Hands On Education Consultants

คุยกับสองสาวจาก Leeds University Business School

คุยกับสองสาวจาก Leeds University Business School แบบจุใจ กับบทสัมภาษณ์สุด exclusive!

บทสัมภาษณ์รุ่นพี่จาก University of Leeds น้องเบลล์จากสาขา Management และน้องนุ่นจากสาขา Advertising and Marketing

น้องเบลล์: เบลล์เลือกเรียน Management เพราะเป็นการเรียน Business ในทุกๆ ด้าน เบลล์เรียนรัฐศาสตร์มา พอได้ไปทำงานในองค์กรที่ต้องใช้ความรู้ทางด้าน Business ก็ได้รู้ว่าในด้าน Business มีสิ่งที่น่าสนใจแต่ความรู้ในด้านรัฐศาสตร์บางอย่างเราก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับ Business ได้

น้องนุ่น: นุ่นเรียนผลิตฟิล์มและเคยทำงานที่ Advertising Agency มาก่อน ชอบงานด้านโฆษณามากแต่อยากหาความรู้เพิ่มเติมด้าน Marketing เพราะการทำ Advertising มันไม่ใช่การทำโฆษณาอย่างเดียว ต้องความรู้เรื่องของ Marketing ว่าจะทำอย่างไรให้โฆษณาของเราถึงกลุ่มเป้าหมาย นุ่นเเลือกเรียนที่นี่ เพราะ Course ที่นี่ค่อนข้างดี เป็น Marketing และ Advertising ครึ่งๆ คิดว่ามาเรียนที่นี่น่าจะช่วยเสริมพื้นฐานของเรา แล้วทำให้เราทำงานได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นค่ะ

 

Why University of Leeds?

ทำไมถึงเลือกเรียนต่อที่ University of Leeds

น้องเบลล์: หนึ่งคือคอร์สที่เราอยากเรียนมีสอนที่ Leeds สองคือ Ranking ดีชื่อเสียงดี ซึ่งปีนี้ University of Leeds ก็ได้เป็น University of the year สามคือการเลือกเมือง ที่ Leeds มีทุกอย่างครบไม่ว่าจะเป็นที่ Shopping ร้านอาหารหรือสถานที่ท่องเที่ยว

น้องนุ่น: คอร์สเรียนที่ Leeds มันตอบโจทย์เราที่สุด Ranking ค่อนข้างดี รวมถึงเมืองด้วยเพราะว่าดูเรื่องความปลอดภัย ขนาดของเมือง การคมนาคมและค่าใช้จ่าย พี่ๆที่ Hands on ให้คำปรึกษามาว่า ถ้าเราเรียนที่ London ค่าใช้จ่ายจะสูง ถ้าเราออกมาข้างนอกหน่อยก็จะราคาถูกลงมาซึ่งมาตกลงที่ Leeds ค่ะ

Preparation

พอเลือกมหาวิทยาลัยได้แล้วใช้ระยะเวลาในการเตรียมตัวนานไหมคะ

น้องเบลล์: ถ้าเริ่มตั้งแต่ตอนตัดสินใจคิดว่าประมาณเกือบครึ่งปีเหมือนกัน พอตัดสินใจเสร็จปุ๊บก็วิ่งเข้าหา Agency ก็มาที่ Hands on เจอพี่แนตเป็นคนให้คำปรึกษาก็ช่วยได้ดีมาก คือก็จะบอกเราเลยว่าการเตรียมตัวต้องทำยังไงบ้าง ที่สำคัญที่เราต้องศึกษา Requirement ของมหาวิทยาลัย เพราะว่าบางทีมหาวิทยาลัยอาจจะต้องการคะแนน IELTS ก็ต้องไปสอบ มีเอกสารอะไรบ้าง มีการเตรียม Statement of Purpose (SOP)

น้องนุ่น: ของนุ่นประมาณ 1 ปี ไปคุยกับ Agency ก่อนว่าเราอยากเรียนที่ไหน แล้ว Hands on ก็ช่วยติดต่อที่ Leeds ให้ นุ่นก็ใช้เวลาเตรียมตัวในการสอบนานพอสมควรเหมือกัน เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงที่ทำงานด้วยเลยไม่ค่อยมีเวลาเตรียมตัว

เรื่องการเตรียมตัวด้านภาษาอังกฤษละคะ

น้องเบลล์: เบลล์ตอนนั้นทำงานไปด้วยเตรียมตัวไปด้วย เลยตัดสินใจ Take short course เพื่อที่จะเรียนสอบ IELTS เพราะเราไม่มีเวลาอ่านหนังสือ การไปเรียนเพิ่มเติมก็ช่วยได้เยอะ มีเทคนิคในการทำข้อสอบช่วยให้เราทำข้อสอบได้

น้องนุ่น: Take Course เพื่อที่จะเตรียมตัวมาเรียนเหมือนกันค่ะ พอมาที่นี่ก็ค้นพบว่าปัญหาเรื่องการเขียนของนุ่นจะ ค่อนข้างหนักเพราะว่าไม่ถนัด และพอต้องเป็น Critical Thinking ก็ค่อนข้างยากก็มีปัญหาเยอะเหมือนกัน แต่ที่นี่ดีมากๆ ตรงที่เจ้าหน้าที่และอาจารย์พร้อมให้ความช่วยเหลือ ถ้าเราขอคำแนะนำเขาจะช่วยว่าเราต้องทำอย่างไง ลองไปใช้ Service นี้ดู Tutor นี้ดู คะแนนของเราจะเทอมหนึ่งไม่ค่อยดีก็ค่อยๆ ดีขึ้นมาในเทอมสอง

 

When in Leeds

พอมาถึงมหาวิทยาลัยจริงๆ แล้วใช่อย่างที่คิดไว้ไหมคะ

น้องนุ่น: ต้องใช้เวลาตั้งตัวนิดนึง ตอนแรกช็อคมากเลยทำไมทุกอย่างที่นี่แพงหมดเลย คูณ 50 แล้วแพงมาก พอเราใช้ชีวิตไปช่วงหนึ่งก็รู้ว่า เราจะคิดทุกอย่างเป็นเงินไทยไม่ได้ และจะซื้อของเฉพาะที่จำเป็นต้องใช้ แต่รวมแล้วชอบมากเพราะมันมีทั้งในความเป็นเมืองด้วยและยังสงบอยู่

ชีวิตนักเรียนไทยกับนักเรียนอังกฤษแตกต่างกันมากไหมคะ

น้องเบลล์: แตกต่างโดยสิ้นเชิง ตอนที่เราเรียนอยู่ที่ไทยหน้าที่เราก็คือไปเรียน เที่ยวกับเพื่อน ไม่ต้องทำอะไรมากแต่การที่เรามาอยู่อังกฤษคือเราต้องมาใช้ชีวิตด้วยตัวเอง คือตื่นเช้ามาเราต้องคิดว่าแล้วว่าวันนี้เราจะกินอะไรดี เตรียมอาหาร ไปเรียนกลับมาก็เย็นดีจะกินอะไรดี มันมีเรื่องอื่นๆ ที่เราจะต้องรับผิดชอบ ก็คือไม่ใช่แค่การเรียนนะ อาจจะทำให้ภาระในการศึกษารู้สึกหนักขึ้น มาเรียนที่อังกฤษก็หนักอยู่แล้ว แต่ว่าระบบการศึกษาก็ต่างจากที่ไทยโดยสิ้นเชิงเลย แถมยังต้องบวกเรื่องการใช้ชีวิต การบริหารอะไรต่างๆมากมาย คือทำให้ยากขึ้นแต่มันก็ทำให้เราพัฒนาตัว ให้เรารู้สึกว่าเราโตขึ้น ได้มาฝึกการใช้ชีวิตด้วยตัวเองอะไรแบบนี้ค่ะ

น้องนุ่น: ระบบการศึกษามันค่อนข้างแตกต่างกัน ตอนเรียนปริญญาตรีที่ไทย ที่นุ่นเรียน มันก็คือ Scope เราจะอ่านหนังสือสอบหรือทำรายงานส่งตามที่อาจารย์สอนแต่ว่าพอเรามาเรียนปริญญาโทที่นี่ Scope ที่อาจารย์สอนจะเป็นเค้าโครงเล็กๆ แต่ถ้าเราจะทำ Essay จะเขียนงานส่งเราต้องไปหาข้อมูลโดยรอบ มันไม่ใช่แค่โครงร่างที่อาจารย์ให้ คือเราต้องไปอ่าน Journal เอาของคนนั้นมารวมกัน มันเป็นเหมือนวิธีเรียนอย่างหนึ่งเหมือนกัน แล้วก็ไปอ่าน Research ของหลายๆท่านมา แล้วก็มาปรับและประยุกต์กับเค้าโครงของครู

 

Your course

ขอเจาะลึกในคอร์สเรียน เล่าให้ฟังหน่อยค่ะ

น้องเบลล์: MSc Management เบลล์ให้คำจำกัดความว่าเหมือนเป็น Mini MBA การเรียนบริหารธุรกิจ แต่ว่าอาจจะไม่ได้ลึกเท่า เพราะส่วนใหญ่คนที่เข้ามาเรียนอาจจะไม่มีพื้นฐานด้าน Business มาก่อนเพราะฉะนั้นมันเหมือนจะเป็นการปูพื้นฐานในด้าน Business ทุกๆ ด้าน วิชาเรียนที่ได้เจอก็จะมี Finance Management, Marketing and Management, Strategic Management ทุกอย่างมันจะห้อยคำว่า Management ไว้ เพื่อที่จะการเรียน Management คือการจัดการ ส่วนใหญ่คนที่สนใจในการเรียน Management ก็จะไปทำงานซึ่งอาจจะเป็น Manager ซึ่งการเป็น Manager เราต้องรู้ภาพรวมทั้งหมดของ Business ทำให้เราสามารถการบริหารจัดการได้ อย่างเช่นอาจจะมีวิชานี้ของ Behavior in Organization อันนี้จะเป็นแนวคล้ายๆของ Human Resource คือเรียนการจัดการคน อยากรู้ว่าการทำงานร่วมกันเป็นยังไง โดยเฉพาะเรื่องความหลากหลายทางเชื้อชาติ สังคม ศาสนา ความคิด ทำให้การทำงานร่วมกันต้องสื่อสารยังไง หรืออีกวิชาหนึ่งที่เบลล์ว่าน่าสนใจก็คือ Effective Decision Making อันนี้เป็นการเรียนเกี่ยวกับการตัดสินใจของคนเมื่อเข้าไปอยู่ในพื้นที่ของ Business คืออย่างบางทีเราอาจจะคิดว่าขั้นตอนในการตัดสินใจ เจออันนั้นเราต้องคิดได้เลยว่าสิ่งนั้น แต่จริงๆแล้วในการตัดสินใจของคน มันจะมีพวกทฤษฎีเข้ามาเกี่ยวข้องโดยเฉพาะถ้ามีเกี่ยวกับเรื่องการเงิน เรื่อง Finance หรือเรื่องต้องนึกถึงผู้ถือหุ้น มันเหมือนเป็นความรู้พื้นฐานของด้าน Business ซึ่งจริงๆแล้วพวกนี้เราอาจจะเคยไปทำงานมา แต่เราไม่เคยเรียนเรื่องนี้มาก่อนเลย พอเรามาเจอที่นี้ก็เหมือนได้ความรู้ใหม่ๆ ซึ่งน่าสนใจ

น้องนุ่น: ของนุ่นเป็น Advertising and Marketing เทอมแรกจะเจาะด้านพื้นฐานของ Marketing เหมาะกับคนที่ไม่มีพื้นฐานด้านมาก่อน เรียน Consumer and Behavior การที่คนเราจะเลือกซื้อของอะไรสักอย่างมันมีปัจจัยอะไรบ้าง จะทำยังไงที่จะไปกระตุ้นปัจจัยตรงนั้นเพื่อทำให้คนมาสนใจสินค้าของเราและในเทอมสองก็จะลงเรื่อง Advertising มากขึ้น คือใช้ทฤษฎีจาก Marketing มาปรับใช้กับ Advertising ก็จะมีตั้งแต่การเริ่มคิดว่าโฆษณาเลยว่า เริ่มจาก Concept ของเราคือไร เป้าหมาย Marketing ของเราคืออะไร ถ้าเราเรียนที่ไทยเราก็จะเห็นมุมมองของคนไทยด้วยกัน แต่พอเรามาเรียนที่นี่มันมีหลายเชื้อชาติมากๆเลย มันทำให้เราได้ทดสอบว่าไอเดียที่เราคิดมันจะเป็นสากลไหม คนชาติอื่นจะเข้าใจไหม แล้วก็จะเป็นการแลกเปลี่ยนไอเดียซึ่งกันและกัน ซึ่งบางครั้งเขาก็จะมีมุมมองที่แตกต่างกับเราไป ทำให้เราสามารถเอามาปรับใช้ได้ซึ่งเป็นมุมที่แบบเราเองก็ไม่เคยคิดมาก่อน ก็ไปได้ไอเดียจากชาติอื่นมา ทำให้เราได้เห็นอะไรใหม่ๆด้วย ไม่ใช่แค่จากอาจารย์เท่านั้น

 

เล่าถึงบรรยากาศในห้องเรียนกันบ้าง เพื่อนๆในคลาสเป็นอย่างไรบ้าง

น้องเบลล์: Management มีนักเรียนประมาณหนึ่งร้อยกว่าคน การเรียนจะแบ่งเป็น Lecture กับ Seminar ห้อง Lecture ใหญ่ๆเข้าไปนั่งฟังอาจารย์พูดส่วน Seminar ก็จะจัดกลุ่มเพื่อให้นักเรียนได้มี Discussion นักเรียนก็จะสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูล ทั้งจากอาจารย์และได้จากเพื่อน ซึ่งมาเรียนที่ Leeds Business School แล้ว มีเพื่อนจากทั่วโลกเลย ไม่ว่าจะเป็น จีน อเมริกา อินเดีย หรือจะยุโรป ทำให้เราได้ไอเดียหลายอย่างจากเพื่อนๆ อาจารย์ทุกท่านที่เจอก็น่ารักมาก คือการมาเรียนปริญญาโทจะเป็น Self-study ต้องเรียนด้วยตัวเอง อาจารย์เขาจะให้ idea หลักมาแล้วเราต้องไปค้นคว้า เพิ่ม แต่ถ้าติดอะไรหรืออยากได้อะไรเพิ่มเติม เลิกเรียนเสร็จสามารถไปหาอาจารย์ ไปคุยได้โดยตรงหรืออยากจะส่ง E-mail อาจารย์ทุกท่านก็ให้ความช่วยเหลือตลอด

น้องนุ่น: ที Leeds Business School เขาจะให้ I-pad นักเรียนทุกคนมาใช้ฟรี I-pad ฟรีมี Application เขาเรียกว่า Blackboard พอเราเข้าไป ทุกอย่าง slide พวก resources ทุกอย่างเลยจะอยู่ในนั้นหมดเลย สามารถดาวน์โหลดออกมาแล้วก็เอามาเรียนได้ทันที แล้วก็มีทั้ง case Study ที่อาจารย์ให้ค่ะ และที่ Leeds จะดีตรงที่เขามีการอัดวิดีโอ Slide ที่อาจารย์สอนทุกครั้งเลย ถ้าหากว่าเราแบบตามไม่ทัน ตรงนี้นาทีนี้เราสามารถที่กลับมาฟังได้อีกรอบหนึ่ง ก็คือฟังวนลูปได้ทั้งปีเลยค่ะ

เรื่องของการให้คะแนนละคะ อาจารย์โหดไหม?

น้องเบลล์: ไม่ได้โหดนะคะ ถ้าวิชาไหนที่เบลล์มองว่าวิชานี้เราค่อนข้างโอเคนะ เราว่าเราทำได้ คะแนนก็ออกมาตามที่เราคาดหวังแต่ว่าถ้าวิชาไหนอันนี้เราไม่ค่อยถนัดเท่าไร คะแนนเราก็อาจจะไม่ดี คะแนนมันก็จะออกมาตามที่ งานที่เราทำไป คือช่วงแรกๆอาจจะมีความไม่ชินในระบบของการศึกษา แต่พอที่นี่ก็จะมี Support ลง Course เพิ่มทักษะด้แต่พอหลังจากนั้น พอเริ่มเข้าใจในลักษณะของการเรียน เข้าใจในแนวทางของอาจารย์ พอเราเริ่มทำถูกรูปแบบ ที่ควรจะเป็นมากขึ้น คะแนนก็ดีขึ้นเรื่อยๆ คะ

น้องนุ่น: ตอนแรกที่มีปัญหาด้านการเขียนค่ะ นุ่นก็ไปเช็ค Service เขาก็จะแนะนำให้ไป Tutor Library คุยตัวต่อตัวเขาก็จะอธิบายหมด พอเราเข้าใจว่าเราต้องเสนอความคิดเรายังไงคะแนนมันก็ดีขึ้น แต่ว่านุ่นคิดว่าหลายๆคนที่มาเรียนอังกฤษ อาจจะค่อนข้างช็อคกับคะแนนเพราะว่าที่นี่ Pass คือ 50-59 Merit หรือเกียรตินิยมอันดับสองก็ต้องได้ 60-69 คะแนน หรือถ้าจะเอา Distinction คืออันดับหนึ่งก็ต้องได้แบบ 70 คะแนนขึ้นไป เหนื่อยเหมือนกัน

น้องเบลล์: มาแรกๆ ก็ช็อค จะกลับไปบอกแม่ยังไงดีได้ 65 คะแนนดูน้อยเหลือเกิน อีกอย่างหนึ่งคือระบบที่อังกฤษค่อนข้างมีมาตรฐานมากๆ เราอาจจะบอกว่าอาจารย์ใจร้ายหรือเปล่าให้คะแนนน้อย แต่จริงๆ เคยไปคุยที่ปรึกษา สิ่งที่คุณทำมันอาจจะดีแล้วแต่การที่เขาให้คะแนนแบบนี้เป็นการกระตุ้นเพื่อที่จะให้เราพัฒนาได้อีก

 

Other activities

ยังมีกิจกรรมอื่นๆ อีกไหมคะ?

น้องเบลล์: กิจกรรมที่ทางมหาวิทยาลัยมีให้เยอะเหมือนกัน มี Student Union จะกิจกรรมกันทั้งวิชาการ เข้าชมรมและ Career Center ซึ่งมีประโยชน์มากถ้าอยากจะทำงานที่อังกฤษ เราเข้าไปปรึกษาได้ว่ามีงานอะไรที่เราทำได้หรือมีฝึกงานที่ไหนน่าสนใจ หรือสายปาร์ตี้เขาก็มีการจัดกันอยู่เรื่อยๆ ผ่อนคลายได้

น้องนุ่น: ช่วงอีสเตอร์มีกิจกรรมให้ไปทาสีไข่นุ่นก็จะไปทำ นุ่นทำงาน Part-time ที่ร้านอาหารไทยด้วยอาทิตย์ละวัน ถ้าช่วงไหนท่เรียนไม่หนักก็จะทำ 2 วัน ไปทำงานมันทำแค่ 5 ชั่วโมงต่อวันรู้สึกเหมือนว่าเป็นการคลายเครียดพอเราไปทำ เราก็จะ Concentrate ประมาณว่าอาหารลูกค้าได้หรือยัง ลูกค้าจะทานอะไร ทำให้เราเหมือนไม่เครียดเรื่องเรียน ก็เหมือนเป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่เราทำนอกเหนือจากการเรียน

ยุ่งกันขนาดนี้พอจะมีเวลาว่างกันบ้างไหมคะ แล้วถ้ามีชอบทำอะไรกันคะ?

น้องเบลล์: ส่วนใหญ่เบลล์ก็จะไปเที่ยวกับทำอาหาร ตอนอยู่ไทยคือทำอาหารไม่เป็นเลยแต่พอมาอยู่ที่นี่อยากทานอะไรก็ Search หาสูตรจาก Google แล้วไปเดินซื้อของ อยากกินก็ต้องทำเอง ก็เป็นกิจกรรมที่มาค้นพบที่นี่ว่าชอบทำอาหารมาก

น้องนุ่น: ชอบไปนั่งที่ร้านกาแฟ ชอบไปนั่งดูคนเขาพูดอะไรกัน เขาแบบใช้เวลายังไง

ช่วยเล่าถึงค่าครองชีพที่นี่นิดหนึ่งค่ะ เป็นอย่างไรกันบ้างคะ?

น้องเบลล์: ถ้าเทียบกับ London ต้องพูดว่า Leeds ค่าครองชีพก็จะดีกว่า ใน Leeds ไปไหนเราก็จะเดินเอาเพราะในแต่ละที่อยู่ไม่ไกลกันเดิน 10-15 นาทีก็ประหยัดค่าเดินทางได้ เรื่องอาหารการกินใครอยู่หอกับเพื่อนๆ ก็แนะนำให้ซื้อวัตถุดิบมาแชร์กันทำกินเองจะช่วยประหยัดเงินไปได้เยอะค่ะ ไม่มีข้าวกระเพราะจานละ 40-50 บาท หาได้ก็ 500 บาทหรือ 10 ปอนด์

น้องนุ่น: ค่าที่พักที่นี่ก็จะถูกกว่าสมมุติว่าอาทิตย์ละ 200 ปอนด์ได้ห้องสตูดิโอ แต่ที่ London 200 ปอนด์ก็ไม่ได้

 

What you get from University of Leeds?

ประโยชน์ที่ได้รับจากการเป็นนักเรียนที่นี่

น้องเบลล์: เรื่องการบริหารเวลา ตอนอยู่บ้านทุกอย่างมีพร้อมแต่พอมาอยู่ที่นี่เราต้องจัดการทุกอย่างเอง เราต้องช่วยตัวเอง ต้องบังคับตัวเองว่าช่วงนี้เราต้องเสร็จอันนี้ ทำให้เราจะจัดสรรเวลาได้ดีขึ้น ข้อสองก็คือได้มาเห็นวัฒนธรรมที่หลากหลายได้มาเจอโลกใหม่ๆ อังกฤษเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ได้เห็นระบบการจัดการ ผู้คนเขาเป็นอย่างไง อันนี้เป็นสองอย่างที่ได้นอกเหนือจากการเรียนนะคะ ที่ได้เยอะๆมากๆเลยถือเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิตมากๆค่ะ

น้องนุ่น: นุ่นว่าเรื่อง การบริหารเวลาเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่นุ่นได้จากที่นี่เหมือนกัน แต่ก่อนนุ่นต้องพึ่งแม่บ้างเพื่อนบ้าง พอมาอยู่ที่นี่ทุกคนเต้องดูแลตัวเองให้ได้ ต้องอยู่ด้วยตัวเองให้ได้ จุดนี้ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ทำให้เราโตขึ้นและพัฒนาได้อีกขั้น

ใกล้เรียนจบแล้ว วางอนาคตตัวเองไว้อย่างไรกันบ้างคะ

น้องเบลล์: เบลล์คิดว่าจะกลับไปทำงานทางสาย Business Consultant ตามที่เรียนมา พวกบริษัทข้ามชาติที่ดูไว้นะคะ คิดว่า Management ที่เรียนไปก็น่าจะมีประโยชน์ค่ะ

น้องนุ่น: นุ่นยังชอบงาน Advertising แต่คิดว่าคงไม่ใช่สาย Advertising Agency แล้วอาจจะกลับไปในส่วนของลูกค้า

 

สิ่งที่ประทับใจกับการเป็นนักเรียนที่ Leeds คืออะไรคะ

น้องเบลล์: หลักๆของเบลล์มี 2 อย่างที่ประทับใจคือเมืองกับเพื่อนค่ะ คือ Leeds เป็นเมืองที่มีพร้อมทุกอย่างค่ะ มีความปลอดภัยสูงที่ผ่านมาแทบจะไม่ได้ยินข่าวอาชญากรรม และเป็นที่ที่อยู่สะดวกสบายจริงๆ แล้วก็เรื่องเพื่อน คือเพื่อนที่นี่น่ารักมากทั้งคนไทยและเพื่อนๆต่างชาติ คนไทยที่ Leeds ค่อนข้างอบอุ่น เราอยู่กันเยอะมากมีกัน100 กว่าคน จัดกิจกรรมกันตลอด มีปาร์ตี้มีอะไรก็จะมาเจอกันหรือว่าเราอยากได้ความช่วยเหลือ เราก็จะมีกลุ่มที่จะไปแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกัน

น้องนุ่น: ใช่ เพื่อนที่นี่น่ารักมากเลยนะ เช่นอยากถามเรื่อง VISA ก็จะพิมพ์เข้ามาใน Group ทุกคนก็จะช่วยหาตอบ ทำแบบนี้สิ ทำแบบนั้นสิ นอกเหนือจากเรื่องของเพื่อนกับเมืองแล้ว นุ่นก็ประทับใจในส่วนของสตาฟที่นี่เพราะเขาเต็มใจที่จะช่วยเหลือเรามากๆ แค่เราพูดว่าเราต้องการความช่วยเหลือนะเขาจะเต็มที่มาก ชอบสตาฟกับอาจารย์ที่นี่มากๆ

 

คำถามสุดท้ายกันแล้วนะคะ มี thank you, Message อยากจะฝากไปถึงใครบ้างไหมคะ?

น้องเบลล์: หนึ่งเลยคืออยากจะขอบคุณพ่อแม่ที่สนับสนุนให้มาเรียน เพราะว่าถ้าเกิดไม่มีพ่อแม่ก็คงจะไม่ได้มาเรียนเพราะว่าไม่มีใครจ่ายเงินให้ สองก็คือขอบคุณ Leeds อีกหนึ่งเหตุผลที่ตัดสินใจมาเรียนที่ Leeds Business School เพราะเบลล์ได้ทุน Offer มาด้วยเป็นส่วนลด 5000 ปอนด์จาก Leeds Business School แล้วก็สามขอบคุณ Hands on โดยเฉพาะพี่แนตค่ะ ทุกครั้งเวลาคนถามเกี่ยวกับการมาเรียนที่นี่จะแนะนำ Hands on ตลอด โดยเฉพาะพี่แนตให้คำปรึกษาดีมาก ให้คำปรึกษาหมดเลยตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเข้าไปหา เริ่มต้นจากข้อมูลมหาวิทยาลัย ต้องการอะไรบ้าง สมัครต้องทำยังไงจนมาถึงขั้นได้การตอบรับจากมหาวิทยาลัยแล้ว VISA Process เป็นอย่างไง จองตั๋วเครื่องบิน ที่พัก ครบเบ็ดเสร็จเป็นเหมือน One Stop Service เลยค่ะก็ต้องขอบคุณด้วยค่ะ

น้องนุ่น: นุ่นก็ต้องขอบคุณที่บ้านที่ช่วยสนับสนุนนุ่นให้มาถึงจุดนี้ ไม่ใช่เรื่อง Financial อย่างเดียว มีเหนื่อยใจก็โทรปรึกษาที่บ้านก็ให้กำลังใจตลอด และก็ต้องขอบคุณทาง Hands on มีเพื่อนแนะนำมาก็เลยเข้ามาปรึกษาพี่โบว์ค่ะ พี่โบว์ก็ช่วยเราทุกอย่าง บอกข้อดีและข้อเสียของแต่ละมหาวิทยาลัยและให้เราไปเลือกเอง และก็ช่วยในเรื่องของมหาวิทยาลัย ใบตอบรับ ใบ Offer ทุกอย่าง เรื่องขอการส่งคะแนน ก็ต้องขอขอบคุณที่ช่วยอำนวยความสะดวกทุกอย่างเลย ทำให้ราบรื่นมาถึงทุกวันนี้

 

น้องๆ คนไหนที่สนใจเรื่อง Business ก็ได้เห็นมุมมอง การใช้ชีวิต รวมถึงบรรยากาศในห้องเรียนจาก University of Leeds แล้ว สนใจเรียนต่อ UK ปรึกษา Hands On ได้ทุกสาขา โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น