รีวิว LLM International Trade and Commercial Law ที่ Durham University โดยเต้

  • Share this:

แนะนำตัวให้เรารู้จักหน่อยค่ะ

เต้ จบจาก Durham University คอร์ส LLM International Trade and Commercial Law

ทำไมถึงตัดสินใจไปเรียนคอร์สนี้

ตอนแรกมีความตั้งใจที่จะไปเรียน LLM สองใบเพื่อกลับมาสอบ จึงมีความคิดว่าใบแรกกับใบที่สอง ใบไหนจะไปเรียนที่ลอนดอนสักใบนึง ก็เลยขอไปลอนดอนใบสอง เพราะใบแรกอยากลองใช้ชีวิตธรรมดาดู หากเราไปอยู่ลอนดอนใบแรกอาจจะฉุกละหุกเกินไป อาจจะทำให้เราปรับตัวยาก ใบแรกก็เลยอยากเลือกที่ไปอยู่เมืองที่เป็นข้างนอกดูก่อน ก็เลยดูจากบริเวณสถานที่ในเมือง ranking ว่าที่ไหนที่เราอยู่แล้วจะปรับตัวได้ง่าย ก็เลยคิดว่า Durham น่าจะเหมาะสม ทั้ง ranking สภาพความเป็นอยู่ และเมืองที่ปลอดภัย คอร์สที่น่าสนใจ ก็คือ International Trade มีคนไปเรียนเยอะด้วยส่วนหนึ่ง เราก็รู้สึกว่ามันน่าจะทำให้เราได้ปรับตัวในปีแรกได้ดีที่สุด

อีกอย่างคือเคยมีเพื่อนไปเรียนมาก่อนด้วยที่ Durham และก็บอกว่าเป็นเมืองที่อยู่สบาย ถึงเป็นเมืองที่เล็กแต่สามารถเดินทางไป Newcastle หรือเมืองอื่น ๆ ที่ใกล้เคียง มีทุกอย่างในเวลาเพียงเวลา 15 – 20 นาที อยู่สบาย ง่าย มีเกือบทุกอย่าง สมมุติถ้าเราอยากจะชอปปิ้งมาก ๆ ก็ไปแค่ 15 นาที ที่ Newcastle พออยู่จริง ๆ ก็ไปเกือบทุกวัน ว่าง ๆ ก็ไปเกือบทุกวันเลยเพราะไม่รู้จะทำอะไร มีคนที่ไปเรียนมาเยอะด้วยเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ตัดสินใจเรียนที่นี่ และอีกส่วนหนึ่งคือเราศึกษาข้อมูลจากคอร์สต่าง ๆ และก็จากพี่ ๆ Hands On ก็แนะนำมาด้วยว่าที่นี่น่าเรียน การเรียนก็ไม่ได้ intense มากเกินไป

LLM International Trade and Commercial Law

ก็ตามชื่อเลย เรียนเกี่ยวกับกฎหมายการค้าระหว่างประเทศก็จะมีวิชาให้เราเลือกเยอะแยะเลย เช่น กฏหมายทางด้านทรัพย์สินทางปัญญา กฎหมายเกี่ยวกับ Economics law หรือที่เกี่ยวกับ Financial law แล้วแต่เราจะเลือก ถ้าเราเข้าไปเรียนแล้ว ไม่อยากจะเรียน International Trade จ๋า ๆ เราก็เบี่ยงสายได้สักสองตัว ไปเรียนตัวอื่นที่สนใจ เช่นเราอยากไปเรียน Human Rights หรือ เราจะอยากเรียน Intro to EU law ทำให้เราจะไม่รู้สึกว่าลงไป Trade จ๋า ๆ เกินไป เบื่อบ้างก็เปลี่ยนได้

วิชาที่เลือกเรียน

ที่ลงวิชาไปมันจะมีทั้งเรียนแบบเทอมเดียวและสองเทอม วิชาหลักที่ลงไปคือ Advanced Issues in International Economics Law และ Financial Law และมีวิชาที่ลงอีกคือ Introduction to EU Law เพราะอยากจะรู้ว่าใน EU กฎหมายของเขาเป็นยังไงปกติเราเรียน International Trade เราจะได้เรียนแต่ Inter Law เราก็อยากจะรู้ว่า ถ้าเป็น EU กฎหมายเขาจะเป็นแบบไหน ในกลุ่มพวกกฎหมาย EU และตอนนี้ที่อังกฤษก็เป็นช่วงที่กำลังแยกออกมาจาก EU ด้วย วิชามันจะมีการเปลี่ยนแปลงไปจาก EU ปกติไหม แยกเป็นของตัวเองด้วยหรือเปล่า

วิชาที่ชอบที่สุด

ชอบที่สุดก็จะเป็น Advanced Issues in International Economic Law เพราะวิชานี้เรียนทั้งปี ตอนแรกเราก็คิดว่าจะเรียนแต่วิชาแบบเทอมเดียว เพราะมันจบแล้วจบเลย ไม่ต้องอยู่กับมันทั้งปี เลยอยากจะลองเรียนวิชาที่เรียนทั้งปีดู เพราะเราจะได้เนื้อหาที่มันเยอะขึ้น ละเอียดขึ้น ก็เลยลงแบบผสมกัน พอได้มาเรียนวิชาแบบรายปีก็เลยรู้สึกว่า เนื้อหาที่เรียนมันมีความเจาะลึก และเวลาการเขียน essay มันกลายเป็นว่าวิชารายปีมันง่ายขึ้น เพราะว่าเราได้อ่านเยอะรู้เยอะขึ้นทำให้มีเวลาในการเตรียมตัว และอาจารย์พยายามให้ข้อมูลและใจดีเวลาอธิบาย มันเป็นเนื้อหาที่พอเรียนยาวมันก็จะยากขึ้น เขาก็ต้องค่อย ๆ อธิบาย เพราะเนื้อหามันต้องต่อเนื่องกันจากเทอมหนึ่งยันเทอมสอง ก็เลยรู้สึกว่าวิชานี้สมควรเรียน เรียนมามีความสุข

สนใจเรียนต่อ Durham University ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ฟรี คลิก

การเรียนการสอนที่ Durham University

จริง ๆ Durham เป็นที่ที่ฮิตสำหรับคนที่จะมาเรียน LLM คนไทยก็มีพอสมควร แต่ก็ขึ้นอยู่กับวิชาที่เราลง ว่าเราลงวิชาไหน อย่างเช่น ตอนแรกเราไปช้ากว่าเขาเปิดเทอม 2 วัน เพราะว่าเราติดสอบอยู่ก็บินไปช้า พอไปช้าเราก็ยังจะไม่ได้เข้ากลุ่ม ไม่รู้ว่ามีใครอยู่บ้าง เราก็เลยใช้วิธีเลือกว่า อยากเรียนวิชาอะไรก็ลงเลย ไม่ได้ถามใครด้วยว่า ใครเรียนวิชาไหนบ้างเพราะเรารู้สึกว่าถ้าเราลงแล้วไม่ชอบ เราไม่อยากอดทน เราอุตส่าห์ได้มีโอกาสเลือกแล้วอยากเรียนวิชาไหน เราก็ควรจะเลือกในสิ่งที่เราสนใจ เพราะเราว่ามันน่าจะทำได้ดีกว่า เราก็เลยลงแบบตามใจตัวเองเลย พอไปถึงก็วันที่เรียนวันแรก ตกใจมาก เหมือนจะลงไปสามวิชาในเทอมแรก เจอคนไทยแค่วิชาเดียว เซคสองไม่เจอใครเลย มีแต่คนไม่รู้จัก อาจจะมีฝรั่ง คนจีน ไม่มีคนไทยเลย แล้ววิชาที่ลงสองตัวนั้นเป็นวิชารายปีด้วยก็ไม่เจอใครเลย ทั้งเทอมหนึ่งเทอมสองจะได้เจอเพื่อนแค่วิชาเดียว ซึ่งมันก็ดีนะเพราะว่าวิชาที่ลง พอเราเป็นคนไทย เราไปกับเพื่อนอีกคนหนึ่ง ทั้งห้องมีสองคนที่เป็นคนไทย เขาก็อยากรู้ข้อมูลว่าประเทศเรามีความคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้บ้าง พอเราเรียนไปเขาก็อยากจะถามความคิดเห็น ตอนแรกเราจะไม่ชอบตอบเลย ตอบแล้วกลัวผิด แต่พอไปนาน ๆ เราอยากให้เขาถามบ่อย ๆ มันสนุก เรารู้สึกว่าได้เปิดมุมมอง มุมมองนี้ก็มองได้นะ ไม่ใช่ว่ามองแค่ว่าที่เราคิดแล้วจะถูกอย่างเดียว พอเรียนไปก็เลยรู้สึกว่าทำให้เราพัฒนาขึ้นเยอะ

Moot Court Room at Durham University

ส่วนการบ้านมันแล้วแต่ เพราะว่าส่วนใหญ่ที่เรียนที่ Durham มันจะเป็นการสอบแบบไม่ได้สอบในห้อง แต่จะมีบางวิชาเหมือนกันที่สอบ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นแบบ essay ดังนั้น การบ้านจะอยู่ในช่วงกลาง ๆ คอร์ส ปกติจะเป็นแบบตามหน่วยกิต แต่การบ้านจะแล้วแต่ว่าใครจะทำหรือไม่ทำก็ได้ ถ้าสมมุติบางคนจัดตารางไม่ได้เขาก็จะไม่ทำ เพราะบางคนก็คิดว่ามันแบบวัดผลทีเดียวก็รอทำ essay ตอนท้าย แบบ summative ทีเดียว แต่จริง ๆ การบ้านมันก็สำคัญเพราะว่าเวลาเราส่งไป เราจะได้ Feedback กลับมาว่า งานเขียนของเราควรจะพัฒนาตรงจุดไหนบ้าง เพราะว่าบางทีหลายคนรอตอนที่สอบ summative มันก็มี Feedback กลับมาแต่ว่ามันแก้อะไรไม่ได้แล้ว จบแล้วมันก็คะแนนออกแล้ว  แต่ถ้าเราเขียนส่งตั้งแต่กลางภาค เราก็จะรู้ว่าอาจารย์คนนี้ชอบสไตล์แบบไหน เขียนแบบนี้จะได้คะแนนประมาณนี้นะ ต้องพัฒนาตรงจุดไหน ซึ่งพอเราแก้ไขตามจุดนั้นแล้วส่งเป็น summative มันก็ดีขึ้นเยอะมาก ๆ ถ้าเราทำตามที่เขาแนะนำมา แล้วเขาเขียนละเอียดมากเลย ไม่ใช่แค่ให้ไป 60 แล้วก็เขียนว่า Good มีแต่แบบว่าตรงจุดไหนมีอ่านแล้วเข้าใจ ตรงไหนที่ควรเพิ่ม ควรแก้ ควรลด จริง ๆ ควรทำทุกวิชา

Durham Law School

Durham University

เพราะ Durham เมืองมันเล็ก มันก็เป็นข้อดีส่วนหนึ่ง พอเล็กแล้วทุกอย่างมันอยู่บริเวณเดียวกัน ไม่ห่างกันมาก เช่นในเมืองเดินไปที่มหาวิทยาลัยที่เราเรียน หรือตรงบริเวณห้องสมุด มันจะอยู่ในระยะที่สามารถเดินได้ทั้งหมดเลย ดังนั้นก็เลยทำให้เราปรับตัวง่าย เพราะว่าทำให้เราไม่ต้องนั่งรถไปนู้นไปนี่ หรือต้องมารู้ว่าสายไหนไปไหน อันนี้ถ้าไม่รู้อะไรก็เดินเอาเลย ทุกอย่างจะอยู่บริเวณแค่จุดตรงนี้ แต่มันก็ครบทุกส่วน มหาวิทยาลัยก็ใหญ่ ห้องสมุดก็มีครบทุกอย่าง ก็รู้สึกว่าอยู่ค่อนข้างสบายเลย

facility ของมหาวิทยาลัยที่ชอบที่สุดน่าจะเป็นห้องสมุด เพราะว่าปกติตอนอยู่ประเทศไทยเราจะไม่ค่อยเข้าห้องสมุด มันอึดอัดและเงียบมาก ๆ พออยู่มันทำให้เรารู้สึกอึดอัด แต่พอตอนอยู่ที่นู้นเราชอบเข้าห้องสมุดมาก บางช่วงจะเปิด 24 ชั่วโมงเลย ให้เราไปนั่งอ่าน หรือไปทำอะไรก็ได้ มันจะมีห้องที่ใช้เสียงได้ หรือมีโซนเงียบ ขึ้นอยู่กับว่าในแต่ละครั้งเราต้องการอยู่ในสังคมหรือบริเวณแบบไหน บางทีเราก็ไม่อยากเงียบ ชอบได้ยินเสียงคนบ้างก็อาจจะไปอยู่ในโซนที่ใช้เสียงได้ และห้องสมุดก็ทันสมัยมาก ไม่เคยรู้มาก่อนว่าการยืมหนังสือมันสามารถทำด้วยตัวเองได้เลย หรือจะขอต่ออายุหนังสือก็ไม่ต้องติดต่อกับเจ้าหน้าที่เลย เราสามารถทำผ่านออนไลน์ได้ และหนังสือมีครบมาก ๆ มีให้เยอะไม่มีหนังสือขาดเลย ก็เลยรู้สึกว่ามันเป็นการสนับสนุนนักเรียนเพราะว่าหนังสือเล่มนึงมันก็แพงมาก เล่มละหลายพัน เวลาเรายืมมา เรายืมได้ต่อเนื่อง มันมีช่วงที่เขียน Dissertation ช่วงเขียนงานที่คนน่าจะแย่งหนังสือกัน หนังสือก็ไม่ขาด ก็เลยรู้สึกว่าเขา support ดี

บริการจากพี่ ๆ Hands On

เราติดต่อ Hands On นานระดับนึงเลยเพราตอนแรกจะวางแผนไปจบปี 4 แล้วจะไปเลย ก็เลยรีบหาข้อมูลตั้งแต่เรียนปี 4 อยู่ ตอนแรกไม่มีความรู้อะไรเลย รู้แค่ว่ามีเพื่อนคนนึงไปเรียนที่ Durham มีรุ่นพี่ไปเรียนที่ King’s แต่เราก็จะพอรู้ชื่อมหาวิทยาลัยบ้าง แต่เราไม่มีความรู้เลยว่าต้องทำอย่างไร ต้องเตรียมตัวอย่างไร ใช้อะไรบ้าง ก็เลยถามเพื่อน ถามรุ่นพี่ว่าไปอย่างไร ติดต่อข้อมูลที่ไหน เพราะเราหาข้อมูลแต่ใน google มันน้อยมากที่จะมีคนมาอธิบายข้อมูลให้เรา เขาก็เลยให้ติดต่อมาที่นี่ เราเลยลองติดต่อมา ทำให้เราได้รู้ว่า ไม่ใช่แค่อยู่ ๆ ก็เดินมาแล้วสมัครได้เลย ต้องเตรียม SoP ต้องมีเขียนหรือเอาใบอื่น ๆ มา เราก็ได้ข้อมูลจากพี่ Hands On ว่าเราต้องเตรียมอะไรบ้าง ต้องสอบอะไรบ้าง ที่ไหนแนะนำ คะแนนที่เราพอจะเข้าได้ และมีคอร์สที่เราสนใจ และต้องสมัครช่วงไหน ได้มาจาก Hands On ทั้งหมดเลยทั้งเรื่องคอร์สเรียน เรื่องมหาวิทยาลัย เพราะเราไม่ได้ฟันธงว่าเราอยากเรียนสายไหน เราก็ไม่รู้ตอนเรียนอยู่ที่ไทยเราก็เรียนแค่แพ่งอาญา เราจะไม่รู้นอกสายเลยว่า การค้าเรียนอะไร ถ้าเรียน IP เขาเรียนอะไร ถ้าเรียน Human Rights เขาเรียนด้านไหน  เพราะเราไม่เคยออกจากfield ที่เราเรียนเลย เราก็เลยให้เขาอธิบายว่ามีอะไรบ้าง จนกระทั่งพาสมัครมหาวิทยาลัย ติดต่อเลือกมหาวิทยาลัย จนมีปัญหาอะไรก็ช่วย อย่างเช่น คุยไปแล้วมหาวิทยาลัยเข้าใจผิดส่ง offer ผิดปีมาให้ ก็ต้องให้พี่ ๆ ช่วยคุยให้ว่าแบบนี้ไม่ใช่นะ คอร์สที่ลงมหาวิทยาลัยเขาทำผิดมา ก็แก้ทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบหลายเดือนมาก คุยบ่อยจนเปลี่ยนคนไปมา แต่ก็ดูแลไม่มีสะดุด แม้คนใหม่จะเข้ามาก็ take over ทุกอย่าง รู้ข้อมูลหมดแล้ว สามารถต่อได้เลยไม่ต้องอธิบายใหม่ว่าเราต้องการอะไร

ตอนแรกเราก็คิดว่า มันจะไม่เสียเงินได้อย่างไร คนจะทำให้เราฟรี ๆ ไม่มีมันเป็นไปได้ ก็เลยลองคุยก่อนถ้ามีเรื่องเสียเงินก็ บ๊ายบาย แต่พอคุยไปมันก็โอเคไม่มีจริง ๆ มันไม่มีค่าใช้จ่ายแอบแฝงเราก็โอเคเลย

จริง ๆ มันสะดวกกว่าทำเองเยอะมาก เราไม่ต้องทำอะไรเองเลย หรือว่าเราไปติดต่อ หลายคนอาจจะทำเองได้ในช่วงการสมัคร แต่เวลาเหตุ Emergency การที่ให้พี่ ๆ เขาตามให้มันเร็วกว่าที่เราทำ เพราะเขาสามารถติดต่อได้โดยตรง ถ้าเราอีเมลไปอาจจะช้ากว่า แล้วบางทีอาจจะไม่ตอบด้วย

สนใจเรียนต่อ Durham University ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ฟรี คลิก

มีอะไรอยากฝากถึงน้อง ๆ ที่สนใจอยากไปเรียนที่ Durham ไหม

ถ้าอยากไปก็รีบไปดีกว่า เพราะค่าเทอม ค่าหอถูกดี เพราะตอนแรกไปค่าเทอมยังแค่หมื่นเจ็ดกว่า ตอนนี้ก็สองหมื่นกว่า ค่าหอก็ขึ้น ดังนั้นรีบไปดีกว่า ไปเร็วก็เสร็จเร็วสำหรับความคิดเรา ตอนนี้ทุกอย่างก็น่าจะดีขึ้นเรื่อย ๆ สถานการณ์ก็น่าจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าได้ไปเรียนที่ campus มันโอเคกว่าเรียนออนไลน์เยอะเลย เพราะตอนเราได้เรียนออนไลน์มันไม่มีความสุขเท่าไหร่ มันไม่ได้เจอเพื่อน ไม่ได้เจออาจารย์ตัวต่อตัว สถานที่การเรียนออนไลน์มันไม่ได้ฟีล ไปเรียนที่นั่นเราจะได้รู้สึกว่าเจอคน เจอสังคม ได้เรียนรู้ว่าคนที่นู้นอยู่กันอย่างไร experience มันสำคัญมากมันตีเป็นเงินไม่ได้ ถ้ามีโอกาสก็อยากให้ไป

สนใจเรียนต่อ Durham University ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ตัวแทนมหาวิทยาลัยอย่างเป็นทางการประจำประเทศไทยฟรี เพียงกรอกแบบฟอร์มด้านล่าง

Enquiry Form

Please provide the following information and we will aim to respond within 48 hours:

Your details
Please enter your first name.
Please enter your last name.
Please enter a valid email address.
Please enter your phone number.
Please select a country you want to study.
Please select a year you want to study.
Please select your preferred branch.

* All fields required (in English)

  • Share this: