แนะนำตัวให้เรารู้จักหน่อยค่ะ
Mooktarn: หนูชื่อมุกค่ะ มุกตาล เรียนคอร์ส General English เป็นเวลา 6 เดือน แล้วก็ต่อด้วย EAP อีก 3 เดือน กับ Greenwich English College ที่เมลเบิร์นค่ะ
Dorn: ผมชื่อดอนครับ เรียนคลาส FCE หรือว่า First Certificate in English เรียน 6 เดือน แล้วก็ไปเรียน EAP อีก 3 เดือน กับ Greenwich English College ที่เมลเบิร์นครับ
Q: เล่าให้ฟังหน่อยได้มั้ยคะว่าทำไมถึงเรียนคอร์สภาษาอังกฤษนี้ หรือมีแพลนเรียนภาษาเพื่อต่อยอด?
Mooktarn: ถ้าสำหรับหนู หนูเลือกเรียน General English ที่ออสเตรเลียเพราะว่า ตอนที่เราเรียนภาษาอังกฤษอยู่ที่ไทย มันก็เรียนมาตั้งแต่เด็ก มันก็ได้ความรู้แหละพอประมาณ แต่ว่าเราไม่ได้ใช้ในการพูดประจำวัน ทีนี้ General English ที่ออสเตรเลียเนี่ย มันตอบโจทย์เรามากกว่า เพราะเขาจะสอนพวก grammar บ้าง พูดบ้าง แล้วก็เรื่องการเขียนอะไรแบบนี้ เพื่อปูให้พื้นฐานเราแน่น เพื่อที่จะเรียนต่อ หรือว่าจะไปสาย Diploma ก็ได้
Dorn: ส่วนผมก็ จริง ๆ แล้วเป้าหมาย คือจะมาต่อโทครับ มาต่อปริญญาโทที่นี่ แต่ว่าพอสอบไปปุ๊บ คะแนนมันยังไม่ถึง ก็เลยมาเรียนที่คอร์สนี้ พี่ Hands On เค้าก็เลยเสนอให้เรียน FCE (First Certificate in English) เพราะว่ามันจะเจาะลึกลงไปในเรื่องของข้อสอบ มีให้ทำข้อสอบทุกสัปดาห์เพื่อให้เราคุ้นชินว่าการสอบจะเป็นประมาณไหน อะไรแบบนี้ครับ แล้วก็ข้อดีก็คือถ้าเกิดว่าคุณทำคะแนนได้ดีในคอร์ส แล้วเราอยากเข้ามหาวิทยาลัยที่นี่ เราก็ติดต่อไปหาอาจารย์ของสถาบันหรือมหาวิทยาลัยที่เราอยากสมัคร ถ้าเกิดว่าเขา approve ว่าผ่าน เราก็ไม่ต้องสอบอีก ก็คือเข้ามหาวิยาลัยได้เลยครับ อันนี้ก็คือข้อดีของ FCE ครับ คอร์สมันก็จะเรียนค่อนข้างจริงจัง หนักไปทางพวกข้อสอบ ถ้าเกิดอยากต่อปริญญาโทก็แนะนำคอร์สนี้เลยครับ
Q: ทำไมทั้งสองคนถึงเลือกเรียนที่ Melbourne, Australia คะ?
Mooktarn: ที่เลือกเรียนที่ Melbourne เพราะว่า รู้สึกว่า Melbourne มันตื่นตาตื่นใจดีค่ะ แบบว่าพวกร้านอาหาร คาเฟ่มันเยอะมาก แล้วก็ คือเราก็เป็นสาย hopping ประมาณนั้น ส่วนดอนก็ตามหนูค่ะ (หัวเราะ)
Dorn: จะบอกว่าตามกันมาก็ได้ แต่ว่าตอนแรก destination ของเราที่คิดไว้ก็คือ Sydney หรือ Melbourne ครับ แล้วพอเราดู Melbourne ก็เหมือนประมาณ
Mooktarn: เชียงใหม่บ้านเรา
Dorn: คือความ crowded ก็จะน้อยกว่า Sydney หน่อย เราก็เลยอยากมาที่นี่ ก็เลยปักหมุดว่ามา Melbourne ครับ
Q: ช่วยรีวิวโรงเรียนภาษา Greenwich English School หลังจากที่ได้มาเรียนที่นี่ ให้ฟังหน่อยค่ะ
Mooktarn: อย่างของหนู หนูได้เข้า meeting ตอนช่วงวันแรก แต่ของดอนไม่ได้เข้า
Dorn: Orientation ใช่ป่ะ
Mooktarn: ใช่ Orientation คือหนูรู้สึกว่าเค้าใช้ภาษาอังกฤษที่เข้าใจได้ง่าย เหมาะกับคนที่แบบว่าไม่ค่อยเก่งภาษาอังกฤษแบบหนู แล้วเค้าก็เป็นมิตรมาก ๆ ส่วนกลางในสถาบันคือทุกอย่างดี หลัก ๆ เลยถ้าเราก้าวขาเข้าไปในตึก เราต้องพูดภาษาอังกฤษเท่านั้น ห้ามพูดภาษาไทยเลย แล้วคือถ้าอยู่ในคลาสแล้วมีเพื่อนหลุดพูดภาษาไทยบ้าง คืออาจารย์เค้าก็จะคอยเตือน ว่าต้องพูดภาษาอังกฤษเท่านั้นนะ แต่ว่าครูที่นี่เค้าไม่ดุเลย เค้าจะเตือนด้วยความเข้าใจเรามากกว่า แล้วก็เพื่อนต่างชาติก็เยอะ กระจายกัน คือคนไทยเยอะจริงแหละ แต่ว่าในคลาสก็มีคนต่างชาติด้วยค่ะ
Dorn: ส่วนของผมที่ชอบ คือส่วนกลาง เพราะส่วนกลางของเขาคืออำนวยความสะดวกทุกอย่างดีหมดเลยครับ ตึกเรียนก็สะอาดสะอ้าน ห้องน้ำอะไรก็มีให้ครบครับ แล้วก็ที่ชอบเลยก็คืออาจารย์ แปลกใจมาก คือผมเรียนในคลาสที่นี้ คือบางทีมันไปเร็ว อาจารย์ก็จะคอยถามว่าเข้าใจไหม ตรงนี้จะให้เบรคไหม หรืออะไรแบบนี้ แล้วก็เพื่อนต่างชาติก็เยอะครับ มีทั้งญี่ปุ่น สเปน ชิลี อะไรแบบนี้ก็มี ได้พูดภาษาคุยกัน ดีมาก ๆ ครับ (ยิ้ม)
Q: เพราะอะไรเราถึงเลือกเรียนคอร์สภาษาอังกฤษที่ระยะเวลา 6 เดือนนี้คะ?
Mooktarn: สำหรับหนูเนี่ย หนูมองว่าถ้า 3 เดือน ภาษาอังกฤษของเราจะยังไม่แข็งแรง เลยคิดไว้แล้วว่าจะมาเรียน 6 เดือน ปรึกษากับพี่อ๊อฟ แล้วพี่อ๊อฟก็บอกว่างั้นมุกลองลงไปเลย GE 6 เดือน ให้รู้สึกว่ามันแน่น ถ้าไม่แน่นยังไงค่อยเปลี่ยนตอนหลังก็ได้ อะไรแบบนี้ ก็ถ้าเกิดสมมุติว่า General English เรายังไม่ค่อยได้ ก็โทรไปหาพี่อ๊อฟได้ค่ะ
Dorn: คือของผมจริง ๆ แล้ว ส่วนตัวข้อบกพร่องของผมก็คือเรื่อง grammar ที่ผมยังทำได้ไม่ค่อยดี การเขียนยังไม่ค่อยแม่นเท่าไหร่ ก็เลยคิดว่าถ้าเกิดจะเข้ามหาวิทยาลัยมันก็ต้องใช้การเขียนเยอะ ๆ ต้องเขียนให้มันเป็นภาษา academic มาก ๆ เลยมองว่าเราอยากปูพื้นฐานให้มันแน่นตรงนี้ก่อน ก็เลยเลือกคอร์ส 6 เดือนไปเลย แล้วก็ต่อด้วย English for Academic Purpose เหมือนกับมีพื้นฐานมาแล้วทุกอย่างเพื่อพร้อมที่จะเข้ามหาวิทยาลัยจริง ๆ
Q: สัปดาห์แรกของการเรียนเป็นยังไงบ้างพอได้มาเรียนจริง? บรรยากาศในคลาสเรียนเป็นอย่างไรบ้าง?
Mooktarn: สำหรับหนูเลย ตอนแรกหนูกลัวการพูดภาษาอังกฤษมาก คือมาถึง การเปิดซิม การเปิดธนาคาร หนูแบบประหม่า แต่ว่าพอได้เข้าไปเรียนจริง ๆ แล้วภาษามันไม่น่ากลัวอย่างที่คิด หนูรู้สึกว่าภายในหนึ่งอาทิตย์แรกภาษาอังกฤษหนูแบบ skill มันพัฒนาขึ้นมากโดยที่เราไม่กลัวฝรั่งแล้ว (ยิ้ม)
Dorn: ส่วนของผม first impression อาจจะต่างกับมุกนิดหนึ่ง เพราะมุกเค้ามา Orientation เริ่มมีการเกริ่นนำ แต่ผมมาปุ๊บเข้าคลาสเลย มันก็จะได้ความจริงจังมากขึ้น ต้องใช้เวลา catch up ในหนังสือด้วย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกกดดันอะไรเลย เพราะว่าอาจารย์เป็นกันเองมาก เหมือนคอยจัดการการเรียนการสอนในคลาสได้ดี หมายถึงว่า คนนี้นั่งตรงนี้ ไม่อยากให้จับกลุ่มกันมากเกินไป ให้สลับที่นั่งกันเพื่อที่จะได้รู้จักเพื่อนทุกคน ได้แลกเปลี่ยนความคิดอะไรแบบนี้ครับ ตอนนี้ก็ได้รู้จักเพื่อนทุกคน คุยกันได้หมด ก็รู้สึกว่าเขา organize ได้ดีมาก
Q: รีวิวคอร์สภาษาอังกฤษของ Greenwich English College หน่อยว่า เค้ามีการสอนยังไง ให้เราเรียนยังไง ให้การบ้านยังไง?
Mooktarn: อย่างของหนู General English ไม่มีการบ้านเลยในแต่ละวัน แต่ว่าจะมีการสอบทุกอาทิตย์ สอบ test ว่าทั้งอาทิตย์นี้ เราเรียนบทนี้ เป็น grammar อะไร อย่างเช่นว่า เรียนเรื่อง Past Simple, Past Continuous และ Past Perfect ทีนี้ทุก ๆ วันพฤหัสบดีเค้าก็จะให้เราสอบ การเขียนแบบนี้นะ writing เกี่ยวกับ grammar แล้วก็มี vocabulary ที่เราเรียนมาทั้งอาทิตย์ เหมือนเป็นการ recheck ว่าเราเข้าใจสิ่งที่เรียนไปแค่ไหน แล้วเค้าจะให้คะแนนด้วย คืออย่างหนึ่งที่หนูอายก็คือว่า อย่างเวลาเราสอบเสร็จ อย่างเรามีสอบ Listening พวกสอบข้อตัวเลือกกากบาท คือเค้าจะแจกข้อสอบของเราให้เพื่อนตรวจ เข้าใจใช่ป่ะ (T_T) อันนี้อันเดียวที่หนูรู้สึกว่าหนูอาย แต่พวก writing อะไรแบบนี้ teacher จะเป็นคนตรวจเองค่ะ ส่วนการที่เราตรวจผลสอบให้เพื่อน เราจะได้ recheck ด้วยว่า โอเค เราผิดยังไง ผิดข้อไหน
Dorn: ส่วนของผม ด้วยความที่มันเรียน First Certificate in English (FCE) เพื่อเตรียมสอบ มันก็เลยจะคล้าย ๆ เรียน IELTS นิดนึงครับ แต่ว่าข้อดีของมันคือ teacher จะมาบอก อย่าง part reading เค้าจะบอกเทคนิคว่าคุณควร skim นะ scan ก่อน หรืออะไรแบบนี้ครับ หรือว่าคุณอย่าเพิ่งไปดูตัวเลือกนะ เพราะว่ามันจะจำกัดความคิดคุณ ให้คุณลองอ่านไปก่อน แล้วลองจับ keyword ดู พอคุณมาอ่านโจทย์ปุ๊บ คำนี้ อะไรแบบนี้ ก็เป็นการบอกเทคนิค ทั้งพาร์ท reading, writing และ speaking ครับ อาจจะไม่ได้มีการสอบเลื่อนขั้น แต่ว่ามันคือการ practice การสอบไปเรื่อย ๆ ทุกอาทิตย์ เพื่อให้เราเตรียมพร้อม เวลาสอบเราก็จะทำได้ดีกว่าเดิม เพราะเราได้ฝึกทำข้อสอบทุก part ทุกสัปดาห์เลย
Q: รีวิวอาจารย์ผู้สอน และเพื่อนต่างชาติที่เรียนคอร์สภาษาอังกฤษเดียวกับเราให้ฟังหน่อยค่ะ
Mooktarn: ก็คืออย่างอาจารย์เนี่ย หนูจะได้เจออาจารย์สองคน บางทีอาจารย์คนที่เป็นอาจารย์หลักเค้าไม่สบาย ก็จะเป็นอาจารย์อีกคนหนึ่งแทน ซึ่งหนูรู้สึกว่าลักษณะการสอนมันก็จะต่างกัน สำหรับหนูที่ได้ teacher หลัก คือเค้าสอนดีมาก ภาษาคือฟังง่าย แล้วก็ใส่ใจ
หนูเป็นคนที่ประหม่าในการตอบ แล้วก็ชอบหน้าแตกอะไรแบบนี้ มีคลาสนึง teacher ถามว่า “คำว่า เบอร์เกิ้ล (brigand) แปลว่าอะไร?” หนูก็ยกมือเลย ว่า “Oh, it looks like a doughnut.” เค้าก็บอกว่าไม่ใช่ มันคือแปลว่าอาชญากร แต่ teacher ไม่ได้ทำให้หนูรู้สึกว่าหน้าแตกเลย (หัวเราะ)
ส่วนเพื่อน มีหลายรูปแบบมาก ก็คนไทยเกินครึ่งห้อง อย่างในห้องมีประมาณ 15 – 16 คน แต่คนไทยก็ปาไปแล้ว 10 กว่าคน (หัวเราะ) แต่ว่า โชคดีที่เพื่อนในกลุ่ม เค้าก็ต้องการภาษาเหมือนกัน เค้าก็จะพูดภาษาอังกฤษตลอด แล้วก็อย่างหนูมีเพื่อนสนิทเป็นคนชิลี ก็จะพูดคุยกันด้วยภาษาอังกฤษ แต่เค้าจะคนละสำเนียงกับเรา แล้วมันแบบฟังยาก เค้าก็จะฟังเรายาก เราก็ฟังเค้ายาก เราต้องคอย Huh? Again, please ถามซ้ำอะไรแบบนี้ คนญี่ปุ่นก็เหมือนกัน แต่หนูรู้สึกว่าภาษามันไม่เหมือนที่เราเคยคิดไว้ คือคนญี่ปุ่น mindset แรกเราคือ เค้าจะพูดติดสำเนียงญี่ปุ่น แต่นี่คือสำเนียงดีมาก คล้ายคนไทยเลย ก็ดีค่ะ เพื่อนน่ารักมาก
Dorn: ของดอนก็อย่างที่บอกว่าอาจารย์ใจดี ใส่ใจมาก ใส่ใจทุกคนในคลาส ส่วนเพื่อน อันนี้ทึ่งนิดหนึ่งครับ เพราะว่าระดับของทุกคนในห้องมันดูเท่ากันหมดเลย คือระดับ skill ความสามารถอะไรแบบนี้ครับ คือเราก็ไม่รู้ว่าเค้าแบ่งคลาสกันยังไง แต่ว่าคือทักษะของทุกคนเท่า ๆ กันหมดเลย มันก็เลยเหมือนเราเรียนและพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษไปด้วยกัน
Mooktarn: คือในห้องจะไม่มีใครคะแนนโดด ไม่มีใครหลุดต่ำกว่าเกณฑ์ คือทุกคนเฉลี่ยเท่ากัน คือสมมุติว่า teacher สอนเรื่องนี้อยู่ แล้วคนนี้ตอบได้ คนนี้ก็เหมือนพอรู้บ้าง คือมันไม่มีใครที่แบบ อะไรอะ เรียนเรื่องอะไรกัน ไม่รู้เรื่อง คือไม่มี อาจจะเพราะว่าก่อนเรียน เค้าจะให้สอบ pre-test ก่อนด้วย ว่าเราอยู่ในระดับไหน
Q: มีคอมเมนต์อะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเรียนภาษาอังกฤษกับสถาบัน Greenwich English College ไหมคะ?
Mooktarn: ไม่มีอะ รู้สึกชอบ รู้สึกว่าตัวเองคิดถูกที่เรียนที่ Greenwich English College (ยิ้ม)
Dorn: อันนี้ก็จริงเหมือนกัน เพราะว่าอย่างเพื่อนอีกคนที่ทำงาน เค้าก็เรียนอีกที่หนึ่งคือเค้าบอกว่าบางคลาสคือคนไทยหมดเลย ก็เลยได้ภาษายากหน่อย ก็เลยคิดว่าคิดถูกแล้วที่มาเรียนที่นี่
Mooktarn: ใช่ค่ะ roommate ก็เรียนอีกโรงเรียนหนึ่ง ก็บอกว่าเหมือนต่างชาติก็คุยแต่ภาษาของตัวเอง ไม่ยอมเรียนในคลาส แล้วก็ทำให้เพื่อนในห้องก็เรียนไม่รู้เรื่อง แล้ว teacher ก็ควบคุมไม่ค่อยถึง ประมาณนั้น
Q: คิดว่าการได้มาเรียนภาษาอังกฤษที่ออสเตรเลีย ต่างจากการเรียนภาษาอังกฤษที่ไทยอย่างไรบ้าง?
Mooktarn: สำหรับหนู หนูคิดว่าการเรียนที่นี่ teacher เค้าไม่ “Judge” คือสมมุติว่าเราตอบผิด เค้าก็จะคอยแบบว่า โอเคคุณตอบดีแล้วนะ แต่ว่าข้อที่ถูกต้องมันควรที่จะตอบแบบนี้ น่าจะ make sense มากกว่า อะไรประมาณนี้ คือเค้าไม่เคยว่าเราเลยในการที่เราตอบ ไม่ว่าจะถูกหรือผิด เหมือนใส่ใจให้นักเรียนในคลาสได้กล้าที่จะตอบ คืออย่าง เพื่อนคนนึงขี้อายมาก ไม่กล้าตอบ teacher ก็จะไม่ไปคะยั้นคะยอให้เค้าตอบ แต่ว่าเค้าจะแบบชวน ๆ “คุณลองพูดซิ” คือเค้าใส่ใจจนแบบเพื่อนเรากล้าที่จะพูดมากขึ้น แล้วก็ทุกอย่างในคลาส หนูรู้สึกว่าต่างจากที่ไทย ที่ไทยพอเราเรียนจบปุ๊บ เราไม่ได้ใช้ภาษาต่อ แต่มาที่นี่เราได้ continue ได้คุยกับเพื่อนเป็นภาษาอังกฤษต่อเรื่อย ๆ
Dorn: จริง ๆ มองว่ามันต่างมาก ๆ อยู่แล้วครับ อย่างที่มุกพูดก็เห็นด้วยเหมือนกันว่าเราต้องใช้ตลอด ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน มันไม่ได้เหมือนที่ไทย ที่เรียนจบปุ๊บ ก็อยู่ไทยพูดไทย อะไรแบบนี้
อีกอย่างหนึ่ง ผมก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่ค่อยกล้า ถ้าอยู่ที่ไทยก็จะไม่ตอบเลย แต่ว่าพอมาอยู่ที่นี่ เหมือนกับว่าอาจารย์เค้าใส่ใจทุกคนครับ อย่างบางทีถามผม ผมก็ตอบ แล้วบางทีตอบผิด เค้าจะไม่บอก พูด หรือว่า ไม่ทำให้เรารู้สึกอายที่ตอบผิด (Mooktarn: ใช่ ๆ) แต่เค้าจะอธิบายว่าตรงที่ถูกต้องมันคือตรงไหน แล้วมันทำให้เรากล้าตอบในครั้งต่อไปมากขึ้น ได้รู้สึกว่ามีส่วนร่วมในคลาสมากขึ้น (Mooktarn: เค้าทำให้เรารู้สึกว่าอยาก participate) ใช่ครับ
Q: การใช้ชีวิตที่ Melbourne 1 -2 เดือนที่ผ่านมา เป็นอย่างไรบ้างคะ?
Mooktarn: สู้ชีวิตมาก จากคนที่แบบว่า โอเคพ่อแม่เรา support แหละ แต่เราไม่อยากที่จะใช้เงินเก่า แล้วก็อยากที่จะหาด้วยตัวเอง เผื่ออยากซื้อของบ้างอะไรแบบนี้ อย่างหนูเป็นคนที่พอมีประสบการณ์ในการทำงานบ้างที่ไทย การที่มาอยู่ที่นี่ มันเหมือนแบบได้ประสบการณ์ชีวิตที่ดีนะ มันก็สอนเราในหลาย ๆ เรื่อง อย่างเรื่องหาบ้านอย่างงี้ ก็หายากมาก คือคนไทยกันเองก็ยังยากเลย แล้วหนูก็แบบว่า จำเป็นที่จะต้องไป inspect เอง กับพวกต่างชาติ แล้วตอนนี้ได้อยู่บ้านแชร์ มันก็หลายอย่างค่ะที่ต้องทำด้วยตัวเอง จัดการด้วยตัวเอง แล้วการเดินทางก็คือตอนแรกหลง
Dorn: วันแรกมาก็หลง tram เลย ไม่รู้ทางไหน ทางนู้นทางนี้
Mooktarn: ใช่ ประมาณนั้น แต่ตอนนี้ก็ปรับตัว พอรู้ทางแล้ว ตอนนี้ก็คือไม่หลงแล้ว (หัวเราะ)
Dorn: ชีวิตที่ Melbourne จะเรียกว่าไงดี มันก็เหมือนกับโดนบังคับให้โตขึ้น ออกมาใช้ชีวิตที่เราต้องโตขึ้น ต้องรับผิดชอบอะไรมากขึ้นครับ แล้วก็มีเรื่องของการบริหารเวลาด้วย เพราะว่าเราทั้งเรียน แล้วผมก็ทำงานพาร์ทไทม์ตอนเย็นด้วย ต้องแบ่งเวลาในการนอน การอ่านหนังสือสอบ อาจจะต้องสู้ชีวิตหน่อยหนึ่ง
Mooktarn: เล่นเกมส์ ต้องแบ่งเวลาเล่นเกมส์ด้วย (หัวเราะ)
Q: รีวิวบริการจากพี่ Hands On หน่อยค่ะ ว่าพี่ counsellor ได้ช่วยอะไรเราบ้าง?
Dorn: เยอะ (ยิ้ม)
Mooktarn: เล่าได้ทุกอย่างเลยใช่ไหมคะ? หนูรู้สึกดีใจมากที่ได้เจอ Hands On เพราะว่าหนูก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมพวกเราถึงได้ Auto Grant (หัวเราะ) อาจจะเป็นเพราะว่าหนูทำตามทุกอย่างที่พี่เสนอมาทุกอย่างเลย แล้วก็อย่างหนูเอง คือเหมือนหนูติดต่อพี่อ๊อฟเค้ามาตั้งแต่หนูอยู่มหาวิทยาลัย ตอนแรกหนูอยากไปเรียนอเมริกา จะไปกับเพื่อนอีกคนหนึ่ง แล้วปรากฏว่าโควิดมาพอดี (ช่วงสองปีที่แล้ว) คือตอนนั้นเราเตรียมทุกอย่างแล้ว มี Statement ทุกอย่าง กำลังจะทำวีซ่าภายในเดือนหน้าอะไรอย่างนี้ ปรากฏว่าโควิดมาปุ๊บ ทุกอย่างมันจบหมดเลย ก็เลยพักไปเลยประมาณปีหนึ่ง แล้วก็มาปรึกษาพี่อ๊อฟใหม่ว่า โอเค เดี๋ยวจะเปลี่ยนไปเรียนอังกฤษแทนนะ แล้วพี่อ๊อฟก็โอเค น้องมุก มีที่นี้ ที่นี้ ทีนี้ แล้วสรุปก็ไม่ได้ไปอีก ก็เลยคุยกับดอนว่าเธออยากไปไหม ไปด้วยกัน ไปออสเตรเลียไหม
ตอนแรกวางแพลนว่าจะไป Brisbane จะเข้าเรียน Diploma เลย ไม่เรียนภาษาแล้ว อะไรแบบนี้ แต่พี่อ๊อฟบอกว่า มุกมันต้องมี IELTS นะ หนูก็เลยหยุดไปอีก หยุดติดต่อพี่อ๊อฟไปอีก แล้วก็ไปเรียน IELTS พอเรียน IELTS จบ สุดท้ายคะแนนมันไม่ถึงอะ หนูก็เลยปรึกษาใหม่ ดูดวง ดวงบอกว่าต้องภายในปีนี้นะ อะไรแบบนี้ ไม่งั้นไม่ได้ไปแล้ว (หัวเราะ) สุดท้ายก็เลยปรึกษาพี่อ๊อฟอีกครั้ง ว่าพี่อ๊อฟหนูจะไปแล้วหนูไม่รอใครแล้ว หนูจะไป! อะไรแบบนี้ ดวงบอกว่าต้องไปในปีนี้เท่านั้น พี่อ๊อฟก็บอกว่างั้นมุกทำเลยลูก เอาเลย มุกส่งแบบนี้ ๆ ๆ ๆ ทำตามที่พี่บอก อะไรแบบนี้ จนหนูได้วีซ่า ดอนถึงค่อยเริ่มทำ ก็ทำตามที่พี่เค้าบอกทุกอย่าง
ทุกอย่างคือหนูรู้สึกว่าพี่อ๊อฟใส่ใจม้าก! แบบมากกก (ก.ไก่ล้านตัวอีกแล้ว) คือพี่ทุกคนน่ารัก หนูก็เลยรู้สึกว่าถ้าหนูมีอะไรที่ช่วยพี่ ๆ ได้อะ หนูก็อยากช่วยอะไรแบบนี้ (หัวเราะ)
Dorn: ของผมก็อาจจะต่างกับมุกนิดหนึ่งครับ คือมันเหมือนกับว่า ช่วงที่ผมกำลังจะทำเรื่อง มันเป็นช่วงที่ช้ากว่ามุก แล้วมันเป็นช่วงที่คนไทยสนใจยื่นวีซ่ากันมากขึ้น พี่อ๊อฟก็เลยแนะนำว่า เคล็ดลับการเตรียมเอกสารให้ผ่านง่ายขึ้นอาจจะไม่เชิงว่าให้มันผ่านง่าย แต่ให้มันดูมีน้ำหนัก มีความน่าเชื่อถือ ก็คือเหมือนกับเค้าทำทุกอย่างเพื่อแนะนำเรา แบบไหนควรจะทำอะไรยังไง ก็คือใส่ใจเรามาก ๆ ผลของการทำตามที่พี่เค้าบอกก็คือ “Auto Grant” (ยิ้ม) ส่งไปสัปดาห์หนึ่ง ก็ได้อีเมลส่งกลับมาเลยว่าได้ Auto grant พอตรวจสุขภาพเสร็จแล้วถึงได้เดินทางมาครับ
Mooktarn: ทุกวันนี้หนูบอกเพื่อนทุกคนว่า Hands On คือที่สุดจริง ๆ (Dorn: จริง) เพราะว่าไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมใด ๆ เลย แล้วก็ทำทุกอย่างด้วยใจจริง ๆ บริการประทับใจ
Dorn: อย่างผมก็เหมือนกันครับ มีเพื่อนทักมา มาที่นี่ยังไงอะไรแบบนี้ ผมก็แนะนำเค้าเลย ผมส่ง contact ให้พี่ Hands On เลย ให้ได้คุยกันเลยครับ
Q: พี่ Hands On ได้ช่วยแนะนำเรื่องการเขียนจดหมาย GTE ให้ด้วยใช่ไหมคะ?
Mooktarn: ใช่ค่ะ อย่างตอนแรกเนี่ย หนูไม่รู้ว่าที่อื่นเป็นยังไง แต่อย่างเพื่อนหนู เค้าส่งให้เอเจ้นท์ทำเลย โดยที่ไม่รู้ว่า background เป็นยังไง แต่อย่างของหนูเนี่ย หนูคุยกับพี่อ๊อฟ แล้วพี่อ๊อฟบอกว่า มุกเขียนเลย เขียนมาก่อน แล้วเดี๋ยวพี่มาเช็คให้ หนูก็เลยเขียน GTE ภาษาอังกฤษมาเลย แล้วก็จะมีพี่อีกคนที่จะมาช่วย recheck ให้อีกทีหนึ่งว่าควรเพิ่มตรงไหน grammar ถูกต้องหรือต้องแก้อะไรยังไง แล้วเราควรเพิ่มรูปไหม พี่เค้าช่วยแนะนำให้หมด
Dorn: ของผมก็เหมือนกับของมุกครับ (ยิ้ม)
Q: มีประสบการณ์อะไรที่อยากฝากถึงน้อง ๆ ที่อยากมาเรียนบ้างไหม?
Mooktarn: หนูไม่รู้ว่าคนอื่นจะมองว่าออสเตรเลียมาง่ายรึป่าว คือ Mindset เดิมอาจจะคิดแบบนั้น แต่หนูรู้สึกว่าสมัยนี้มันยากมาก การที่จะมาเรียนที่นี่มันไม่ง่ายเลย แล้วก็การที่ได้มาใช้ชีวิตที่นี่มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ทุกอย่างมันมีเหตุและผล แล้วก็ถ้าใครอยากมาก็แนะนำเลย เพราะว่าชีวิตที่นี่ดีจริง ๆ มันไม่มีการเหยียดผิว ไม่มีการเหยียดเชื้อชาติ แล้วก็มีหลากหลายมาก ๆ
Dorn: ถ้าผมแนะนำ ก็คือ เราก็ต้องเตรียมพร้อม ถ้าเราจะมา เราก็ต้องศึกษาข้อมูลให้ดี แล้วก็เตรียมใจ เตรียมตัว เพราะมันเหมือนการออกมาอยู่ มาใช้ชีวิตที่ไม่เหมือนเดิม ความรับผิดชอบก็ต้องมากขึ้น เราอยู่ตรงนี้ มันแน่นอนอยู่แล้วว่าค่าครองชีพมันแพงกว่า ก็ต้องบริหารจัดการทุกอย่างให้ดี
Mooktarn: แต่ค่าครองชีพหนูรู้สึกว่าที่ออสเตรเลียมันสมเหตุสมผล
Dorn: ใช่ครับ (ยิ้ม)