้านภาษาด้วย
พี่หมอโน้ตได้ทุน กพ. มามี candidate เยอะไหมคะ?
หมอโน้ต: ก็มีเยอะพอสมควร ไม่มากไม่น้อยแต่ถือว่าเค้าให้โอกาสเรา ตรงนี้ก็มีช่องทางจากทุน กพ. และช่องที่อื่นๆ ของทางรัฐบาล ถ้าใครที่สนใจก็มีข้อมูลในเว็บไซต์เยอะแยะเลย ทุนของรัฐบาลเนี่ย นอกจากข้าราชการแล้วบุคคลทั่วไปก็สามารถสมัครขอทุนได้ด้วยนะคะ
อีกสองเรื่องคือเรื่องการเคลียส่วนตัว และ การทำงาน เรื่องของการเรียน บางคนเรียนจบยังไม่รับปริญญาก็มาเรียนต่อแล้ว ก็คือเคลียเรื่องส่วนตัวที่บ้านให้เรียบร้อย และเรื่องสุดท้ายคือเรื่องภาษาอันนี้ก็สำคัญ สำหรับคนที่ไม่มั่นใจ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่เหมือนกัน
English Course
King’s College มีสอนภาษา support นักเรียนอย่างไรบ้าง
หมอโน้ต : ก็มีทั้งสองรูปแบบเลย รูปแบบแรกคือถ้าเราพื้นฐานดีอยู่แล้วก็จะมี in-session ก็คือเราเรียนไปด้วย แล้วจะมีคอร์สภาษาอังกฤษฟรี สำหรับคนที่มาเรียน ปริญญาโท ปริญญาเอก ก็ให้เข้ามาเรียนฟรี
การเตรียมภาษาอย่างที่สองก็มี pre-sessional ก็คือเตรียมตัวก่อนมาเรียน ขึ้นอยู่กับคะแนน IELTS ของแต่ละคณะ
Course ภาษาอังกฤษที่นี่ก็ค่อนข้างดีนะคะ คือมันจะไม่เหมือน Course ภาษาอังกฤษที่เราไปเรียนที่เมืองไทย เขาจะสอนรูปแบบในการ Criticize ต่างๆ ไม่ใช่ว่าเรารู้แค่คำศัพท์ รู้ Structure การสอบ IELTS แล้วจบ มันไม่เหมือนกันเลย จริงๆแล้ว
When in King’s
แล้วก็ชีวิตนักเรียนอังกฤษแตกต่างกับชีวิตนักเรียนไทยยังไงบ้างคะ?
หมอโน้ต: ค่อนข้างแตกต่างพอสมควรนะคะเพราะว่า วัฒนธรรมของคนที่นี่ การสื่อสาร หรือว่าบรรยากาศการเรียนค่อนข้างแตกต่าง เราต้องอัตตาหินะคะ คือว่าต้องดูแลหรือว่าช่วยเหลือตัวเองในการเรียน ก็คือเราต้องค่อนข้าง assertive ในการที่หาข้อมูลหรือว่าเรียนรู้ สงสัยก็ให้ถาม
แล้วก็ประสบการณ์ในเรื่องของการทำงานกับเพื่อนชาวต่างชาติ เพราะว่าในคอร์สเนี่ยเราเป็นคนเอเชียคนเดียวไงคะ ก็จะมีเพื่อนชาวต่างชาติที่เป็นคนยุโรปหมดเลย เค้ามีพื้นฐานการใช้ภาษาอังกฤษอยู่แล้วค่ะ ก็อาจจะเกร็งๆ ช่วงแรก ซักพักนึงเราก็จะชินไปเอง
เรื่อง assignment หรือว่ากิจกรรมต่างๆ ในห้องล่ะคะ พี่หมอต้องทำอะไรบ้าง
หมอโน้ต: จริงๆ ขึ้นอยู่กับสาขาที่เรียนนะคะ อันนี้เน้นทางด้านวิทยาศาสตร์ จริงๆ ก็ไม่ได้เป็นสาขาแพทย์โดยตรงแต่แพทย์สามารถมาเรียนได้นะคะ คนส่วนใหญ่ที่เรียนประมาณเกินครึ่งก็เป็นหมอนี่แหละ
หนึ่งก็คือเล็คเชอร์ สองก็คือเน้นเรื่องของการทำ seminar คือไปอ่านเตรียมตัวข้อมูลมาแล้วก็มา discuss กับเพื่อนทำงานกลุ่มอะไรอย่างงี้ค่ะเป็นหลัก แล้วก็ assignment ส่วนใหญ่ก็จะเน้นเรื่องของการ present แล้วก็ส่ง essay part ที่สามก็คือการสอบ ก็คือมีทั้งสามอย่างเลย มีทั้งข้อเขียน essay ทำงานกลุ่ม presentation ครบทุกอย่างค่ะ
(*สาขาแพทย์อื่นๆ ก็อาจจะต้องมีการอยู่เวรด้วยเหมือนกันนะคะ อย่างเช่นกุมารแพทย์หรืออะไรอย่างงี้ค่ะ เป็นเพื่อนที่รู้จัก เค้าก็ต้องอยู่เวร หรือว่าบางสาขาแผนก เช่นแผนกผิวหนังก็ต้องมีการทำแล็บ อยู่ในห้องแล็บนะคะ มีการเพาะเลี้ยงเซลล์ประมาณนี้แล้วแต่สาขาค่ะ)
มีวิชาไหนที่พี่โน้ตแบบประทับใจหรือว่าชอบเรียนมากที่สุดคะ
หมอโน้ต: จริงๆ ก็คือมีหลายวิชานะคะ แต่วิชาที่ประทับใจมากๆ คือวิชาเนื้อหาเกี่ยวกับ neuro psychiatry เพราะส่วนตัวแล้วเราจบทางด้านเฉพาะทางทางด้านจิตเวชมาแล้ว เพราะงั้นเนี่ยการ combine ในเรื่องของวิทยาศาสตร์ บวกกับทางด้านจิตเวชมันทำให้เราเข้าใจเนื้อหาที่ลึกซึ้งมาก
เล่าถึงอาจารย์ในห้องบ้าง โหดมั้ยคะ
หมอโน้ต: อาจารย์โหดมั้ย ก็ไม่ค่อยนะคะ จะโหดไม่โหดเดี๋ยวดูตอนคะแนนอีกทีค่ะ ก็โดยส่วนใหญ่ก็แล้วแต่นะคะ แต่ว่าดูส่วนใหญ่ทุกคนเนี่ย อาจารย์ที่มาสอนเป็น Professor เนี่ยเค้า willing ตั้งใจที่จะมาสอนแล้วก็ เหมือนถ้านักเรียนมีคำถามอะไรก็ยินดีที่จะตอบค่ะ อันนี้ถือว่าเป็นจุดดี แล้วก็อาจารย์ค่อนข้างที่จะตอบเมลเร็วนะคะ
Other activities
เรียนหนักขนาดนี้ มีกิจกรรมอื่นๆ นอกห้องเรียนอีกมั้ยคะ
หมอโน้ต: มีนะคะ ถ้าเราเรียนอย่างเดียวก็คงจะไม่ไหวนะคะ จริงๆ ก็คือเป็นคนชอบกีฬา extreme แล้วก็ชอบไปเที่ยวที่ธรรมชาตินะคะ โอกาสก็เที่ยวน้อยนะคะจริงๆ แล้วถ้าเทียบกับเพื่อนๆ ที่รู้สึกว่าเรียนในสาขาอื่นๆ ก็อาจจะสบายกว่า แต่ว่าเราก็อย่าน้อยเนื้อต่ำใจค่ะ เวลาเรามีว่างเมื่อไหร่เรา planning ทุกอย่าง ไม่ว่าจะทำอะไรนะคะถ้า planning ก่อนมีชัยไปกว่าครึ่ง
ประสบการณ์ส่วนตัวก็คือช่วงคริสต์มาสนี่แหละเป็นช่วงที่แฮปปี้มาก เพราะไปเที่ยว เช่ารถขับแล้วไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ต่างจังหวัดอะไรอย่างงี้ค่ะในอังกฤษ ก็สวยงามมาก
ที่จะชอบด้วยก็คือชอบไป museum เพราะว่าจริงๆ ที่อังกฤษเนี่ย museum ดี บางที่เข้าฟรี บางที่เสียเงิน แต่เค้าเรียกว่า สถานที่หลายๆ ที่เนี่ยบอกทั้งเรื่องของประวัติศาสตร์นะคะ แล้วก็มีเทคโนโลยีด้วยน่าสนใจ แล้วก็มีเรื่องของ art ด้วยค่ะ
แนะนำ museum ที่แบบประทับใจมากๆ ให้เราฟังหน่อยค่ะ
หมอโน้ต: ไปหลายรอบคือ British museum นะคะ เพราะว่ามันจะมีเปลี่ยนกิจกรรมอยู่บ่อยๆ แล้วก็สิ่งที่มาแสดงเนี่ยเปลี่ยนอยู่เรื่อยๆ นะคะ แล้วก็ Victoria&Albert museum ก็ชอบมากๆ ใช่ค่ะก็คือ มีศิลปะนะคะ มีภาพถ่ายบางอย่างที่มีเรื่องราว แล้วก็มี audio ออนไลน์ให้เราสามารถฟังไปด้วยแล้วก็ไปดูภาพไปด้วย ซึ่งฟรีด้วยนะคะ
ค่าครองชีพ เรียนในลอนดอนเป็นยังไงบ้างคะ แพงมากมั้ยคะ การกินอยู่
หมอโน้ต: ถ้าเอาแบบจริงๆ เลย ในลอนดอนเมื่อเทียบกับ part อื่นๆ ในอังกฤษ แพงค่ะ แน่นอน ถูกต้อง แพงชัดเจน เพราะงั้นเนี่ย จริงๆ เราก็ควรจะ manage นะคะ ขึ้นอยู่กับ budget เราด้วยนะคะ คืออาหารที่เนี่ยถ้าเกิดเรียนในมหาลัยไม่ค่อยแพงนะคะ อยู่ที่ประมาณ 4-5 ปอนด์ แต่ถ้าไปกินร้านอาหารข้างนอกที่เป็นร้านที่แบบ local ไม่ได้แพงมากก็จะอยู่ที่ 5-10 ปอนด์ แต่วันไหนงานฉลองพิเศษหน่อยๆ ก็ต้องเยอะขึ้น
What you got from King’s College London
สิ่งที่ประทับใจที่สุดกับการเป็นนักเรียนของมหาวิทยาลัย King’s College London คืออะไรคะ
หมอโน้ต: หืม ตอบยากนะคะ จริงๆ ประทับใจอยู่สองเรื่องเลย หนึ่งก็คือได้เรียนรู้วัฒนธรรมของที่นี่ คิดว่ามันก็คุ้มค่านะคะ คือได้เรียนรู้แนวคิดวิธีคิดน่ะค่ะ คนที่เค้าคิดไม่เหมือนเรา มันทำให้เราเหมือนเราเปิดโลกทัศน์นะคะ อันที่สองก็คือเรื่องของมิตรภาพกับเพื่อน คือเราอาจจะรู้สึกว่า เอ๊ะเราเป็นคนเอเชีย หรือว่าคนอื่นเค้าไม่น่าจะมา make friends กับเรา จริงๆ ก็เจอมิตรภาพที่ดีนะคะ คือให้ความช่วยเหลือกัน ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีที่คิดว่าไม่น่าจะลืมนะคะในสองเรื่องนี้
เป็นช่วงสั้นที่อยากให้คนมาเก็บเกี่ยวประสบการณ์หลายๆ ด้านนอกเหนือจากการเรียนด้วยค่ะ
หลังจากเรียนจบคอร์สนี้ พี่หมอโน้ตมีการวางแผนอนาคตตัวเองไว้ว่ายังไงบ้างคะ
หมอโน้ต: เราได้รับทุนมาให้กลับไปชดใช้ทุนนะคะ ซึ่งจริงๆ เราก็อยากจะกลับเมืองไทยอยู่แล้วนะคะ ไปทำงานในเรื่องของด้านวิชาการ ก็คือทำงานสอน แล้วก็ทำงานวิจัย แล้วก็ทำงาน เค้าเรียกว่าให้บริการด้วย ก็คือทำงานตรวจรักษาผู้ป่วยด้วย ก็คือทำงานสามด้าน
คำถามสุดท้าย พี่หมอโน้ตมี Thank you message ที่แบบจะส่งไปถึงใครเป็นพิเศษมั้ยคะ
หมอโน้ต: จริงๆ หลายๆ คนมากเลยนะ แต่เป็นพิเศษก็อาจจะ เป็นหน่วยงานเป็นองค์กรละกันนะคะ ก็คือขอบคุณที่ทำงานนะคะแล้วก็ กพ ที่ให้โอกาสเราได้เปิดโลกทัศน์ แล้วก็ส่งเสริมให้เราได้มาเรียนรู้และใช้ประโยชน์จากความรู้ที่เรามีสู่ประชาชนหรือคนอื่นๆ ที่ได้รับประโยชน์จากการเรียนรู้ครั้งนี้ คือความรู้ไม่ได้อยู่แค่ตัวเรา เราสามารถเอาไปดูแลคนไข้หรือว่าไปทำงานวิชาการให้กับประเทศไทยได้นะคะ
อีกส่วนนึงก็ต้องขอบคุณ Hands On ด้วยเพราะว่าจริงๆ เราก็ ถ้าถามตรงๆ เนี่ยเราก็สมัครเองด้วยนะคะ personal ก็คือมีหลายที่รับ แต่เผอิญเราก็เปลี่ยนใจเพราะว่าได้ของ Hands On แล้วก็อยู่ในวินาทีสุดท้าย ภายในสามวันสุดท้ายที่เปลี่ยนใจเลย นั่งแบบ นั่งหนักใจอยู่นะคะว่าจะเปลี่ยนมหาลัยดีมั้ย เค้ารับเราหลายที่แล้ว ก็ถือว่า Hands On ก็ เรียกว่าเป็นพี่เลี้ยงที่ดีให้เรานะคะ ก็คือในการที่หาข้อมูล ช่วย support เรา เราหายไปก็มาตามเราว่ายังมีชีวิตอยู่มั้ย มาสมัครเร็ว เค้าตอบรับแล้วนะ อะไรอย่างงี้ค่ะ ทำให้เราได้สถานศึกษาที่ตรงใจเรามากที่สุด ใช่ค่ะ
วันนี้ต้องถือว่า Hands On มาล้วงลึกประสบการณ์การเรียนต่อของคุณหมอโน๊ตแบบ exclusive มากๆ ขอบคุณนะคะ 🙂
สนใจเรียนต่อ King’s College London สามารถปรึกษาพี่ๆ Hands On ได้ทุกสาขา โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น