Hands On Education Consultants

รีวิวคอร์ส Marketing จาก Lancaster University

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 30 กันยายน ปีที่แล้ว…. ใครกันนะที่ร้องไห้ขี้มูกโป่งกลางสนามบินเพราะจะต้องห่างจากคุณพ่อคุณแม่เป็นครั้งแรกในชีวิต เพื่อมาเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ…?

นับตั้งแต่วันนั้นมาจนถึงวันนี้ เวลาก็กำลังจะวนมาบรรจบครบ 1 ปีแล้วล่ะค่ะ และใครคนเดิมคนนี้ก็กำลังจะปล่อยโฮกลางสนามบินอีกรอบ

แต่คราวนี้ ความรู้สึกมันแตกต่างออกไป… ไม่อยากกลับเลยอ่ะ!

อ่ะแฮ่ม! อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะอยากถามว่า อะไรจะเหมือนนิยายซะขนาดนั้น…อ่ะๆ เอาล่ะค่ะ งั้นเรามาเข้าสู่โหมดทางการกันเลยดีกว่าเนอะ ก่อนอื่น ขอแนะนำตัวก่อนนะคะ ชื่อ อุ้ม ภัทร์ศยา พงษ์พานิช จาก MSc Marketing จาก Lancaster University ค่ะ อุ้มจะมาถ่ายทอดเรื่องราวที่บอกเลยว่าครบรส จากการเรียนคอร์ส Marketing ที่นี่

หนึ่งเหตุผลที่อยากเขียน blog นี้ขึ้นมาเป็นเพราะว่า ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่อุ้มเพิ่งได้รับ offer จากทางมหาวิทยาลัย สิ่งที่ทำแทบจะทุกวันเช้าเย็นก็คือนั่งเสิร์ชหาข้อมูลเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยแล้วก็คอร์สที่เลือกค่ะ เรียกได้ว่า ใช้ keyword ทุกคำเท่าที่คิดได้ ใส่เข้าไปในกูเกิ้ล Lancaster ดีไหม Lancaster เมือง Lancaster คนไทย Lancaster รีวิว แต่ผลการเสิร์ชนั้น… จะเรียกว่างมเข็มในมหาสมุทรก็คงไม่เว่อเกินไปนะอันที่จริง เพราะรีวิวแบบเน้นๆเกี่ยวกับที่นี่ค่อนข้างน้อยค่ะ (แต่ก็ต้องขอบคุณกระทู้ทั้งหลายเหล่านั้น) แต่ด้วยคำแนะนำจากพี่ๆ Hands On ประกอบกับภาพรวมของ ranking สุดท้ายแล้วอุ้มก็เลยตัดสินใจลงหลักปักฐานที่นี่แหละ คิดว่า blog นี้น่าจะเป็นประโยชน์กับน้องๆ รุ่นถัดไปที่สนใจมาเรียนที่นี่ จะได้ไม่ต้องนั่งเสิร์ชกันข้ามวันข้ามคืนขนาดนั้น

มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า รุ่นอุ้มมีนักเรียนประมาณ 60 คน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเอเชีย คนอังกฤษแท้ๆ ไม่เยอะเท่าไหร่ค่ะ ชาวยุโรปประปราย ส่วนใหญ่จะเพิ่งจบตรีกันมาหมาดๆ แล้วก็มาจาก background ที่ค่อนข้างหลากหลายมาก นี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คอร์สนี้สนุกสำหรับอุ้ม เพราะเวลาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน เหมือนเราได้เปิดโลกมองเห็นมุมมองใหม่ๆ แล้วแต่ละคนก็จะมีความถนัดเฉพาะตัวที่ต่างกันไป พอได้มาทำงานกลุ่มด้วยกัน มันก็ส่งเสริมกันและกันดีค่ะ

เราจะมีห้องเรียนประจำอยู่ที่ Lancaster University Management School ค่ะ ก็จะหมุนเวียนห้องกันไปแถวนั้นๆ ยกเว้นบางวิชาที่ต้องไปเรียนที่ห้องคอมบ้าง ตัวตึกเรียนกว้างขวาง มีร้านกาแฟ Costa ยอดฮิตของชาวอังกฤษด้วย

วิชาเรียนก็จะแบ่งเป็น lecture ก็คือนั่งเรียนปกติ กับ seminar ซึ่งอันนี้เราจะนั่งฟังเฉยๆ ไม่ได้ จะต้องแสดงความคิดเห็น ทำกิจกรรมกลุ่ม ออกไปพรีเซนต์ ช่วยพัฒนาทักษะการพูดของเราได้เยอะเหมือนกัน บางคนอาจจะคิดว่ามันกดดัน อยากนั่งฟังเฉยๆ มากกว่า แต่เอาเข้าจริง บรรยากาศค่อนข้างผ่อนคลาย เพราะที่นี่มันไม่มีคำว่าถูกหรือผิดนะคะ ทุกคนแสดงความคิดเห็นกันได้อย่างอิสระ จากแรกๆ ที่เกร็งๆ สุดท้ายกลายเป็นคาบที่บันเทิงเลยแหละ

หลักสูตรของที่นี่แบ่งเป็น 3 เทอมค่ะ เทอมแรกต้องเรียนทั้งหมด 3 ตัว วิชาแรกคือ Markets มี case study จริงๆ มาให้วิเคราะห์ ทำให้เราเข้าใจกลไกของตลาดมากขึ้น จากที่เคยคิดว่า Market หมายถึงตลาดที่ไปเดินจ่ายกับข้าวยามเช้าเพียงอย่างเดียวอ่ะนะ…­­ ส่วนวิชา Marketing ก็เป็นการปูพื้นเกี่ยวกับการตลาดแบบเน้นๆ ค่ะ ทั้งความสำคัญ องค์ประกอบ เทคนิคต่างๆ ครบถ้วน วิชานี้ไม่มี coursework แหน่ะ อย่าเพิ่งดีใจ…การไม่มี coursework นั้นหมายความว่า คะแนนมาจากการสอบล้วนๆ 100% กันไปเลย แต่วิชานี้ถือว่าเก็บเกรดได้ง่ายที่สุดในบรรดาวิชามหาหินทั้งหลาย ถ้าตั้งใจอ่านเน้นๆ รับรองว่าคะแนนน่ารัก

Consumer Behavior เป็นวิชาที่ชอบที่สุดเป็นการส่วนตัว เพราะรู้สึกว่าเป็นอะไรที่ใกล้ตัว เราทุกคนเป็นผู้บริโภคอยู่แล้วเนอะ พอเรียนไปเรื่อยๆ ก็จะรู้สึกว่า… โอ้โห ฉันเคยคิดอะไรแบบนี้ตอนจะซื้อของด้วย? สนุกสนานค่ะ coursework เป็นงานเดี่ยว ให้ทำโปสเตอร์ จะวาดเอง ตัดแปะ หรือตัดต่อในคอมแล้วปริ้นออกมาก็ไม่ว่ากัน โปสเตอร์จะต้องอธิบายลักษณะการบริโภคจับจ่ายใช้สอยของเรา เป็นการวิเคราะห์ตัวเราเองค่ะ แนะนำว่าให้เลือกอะไรก็ตามที่เรามี inner แบบแรงๆ ไปเลย

เมื่อผ่านเทอมแรกมาได้ ในเทอมที่ 2 ก็มาสาหัสกันต่อค่ะ 555 ครึ่งแรกเราจะต้องเรียน Strategic Marketing หรือที่เรียกกันในหมู่เด็ก Marketing ว่า Markstrat วิชานี้เป็นวิชาโปรดของชาวเอเชีย เราจะต้องบริหารจัดการธุรกิจจำลองผ่านโปรแกรมค่ะ ต้องกำหนดว่า จะผลิตสินค้ากี่ชิ้น ตั้งราคาเท่าไหร่ โปรโมตสินค้ายังไง จะปล่อยสินค้าตัวใหม่เมื่อไหร่ เป็นต้น เหมือนกับว่าเราเป็นพนักงานบริษัทจริงๆ แต่ทุกอย่างเกิดขึ้นในโลกออนไลน์ค่ะ เราจะมีบริษัทคู่แข่งก็คือกลุ่มอื่นๆ แข่งกันว่าใครจะทำกำไรหมุนเวียนให้บริษัทได้มากที่สุด ตอนจบคอร์สก็จะมีการพรีเซนต์ผลงานของบริษัทพร้อมกับเสนอแผนของบประมาณในปีถัดไปด้วย เป็นคอร์สที่หมดพลังงานไปเยอะมากแต่สนุกและลุ้นสุด อีก 1 วิชาบังคับก็คือ Marketing Communications วิชานี้ใครที่สนใจทำงานด้านงานโฆษณาน่าจะถูกใจและนำไปประยุกช์ใช้ได้จริงเลยด้วย

ครึ่งหลังของเทอม 2 จะเป็นวิชาเลือกค่ะ มีให้เลือก 4 วิชา คือ Business to Business, Consumers ต่อยอดจากเทอมแรก, Digital Marketing แล้วก็ Branding ค่ะ จริงๆแนะนำว่าให้ถามตัวเองก่อนว่าอยากทำงานแนวไหน แล้วเลือกวิชาที่เหมาะกับงานที่เราสนใจ วิชาที่ฮิตจริงๆ ก็คือ Digital Marketing และ Branding ซึ่งอุ้มเองก็เลือก 2 ตัวนี้ค่ะ เพราะส่วนตัวสนใจ online marketing อยู่แล้ว แล้วก็รุ่นพี่บอกมาว่า Branding สนุกดี coursework ทั้ง 2 วิชาเป็นงานกลุ่ม เลือกสมาชิกกลุ่มเองได้ ถ้าถามว่าท้อไหม ฉันตอบเลยว่ามาก (เพลงมา) แต่สุดท้ายก็ผ่านมาได้ #ปาดน้ำตา

และเมื่อเราเดินทางมาถึงเทอมสุดท้ายก็ได้เวลาของสิ่งที่เรียกว่า Dissertation ค่ะ ซึ่งเป็นตัวชี้เป็นชี้ตายว่าเราจะได้ปริญญากลับบ้านไปไหม…เพราะว่าตัวนี้ตัวเดียวปาไป 60 หน่วยกิตกันเหนาะๆ…สิ่งที่คอร์ส Marketing ที่นี่แตกต่างจากที่อื่นก็เป็นเพราะว่าเราต้องทำ Dissertation เป็นคู่หรือ 3 คนค่ะ และไม่ใช่ว่าคิดๆ หัวข้อกันเองแล้วก็เสนออาจารย์ แต่เราจะได้ทำงานกับบริษัทจริงๆ ในอังกฤษ! แต่ละกลุ่มจะถูกจับคู่กับบริษัทในกลุ่มธุรกิจที่หลากหลาย ทางบริษัทจะบอกปัญหาด้านการตลาดให้เราฟัง และหน้าที่ของเราก็คือ ทำ research เก็บข้อมูล วิเคราะห์ต่างๆ นานา เพื่อเสนอแนวทางแก้ปัญหาให้บริษัท ฟังดูยิ่งใหญ่ใช่ไหมคะ…มันยิ่งใหญ่แบบนั้นจริงๆ เลยจ้า เราต้องใช้ทักษะทุกอย่างที่เรียนมาใน 2 เทอมมาประยุกต์ใช้ในงานชิ้นนี้กันหมดเปลือก แถมยังต้องประสานงานกับลูกค้าเป็นระยะ แต่ไม่ต้องกังวลเรื่องการเก็บข้อมูลนะคะ ทางคณะก็มีคอร์สเตรียมความพร้อมสำหรับเรื่องนี้เป็นพิเศษด้วยค่ะ เรียนควบคู่ไปกับวิชาหลัก มีงานและมีสอบย่อยเก็บคะแนนเอาไว้รวมกับคะแนน Dissertation

 

จบเรื่องการศึกษากันไปแล้ว ขอมาแอบเม้าเรื่องการใช้ชีวิตที่นี่หน่อย หลายคนอาจจะคิดว่า Lancaster เป็นเมืองที่บ้านนอกมาก…มาค่ะมา มาจับเข่าคุยประเด็นนี้กัน ที่นี่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีความเมืองสูงแบบที่อื่น แต่ต้องบอกเลยว่ามีทุกอย่างครบ เอาเป็นว่าใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบาย แม้ที่นี่ไม่ได้มีถนนชอปปิ้งใหญ่โต ไม่ได้มีร้านอาหารให้เลือกเยอะแยะ ไม่ได้มีกิจกรรมหรือที่เที่ยวให้ไปทุกสัปดาห์ แต่มันเป็นเมืองเล็กๆ ที่อบอุ่นและปลอดภัยมากๆ ค่ะ แต่ก็ต้องบอกกันตรงๆ ว่าถ้าใครชอบชีวิตเมือง มาอยู่ที่นี่ก็คงจะมีเหงาบ้าง เพราะตัวเมืองเดินแค่วันเดียวก็เก็บครบแล้ว อย่างตัวอุ้มเนี่ยติดชีวิตเมืองมากๆ ตอนแรกก็คิดว่าเออแล้วฉันจะรอดเหรอ…แต่ผ่านไปแปปเดียวก็ปรับตัวได้แล้ว อีกอย่างถ้ารู้สึกอยากเปลี่ยนบรรยากาศ นั่งรถไฟโลดค่ะ ไปแมนเชสเตอร์ ลิเวอร์พูล 1 ชั่วโมงกว่าๆ เอง สบายๆ ในมหาวิทยาลัยเองจะมี UNITRAVEL ซึ่งคอยจัด Day trip ให้นักเรียนแทบทุกวีค ฉะนั้นถ้าใครคิดว่ามาอยู่นี่แล้วจะเฉาตาย ตัดความกังวลนี้ไปได้เลย

และนี่ก็คือชีวิต 1 ปีของอุ้มที่ Lancaster ค่ะ ใครที่ยังลังเลอยู่ อ่าน blog นี้แล้วก็หวังว่าจะมีส่วนช่วยในการตัดสินใจได้บ้างเนอะ ฝากไว้ทิ้งท้ายซักหน่อย เวลา 1 ปีผ่านไปเร็วมากนะคะ ใครที่ได้มีโอกาสมาเรียนแล้ว อยากให้ใช้ชีวิตให้คุ้มค่านะ ทั้งเรื่องเรียนแล้วก็ประสบการณ์นอกห้องเรียนด้วย เพราะมันเป็นเวลา 12 เดือนที่ทำให้เราโตขึ้น แข็งแกร่งขึ้น แล้วก็จะเป็นความทรงจำที่จะอยู่ในใจของเราไปอีกนานเลยล่ะค่ะ แต่ความทรงจำนั้นจะสวยงามแค่ไหน ก็อยู่ที่ตัวเราเองแล้วแหละว่าจะสร้างมันยังไง! ยังไงก็ Welcome to Lancaster นะคะ! #ขยิบตา

 

สนใจเรียนต่อ  Lancaster University ลงทะเบียนเพื่อรับข้อมูลเรียนต่อและคำปรึกษาจากพี่ๆ Hands On ตัวแทนมหาวิทยาลัยอย่างเป็นทางการประจำประเทศไทย ฟรี คลิก