รีวิว MA International Relations ที่ Newcastle University โดย Oat

  • Share this:

แนะนำตัวให้เรารู้จักหน่อยค่ะ

Oat: ชื่อเล่นชื่อโอ๊ตครับ ตอนนี้เรียนที่ School of Geography and Politics เรียน MA International Relations ที่ Newcastle University ครับ

ทำไมถึงเลือกเรียนคอร์สนี้

Oat: ตอนปริญญาตรีเรียนด้านนี้ที่ธรรมศาสตร์มาครับ แล้วตอนนี้ยังรู้สึกว่ามันยังอยากเรียนต่อด้านนี้อยู่ ยังสนุกอยู่ ก็เลยเลือกคอร์สนี้เป็น IR เพียวเลยครับ

ตอนแรกมีอีกสาขาเฉพาะทางที่ผมสนใจคือ Political psychology แต่พอปรึกษากับอาจารย์ที่ปรึกษาตอน ป.ตรี อาจารย์ก็ให้คำแนะนำว่า ถ้าเรียน IR แบบกว้าง ๆ ไว้คือเราจะต่อยอดได้หลายทาง และสามารถเลือกทำ dissertation เรื่องที่เราสนใจได้ และไม่ต่างกันมาก ก็เลยลงตัวที่คอร์ส IR นี้ครับ

การเตรียมตัวเรียนต่อ

Oat: ส่วนที่รู้สึกว่านานจะเป็นเรื่องการหาข้อมูล แล้วก็การเลือกมหาวิทยาลัยมากกว่าครับ เพราะว่าตัว IELTS เราก็เตรียมตัวเรียนภาษาประมาณ 1-2 เดือน แล้วก็ไปสอบ แล้วก็ผ่าน โชคดีที่ได้คะแนนค่อนข้างโอเคมา

ส่วนพวกเรื่องเอกสารการสมัครเรียน อันนี้อาจจะตลกนิดนึง คือผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเอเจนซีเลย แล้วผมเคยเรียนภาษากับอีกเอเจนซีนึงมาก่อน แต่เราก็ไม่ได้เลือกเค้า (หัวเราะ) เพราะอยู่ดี ๆ เราก็มาหาข้อมูลเอง เรา search เองทาง Facebook ครับ แล้วเราก็ทักไป ตอนแรกเราก็ไม่รู้ว่าจะเลือกเอเจนซีไหนดี เราก็ทักไปทั่วเลย ทักไป 3-4 เอเจนซี แล้วเราก็มานั่งดู เหมือนการให้บริการ พี่ Hands On ค่อนข้างใส่ใจสุด ผมก็เลยโอเคที่ให้พี่ Hands On ดูแลเรื่องการสมัครเรียนต่อครับ

การบริการจากพี่ Hands On

Oat: พี่ Hands On ก็โอเคครับ ดีมาก โดยส่วนตัวผมได้พี่หลินเป็นพี่ counsellor ที่ดูแลครับ พี่หลินคือตอบทุกอย่าง ถามอะไรก็ตอบได้ บางวันเค้าก็จะขึ้นในไลน์ว่าวันนี้เค้า day off นะ แต่พอถามไปเค้าก็ยังตอบ (หัวเราะ) เราคิดว่าไลน์ทิ้งไว้ เดี๋ยวเค้าก็คงกลับมาตอบ สักพักคือพี่เค้าตอบแล้วอ่ะ หรือแบบบางทีตี 2 ตี 3 ก็ตอบ

คือพี่หลินทำทุกอย่างเลยครับ คือให้ข้อมูลคอร์ส แล้วก็แจกแจงด้วยว่าบางที่บางมหาวิทยาลัยหรือบางคอร์สเรียนมันจะแตกต่างกันตรงที่มันจะเป็น MSc กับ MA นะ เราชอบวิจัยแบบไหน แล้วแต่ละมหาวิทยาลัย ranking เป็นยังไง เพราะเราก็ concern เรื่อง ranking ด้วย แบบทุนมีให้ยังไง พี่หลินแนะนำทุกอย่างครับ

สนใจเรียนต่อ Newcastle University ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ฟรี คลิก

มาเรื่องทุนบ้าง เรามีเทคนิคในการขอทุนยังไง เผื่อน้อง ๆ ที่เค้าสนใจอยากจะได้ทุนของมหาวิทยาลัยเยอะ ๆ บ้าง

ข้อมูล: โอ๊ต เด็กนักเรียนทุน Vice Chancellor International Scholarships จาก Newcastle University

Oat: คือทุนมหาวิทยาลัยอย่างแรกเลยคือเราต้องหาก่อนว่าเกณฑ์เราเข้ากับตัวทุนนั้นมั้ยทางมหาวิทยาลัยก็จะมีกำหนดไว้อยู่ว่าเค้าต้องการคะแนนอะไร เท่าไหร่ ส่วนมากเท่าที่เห็นนะครับ ถ้าเป็นมหาวิทยาลัยที่ rank กลางหรือกลางสูงขึ้นไปเนี่ย เค้าจะเอา require เกรดตอน ป.ตรี ที่ 3.00 ขึ้นไป แล้วเค้าก็จะมีพิจารณาให้เขียนขอทุนว่าทำไมเราถึงต้องได้ทุนนี้ หรือบางทุนเค้าก็จะ auto apply ให้เลย แบบสมัครมาแล้วเกรดถึงก็ได้เลย ก็จะมีทุนหลายประเภทครับ

ส่วนทุนที่ผมได้มันชื่อว่า Vice Chancellor International Scholarships มันเป็นทุนแบบ auto apply เป็นแบบส่วนลดค่าเล่าเรียน 25% แต่ว่ามาที่นี่ก็มีทุนเปล่าอย่างอื่นให้ขออีก อาจจะไม่เยอะมากแต่ต้องเขียนขอไปสู้กับคนในมหาวิทยาลัยหน่อยนึง

คือถ้าน้อง ๆ ที่สนใจก็ลองถามพี่ Hands On ดูก็ได้ครับว่าที่มหาวิทยาลัยมีทุนอะไรบ้าง ต้องทำยังไงในการสมัครขอทุนครับ

IR ก็มีสอนหลายที่เนอะ แล้วทำไมถึงลงตัวที่ Newcastle University

Oat: ตอนแรกคือดูเรื่อง ranking ก่อนเลยครับ แต่ตอนที่เรียนป.ตรีปีสุดท้ายมีทำ paper งานและเจองานเขียนที่ inspire เรามาก ๆ เป็นงานวิจัยที่รู้สึกว่านี่แหละใช่เลย ซึ่งอาจารย์ที่เขียนงานวิจัยนั้นสอนอยู่ที่ Newcastle University ครับ

บวกกับที่ Newcastle University จะดังในสาย sub IR มากกว่า mainstream ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ผมชอบ ก็เลยลงตัวที่นี่ครับ

รีวิวคอร์ส MA International Relations

คอร์สนี้มันเจาะลึกกว่ารัฐศาสตร์ที่เราเคยเรียนมามั้ยคะ?

Oat: แน่นอนครับ การเรียนปริญญาโทมันลึกกว่าอยู่แล้ว คือเรียน เรียนไม่เยอะเท่าตอนป.ตรี เพราะว่าที่อังกฤษมันเรียนวันละ 2 ชั่วโมง 3 วันภายใน 1 อาทิตย์ อะไรแบบนี้ เรียนชิล ๆ แต่ว่าที่ลึกคือเหมือนเราเรียนรากของสาขานี้เลย ตอนป.ตรีเราจะเรียนผสมรากนิดนึง แล้วก็เรียนแบบท่องเป็นนกแก้วนกขุนทองนิดนึง อย่างสายผมตัว IR มันจะเรียนแบบใช้กรอบแนวคิดนึงเพื่อการอธิบายเหตุการณ์นึงบนโลก แต่ว่าที่นี่เราต้องมาอ่านรากของกรอบแนวคิดว่า เฮ้ย จริง ๆ แล้วตัวนี้มันพัฒนามาจากปรัชญาตัวไหน ก็ถือว่าค่อนข้างลึกกว่าพอสมควรเลยครับ

ส่วนเนื้อหาจริง ๆ ครอบคลุมแทบทุกด้านครับ คือ ทาง IR มันจะมีเป็น mainstream IR เลย หรือแบบว่า sub stream IR

Mainstream IR กับ Sub IR มันต่างกันยังไงบ้าง อธิบายภาพให้คนที่ไม่ได้อยู่สายนี้ให้ฟังหน่อยค่ะ

Oat: Mainstream IR คือเรียนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อย่างที่เรามีภาพจำเลยก็จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการทูต จริง ๆ เค้าจะเรียกติดปากกันที่ไทยว่ารัฐศาสตร์การทูต เราก็เรียนเรื่องการทูตบ้าง เรียนเรื่องสงคราม เศรษฐกิจ อะไรอย่างนี้ มันก็จะเป็นเรื่องพวกนั้นหลัก ๆ เลย ตามที่เราเห็นได้ในข่าวทั่วไป

ส่วนเรื่อง Sub IR มันก็จะเป็นเรื่องที่เรามักจะมองไม่ค่อยจะเห็นได้ในข่าวมากนัก หรือเราไม่ค่อยรู้ตัวว่ามันมีอยู่ เช่น เรื่องวัฒนธรรมมันมีผลกับการทูตยังไงซึ่งส่วนนี้เรายังอยู่ในกรอบของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอยู่ หรือแม้กระทั่งเรามานั่งวิเคราะห์ภาษา สัญลักษณ์ บางทีมันมีผลกระทบกับทาง IR ค่อนข้างเยอะ มีคลาสนึงค่อนข้างตะลึงมาก ๆ เหมือนเราเรียนเรื่องแผนที่ เราก็มานั่งดู แล้วอาจารย์ก็บอกว่าแผนที่โลกมันไม่แม่นยำนะคุณ จริง ๆ แล้วประเทศนี้มันไม่ได้ใหญ่ตามที่มันควรจะใหญ่ตามในแผนที่ เราก็รู้สึกว่ามันค่อนข้างว้าวเหมือนกัน และส่วนนี้ไม่ได้มีทุกที่ที่สอนเราแบบนี้ครับ

สนใจเรียนต่อ Newcastle University ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ฟรี คลิก

วิธีการสอนของอาจารย์หล่ะคะเป็นยังไงบ้าง

Oat: อันนี้มีหลากหลายเลยครับ อันนี้สามารถเม้าท์อาจารย์ได้มั้ยครับ? (หัวเราะ) คือตอนนี้เราเรียนอยู่ 3 วิชา แล้ววิชานึงมันเป็นวิชา Thinking about Politics เหมือนเป็นวิชา intro สำหรับคนที่ไม่เคยเรียนรัฐศาสตร์มาก่อน อันนี้ก็ไม่มีอะไรมากครับ อาจารย์ก็ nice แฮปปี้ดี เค้ารู้ว่าไม่เคยเรียนมาก่อน เค้าก็ไม่ได้คาดหวังอะไรในตัวเรามาก ซึ่งเราเคยเรียนมาแล้ว เราก็ไม่ได้นักหนาอะไรมาก

อีกวิชานึงเป็นวิชาที่คนเรียนน้อยมากกกกก ล่าสุดในคลาสมีอยู่ 2 คน เรียนกัน 2 คนในห้อง เหงา ๆ max สุด 6 คน อันนี้เป็นวิชาที่เรารักมากสุด เป็นวิชาที่เรียกว่า Politics of Memory เป็นการเมืองเรื่องความทรงจำ คือตอนแรกเรากลัวเพราะเราเป็นคนเรียนด้านประวัติศาสตร์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เราไม่ถนัดการจำเลย ไม่ชอบท่องจำ แต่ว่าพอมาเรียน มันไม่ใช่การท่องจำครับ มันก็แค่เรียนว่าความทรงจำของคนเรามันมีผลกระทบกับปัจจุบันยังไงบ้าง มันมีผลกระทบกับการเมืองยังไงบ้าง แล้วอาจารย์ใจดีมาก อันนี้ก็เป็นหนึ่งใน Sub IR ที่บอกว่ามันไม่ค่อยมีที่ไหนสอนเท่าไหร่ เพราะว่าที่นี่เค้าเด่นด้านนี้ด้วย

แล้วก็อีกวิชานึงเป็นตัว Theories of International Relations ถ้าเด็กที่เรียน IR ที่ไทยมาก่อนก็จะเป็นคนที่คุ้นเคยอยู่แล้วแหล่ะ ทุกคนต้องเรียนเป็นทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ วิชานี้ต้องบอกเลยว่าเป็นวิชาที่เราชอบมาก เป็นวิชาโปรดเลยตอนป.ตรี แต่พอมาที่นี่ อื้อหือ (หัวเราะ) ตอนป.ตรีมันเรียนตรงไปตรงมา เราเรียนว่าทฤษฎีนี้มันเป็นอย่างนี้นะ เหมือนเราใส่แว่นแล้วเราก็มองโลกตามในแบบของมัน แต่ปรากฏว่าพอมาที่นี่มันไม่ใช่หว่ะ เราคาดหวังว่ามาเรียนถ้ามันหนักก็คงเพราะอ่าน case study เยอะ แต่ไม่เลย อาจารย์วิชานี้มีความคาดหวังสูงมากครับ (อันนี้อาจจะไม่ใช่ stereotype นะครับ แต่ว่าด้วยความที่เค้าเป็นคนเยอรมัน แล้วเค้าคาดหวังสูงมาก เค้าคาดหวังว่าที่เราเขียนออกมาจะสามารถไปตีพิมพ์อะไรแบบนั้นเลย) มีคอยบอกเราตลอดว่า be careful with your wording หรือ choose words carefully มันเป็นวิชาที่ทุกคนเข้าไปแล้วออกมาพูดแบบเดียวกันเลยว่า “รู้สึก intimidated” แม้กระทั่งคนตัวอังกฤษเองก็ตาม คือเข้าไปแล้วไม่มีใครรู้เรื่อง ไม่มีใครรู้เลยว่าเค้ากำลังพูดอะไรอยู่ เข้าไปนั่งปล่อยใจลอย ๆ (หัวเราะ) จริง ๆ ปล่อยใจจริง ๆ พี่ มันยากมาก ยากแบบ หูว! (พี่ Hands On เชื่อแล้วค่ะว่ายากจริง)

อันนี้พูดถึงน้อง ๆ ที่กำลังวางแผนหรืออยากมาที่นี่นะครับ ถ้าภาษาอังกฤษไม่ได้แน่นมากนัก ก็อาจจะมีปัญหานิดนึงเรื่องไม่คุ้นชินกับการอ่าน text ภาษาอังกฤษเยอะ ๆ และมันจะต้องอ่านในภาษาที่แบบ academic และเฉพาะทางมาก ๆ อย่าง philosophy เป็นต้น อย่างงาน social science บางงานมันอ่านง่ายก็จริง แต่บางงานมันเขียนแบบ ขอโทษนะคือเค้าคิดอะไรตอนเขียนอ่ะ (หัวเราะ) คือมันยาก มันต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจ

พอเราเรียนสายสังคมศาสตร์จ๋า ๆ ผู้เขียนเค้าจะ aware ว่าภาษามันมีผลต่อความเข้าใจของเรา เวลาอ่านอะไรสักอย่าง คืออ่านไปแล้วเข้าใจสัก 90% หรือแม้กระทั่งเราคิดว่าเราเข้าใจ 100% ก็ตาม คนเรามันจะทุบข้อมูลเหมือนเรา shape information ให้เข้าหัวอีกที คนเขียนงานเลยเขียนในภาษาที่ใช้บางคำเป็นภาษาเฝรั่งเศส บางคำเป็นภาษาเยอรมัน เรียกว่าใช้กำลังในการอ่านหนังสือหนักสุด ๆ เลยพี่ ก็คือวิชานี้เราห้ามโดดเรียนเลย ต้องเข้าไปนั่งฟังอาจารย์ในห้องเพื่อช่วยให้เราเข้าใจมากขึ้นสักนิดก็ยังดีครับ

บรรยากาศในห้องเรียนหล่ะเป็นยังไงบ้าง

Oat: ถ้า IR เพียว ๆ ที่เคยเรียนรวม sec ก็ประมาณ 20-30 คน ไม่เกินนี้ครับ

ใน 1 วิชาถ้าคนลงเรียนเยอะ ๆ ก็จะมี 2 sections คนรวมกันก็จะมีประมาณ 20-30 คน และก็จะมีเพื่อนจากคอร์สคล้าย ๆ กันด้วย เช่น International Development หรือ Politics อะไรแบบนี้ครับ

บรรยากาศในห้องเรียนอันนี้ก็แล้วแต่ตัววิชา ถ้าพูดแบบจริงใจเลยคือ น้อง ๆ ที่มาที่นี่ ช่วงแรก ๆ ถ้าสมมุติว่าหาเพื่อนไม่ได้ มาถึงมันอาจจะเหงา ๆ สักหน่อย

ต้องบอกว่าคอร์สนี้คน native เยอะมาก ประมาณ 80% ของทั้งหมดเลยครับ และ nature ของคนอังกฤษส่วนใหญ่เค้าก็จะเกาะกลุ่มกับคนอังกฤษเอง หรือคนจีนเค้าก็จะจับกลุ่มของเค้ากันเอง เรามาแรก ๆ ก็อาจจะยากตรงการหาเพื่อน การเข้ากลุ่มเพื่อนหน่อยครับ

Assignment ต่าง ๆ ของคอร์สนี้เป็นยังไงบ้างคะ?

Oat: อันนี้โชคดีหน่อยครับ มันไม่มีงานยิบย่อยเลย มีแค่ final paper 3 ตัว แค่นั้นเลย ใครไม่อยากทำพรีเซนต์มาเรียนคอร์สนี้ครับ

คือจริง ๆ บางวิชาก็มีให้ทำ presentation บ้าง แต่วิชาที่ผมเลือกมันเป็นวิชาที่คนเค้าไม่ค่อยลงกัน ก็เลยนั่งเรียนกัน 2 – 3 คน ก็ไม่ได้ต้องทำงานอะไรยิบย่อยครับ

รีวิว Newcastle University

Facility ต่าง ๆ ที่ทางมหาวิทยาลัยจัดเตรียมให้เรามีอะไรบ้าง?

Oat: เวลาอาจารย์สอนแล้วอัดวิดีโออันนี้คอร์สผมไม่มีการอัดคลิปให้นะ ต้องเข้าคลาสตลอดเหมือนเป็นการบังคับ แต่ว่าอันนี้มันแล้วแต่ละอาจารย์บางคนเลยครับ

ทางมหาวิทยาลัยก็จะมีเว็บที่ให้ข้อมูลเราเช่น provide modules ให้ เค้าจะให้มาเลยว่า text อะไรที่เราต้องอ่านสำหรับวิชาไหน วิชานึงเราจะเฉลี่ยอ่าน 3 texts ต่ออาทิตย์ มานี่ได้อ่านอ้วก ๆ ไม่ต้องห่วงครับ (ยิ้ม) แต่ว่า Theories of International Relations เป็นวิชาที่ได้อ่านน้อย และอาจารย์ก็จะมีวิดีโอที่อาจารย์เค้าอัดไว้ อารมณ์แบบ “ถ้าคุณไม่เข้าใจ ซึ่งผมรู้อยู่แล้วว่าคุณไม่เข้าใจ ก็มาฟังซะ” (หัวเราะ)

ส่วนยิม เราเคยไปรอบนึง โอเคนะครับ ใหญ่เลย ที่นี่เค้าดันเรื่อง Sport science ด้วย ทางมหาวิทยาลัยก็เอาคณะที่เกี่ยวกับกีฬาไปรวมกันอยู่โซนนั้น

ห้องสมุดก็มีห้องสมุดหลัก ๆ อยู่ 3 ที่ แล้วก็จะมีห้องสมุดย่อยประจำคณะอีก อันนี้ก็แล้วแต่ว่าอยากจะไปนั่งที่ไหน

ที่ไม่เหมือนที่มหาวิทยาลัยอื่นก็น่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์ครับ ตรงนั้นมันจะมีห้องสมุดลับ ๆ ให้นั่งอ่านหนังสือได้ เปิด 10 โมง ปิดประมาณบ่าย 2 โมง มันไม่ได้เปิดนานแต่เหมาะกับคนที่อยากหาพื้นที่เงียบ ๆ จริง ๆ ก็ไปได้อยู่บนพิพิธภัณฑ์ชั้น 2 เลยครับ

บรรยากาศมหาวิทยาลัย Newcastle เป็นยังไงบ้าง

Oat: บรรยากาศมหาวิทยาลัยร่มรื่นดีครับ มหาวิทยาลัยค่อนข้างใหญ่ แต่มันอาจจะแปลกหน่อยถ้าคนที่คาดหวังว่ามันจะร่มรื่นแบบติดภาพมหาวิทยาลัยที่ต้นไม้เยอะแยะ ที่นี่มันมีความเป็นเมืองผสม ๆ จะฟีลเมืองเก่าผสมกับเมืองใหม่ อาหารการกินก็ครบครับ ใต้คณะแทบจะทุกคณะเลยก็จะมีร้านอาหารหรือร้านกาแฟให้

สนใจเรียนต่อ Newcastle University ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ฟรี คลิก

รีวิวเมือง Newcastle ประเทศอังกฤษ

ความเป็นอยู่ใน Newcastle บ้าง เป็นยังไงคะ?

Oat: อันนี้ถ้ามาเรียนและไม่ใช่คนที่ชอบเที่ยว ชอบดื่ม ก็คิดไว้เลยว่ามาหาความรู้เนอะ (หัวเราะ) เพราะที่นี่ไม่ใช่เมืองเงียบ ค่อนข้างเป็นเมืองที่โหวกเหวกโวยวาย ได้เห็นคนเมาเต็มถนน แต่ถ้าคนชอบก็คือจะชอบมาก เพราะเดิน 10 ก้าวก็เจอบาร์ เดิน 10 ก้าวเจอผับ เมืองนี้มันเป็นโนหนึ่ง (NO.1) ที่ขึ้นชื่อเรื่อง night life ครับ

แต่มันก็มีที่เที่ยวสำหรับคนไม่ใช่สายเที่ยวกลางคืนเหมือนกัน สายพักผ่อนหย่อนใจ สวนสาธารณะเค้าก็เยอะดี หรือว่าถ้าอย่างเราก็จะขึ้นรถไฟไปทะเล มันจะมี Whitley bay เราก็จะไปเดินเล่นแถวทะเลตอนที่อากาศยังไม่หนาวก็ทำได้เหมือนกันครับ

ช่วงอาการหนาวหรือช่วงที่มาแรก ๆ อาจจะหดหู่แล้วก็เหงาสักหน่อย ด้วยบรรยากาศมันไม่ค่อยมีแดดอาจจะทำให้เราคิดถึงเมืองไทยบ่อย แต่ผมใช้คำว่าอยู่ที่นี่ก็อยู่ได้แล้วกันครับ

กิจกรรมนักเรียนไทยที่นี่เป็นยังไงบ้าง?

Oat: การหาสังคมที่นี่ ถ้าหาเพื่อนต่างชาติแล้วไป get along ด้วยกันได้ก็ดีนะครับ มันก็จะได้ไม่เหงาดี ส่วนเรื่องเพื่อนถ้ามาแล้วอยากหาเพื่อนคนไทย ก็จะมีประมาณ 2 ทางก็คือที่นี่จะมี Thai society เป็นฟีลชมรมเหมือนที่บ้านเรา เค้าก็มีจัดกิจกรรม มีจัดคริสมาสต์ มีฮาโลวีน มีไปเล่นเกมด้วยกัน ไปเที่ยวด้วยกัน ไปเดินเล่นด้วยกัน อะไรแบบนี้ เข้าไปก็อบอุ่นแน่นอน ไม่เหงา

ส่วนที่สองก็คือไปทำงาน ร้านอาหารไทยแถวนี้เรียกได้ว่าค่อนข้างเยอะอยู่ ไปถึงก็การันตีเลยครับเราได้เจอคนไทยแน่นอน ไม่ใช่แค่นักเรียน แต่เราจะได้เจอคนไทยที่หลากหลายด้วยครับ

รีวิวเรื่องงานพาร์มไทม์หน่อย เป็นยังไงบ้างคะ?

Oat: งานพาร์ทไทม์ได้เงินค่อนข้างโอเคครับ นี่ทำวันละ 5 ชั่วโมงก็ได้ 50++ นะครับ เค้าจะมี offer ให้ ถ้าสมมุติเราเป็นเด็กป.ตรี แล้วเรามี term break เราก็สามารถทำเป็น full time ได้เลย ถามว่างานหนักมั้ย งานก็คืองานแหล่ะเนอะ ยิ่งช่วงเทศกาลมันก็จะค่อนข้างหนักหน่อย ส่วนตัวเราทำเป็น service room ครับ เป็นเหมือนห้องที่อยู่บนหัวครัว แล้วอาหารมันจะลอยขึ้นมาบนลิฟท์ ร้านที่ผมทำมันไม่ถึงกับเป็น fine dining แต่ว่าถึงในขั้น luxury อยู่ครับ เค้าจะมีเด็กเสิร์ฟที่ประจำแต่ละโซนของร้าน แล้วด้วยความที่เราเป็นผู้ชายแล้วร่างกายดูแข็งแรง เราก็จะได้งานยกอาหารไปให้

ที่ร้านมีข้าวให้กินทุกวันศุกร์ วันเสาร์ครับ ก็ได้กินอาหารไทยฟรีบางมื้อ แล้วก็มีโบนัสด้วยครับ โบนัสออกทุก 4 หรือ 6 เดือนครับ

อยากฝากอะไรถึงน้อง ๆ ที่เค้าอยากเรียนต่ออังกฤษหรือสนใจ IR มาเหมือนเราบ้างไหมคะ?

Oat: สำหรับน้องที่จะมาเรียนต่ออังกฤษนะครับ ก็ถ้าอยากมาเรียนจริง ๆ แล้วเรามีแพลนแน่ ๆ แล้วก็อยากให้วางแผนดี ๆ อยากได้ทุนไหน อยากได้มหาวิทยาลัยอะไร ก็ต้องไปนั่งวิเคราะห์ตาม criteria เลยครับว่ามหาวิทยาลัยนี้เอา IELTS ประมาณนี้นะ

step ถัดไปตอนมาถึงที่นี่ การเรียนที่นี่จะไม่เหมือนการเรียนที่ไทย มันไม่ใช่เรียน 4 เดือนพัก 2 เดือนหรือเรียน 4 เดือนแล้วปิดเทอมอะไรแบบนี้ ที่นี่มันจะเรียนเป็น 3 เทอม แล้วส่วนใหญ่ก็จะพักประมาณ 1 เดือน เทอมสุดท้ายเค้าจะปล่อยให้ทำ dissertation อย่างเดียวเลย ไม่ต้องมาเรียน อยู่ที่นี่ต้องกระตือรือร้นประมาณนึง ต้องถีบตัวเองประมาณนึงครับ เพราะว่าที่นี่มันไม่ใช่วัฒนธรรมแบบไทยจ๋า มาที่นี่แล้วมันไม่มีใครช่วยเรา

ส่วนตัวผมคิดว่ามาถึงที่นี่เพื่อนอาจจะไม่ได้หาง่ายขนาดนั้น มันอาจจะเป็นสายเฉพาะทางด้วยคือคนที่มาเรียนก็น้อยมาก ๆ  แล้วคนที่เรียนก็เป็น native ค่อนข้างเยอะด้วย ถ้าไปเรียนพวก MBA ก็อาจจะมีเพื่อนมากกว่าสายเฉพาะทางแบบผม

คือต้องบอกน้อง ๆ ที่อยากมาต่อสายนี้ อย่างที่อาจาย์ผมบอกมาว่า “การมาเรียนสายนี้โดยเฉพาะการมาเรียน Politics การเรียนเกี่ยวกับมนุษย์ สิ่งที่มนุษย์มันสร้างขึ้นมามันไม่ง่ายนะ ถ้ายูอยากเรียนอะไรที่ตรงไปตรงมา ให้ยูไปเรียนสายวิทย์ แต่การเรียนสายสังคมจะต้องมี motivation และต้องมีใจรักมันมาก ๆ ไม่อย่างนั้นเรียนแล้วเราจะ suffer”

แต่ถ้าใจรัก ก็ลุยเลยครับ

 

สนใจเรียนต่อ Newcastle University หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ตัวแทนมหาวิทยาลัยอย่างเป็นทางการประจำประเทศไทยฟรี เพียงกรอกแบบฟอร์มด้านล่าง

Enquiry Form

Please provide the following information and we will aim to respond within 48 hours:

Your details
Please enter your first name.
Please enter your last name.
Please enter a valid email address.
Please enter your phone number.
Please select a country you want to study.
Please select a year you want to study.
Please select your preferred branch.

* All fields required (in English)

  • Share this: