Hands On Education Consultants

รีวิว Master of Management ที่ University of Melbourne โดย Bebe

แนะนำตัวให้เรารู้จักหน่อยค่ะ

ชื่อเล่นชื่อบีบีค่ะ เรียนคณะ Master of Management ที่ The University of Melbourne ค่ะ

Q: เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมคะว่าทำไมถึงเลือกเรียนต่อที่ออสเตรเลีย ทำไมถึงเลือก The University of Melbourne?

Bebe: สาเหตุที่เรียนต่อก็เพราะว่า Master of Management ของที่นี่เป็นคอร์ส 2 ปี ซึ่งการเลือกเรียนคอร์ส 2 ปี เนื้อหามันจะอัดแน่น โดยเฉพาะเราไม่มีพื้นฐานด้าน Business มาก่อนค่ะ เหมือนมันอัดแน่นแต่ละวิชา แล้วก็ดูในเวปไซต์ของ University of Melbourne วิชาแต่ละตัวมันมีวิชาที่ practical จริง ๆ เลย มันไม่ใช่เรียนกว้าง ๆ แบบแค่ foundation แต่มันมีเป็นแบบ Management เป็น Business Analysis ที่มี Internship ให้ต้องทำระหว่างเรียนด้วย ก็เลยรู้สึกว่าหลักสูตรของเค้าเข้มข้น แล้วพอหลังจากนั้นก็จะได้วีซ่าอีกประมาณ 2-3 ปี หลังจากเรียนจบ ก็เลยรู้สึกว่ามันเป็นโอกาสที่ดีที่มาเรียนที่นี่ แล้วมหาวิทยาลัยนี้ก็ถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของออสเตรเลียเลยก็ว่าได้ ก็คิดว่ามันเป็นโอกาสที่ดีที่มาเรียน ด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่างค่ะ

 

Q: รีวิวการเรียนต่อในคอร์ส Master of Management ให้ฟังหน่อยค่ะว่าเรียนแล้วเป็นยังไง?

Bebe: แรก ๆ เรียนเป็นออนไลน์ค่ะ เริ่มเรียนออนไลน์ตั้งแต่ปีที่แล้วตอนช่วง June ค่ะ ก็คือเริ่มสมัครตั้งแต่ June เปิดเทอม July ปีที่แล้วค่ะ เรียนออนไลน์มาครึ่งเทอมถึงปลายปีที่แล้วประมาณเดือน November 2021 ค่ะ แล้วก็เพิ่งมาเรียน in person ที่นี่ตอนเดือน February ค่ะ แล้วก็เรียนมาประมาณเกือบ 1 ปีแล้วที่นี่ค่ะ

ถ้าสมมุติว่าคนที่ไม่มีพื้นฐานด้าน Business เลย ก็จะมีคอร์ส foundation ก่อน ตั้งแต่เทอมแรกที่เข้ามา เหมือนปูพื้นฐานก่อนตั้งแต่ Business Analysis การใช้ Excel แบบเบสิก ๆ เลยว่าใช้ยังไง แล้วก็จะมีวิชา Marketing ที่อาจจะเสริมเข้ามา อาจจะไม่ได้เป็นแบบสาย Marketing เลย แต่เป็นความรู้เบสิกพื้นฐานของ Marketing ทั้งหมดนี้ก็จะเป็นส่วนของ foundation ของเทอมแรกค่ะ พอหลังจากนั้นเราก็สามารถเลือกได้ว่าเราจะเรียนอะไร

ข้อดีของการเรียน Management ที่เป็น general ไม่ได้เป็นสายแบบ specific เลยก็คือ พอหลังจากจบเทอมแรกที่เป็น foundation แล้ว เราสามารถเลือกวิชาได้เลยว่าเราจะเรียนอะไร อย่างหนูก็เลือกพวก Supply Chain, Operation และ Consulting เป็นต้น คือถ้าเราจะไปสาย Marketing มันก็จะมี Marketing ให้เลือกหลังจากเทอมแรก ก็คือ Marketing เฉพาะสาย อย่าง Digital Marketing และ Marketing Management ก็คือเลือกได้เลยค่ะ ส่วนหนูก็จะเลือกเป็น Supply Chain และ Consulting พวกนี้เป็นหลักค่ะ

อันนี้คือข้อดีของ Master of Management สำหรับหนูเลย เพราะตอนแรก ตอนมาถึงก็คือยังไม่รู้ว่าอยากทำอะไร แต่สำหรับคนที่เลือกเรียนคอร์ส International Business ก็คือต้องเลือกเรียนมาแล้วตั้งแต่แรกเลย แบบรู้ว่าอยากทำอะไรแบบนี้ค่ะ

Q: แล้วเพื่อนในคลาสเรียน และบรรยากาศในห้องเรียนเป็นยังไงบ้างคะ?

Bebe: ในห้องเรียนส่วนมากคนที่มาเรียน University of Melbourne หลากหลายมากเลย คนไทยคือรู้สึกว่ามีน้อยมาก อย่างรุ่นหนู คนไทย 2 คนมั้ง รู้สึกว่าน้อยมาก รู้สึกดี เพราะว่าอย่าง Group assignment เค้าก็จะให้จับกลุ่มกันเอง ทุกวิชาจะมี Group assignment แล้วก็ให้จับกลุ่มกันเอง เลือกเพื่อนได้ เราก็รู้สึกว่าเราได้ทำงานกับเพื่อนที่หลากหลาย อย่างกลุ่มเราก็จะมีคนไต้หวัน คนออสซี่คนที่นี่ คนเยอรมัน ก็คืออยู่กลุ่มเดียวกัน แล้วทุกคนก็คือแชร์แต่ละอย่างที่ไม่เหมือนกัน แล้วรู้สึกว่ามันทำให้งานมันดีขึ้น แบบมันมีความ diversity แล้วถ้าเทียบกับทำที่ไทย มันก็มีแต่คนไทยทุกคน ทุกคนรู้แบบนี้ มีความคิดแบบนี้ ก็จะไม่ได้แชร์อะไรต่าง ๆ เท่านี้ค่ะ แล้วที่นี่เราก็ได้ทำความรู้จักกับ culture ของเค้า ว่าคนไต้หวันเค้าจะบุคลิกแบบนี้ เราก็จะเอ้ย เค้าเป็นแบบนี้นะ มันก็เหมือนเราว่าได้เรียนรู้วัฒนธรรมของเพื่อนหลายชาติด้วยค่ะ

 

Q: รีวิวพาร์ทการเรียน การสอน และการบ้านที่เราได้รับให้ฟังหน่อยค่ะ?

Bebe: อย่างคอร์ส Master จะไม่มีสอบ midterm คือจะมีแค่สอบ final เลยค่ะ ก็คือเรียนประมาณ 12 อาทิตย์ต่อเทอม แล้วสุดท้ายก็คือ final แล้วระหว่าง 12 อาทิตย์ก็จะมี assignment ตรงกึ่งกลาง คือช่วงอาทิตย์ที่ 4 กับ 5 แล้วก็ก่อนจบอาทิตย์ที่ 11 กับ 12 แล้วก็เป็น final exam ค่ะ มันก็จะเป็น 2 assignments ที่ต้องทำ แล้วก็ 1 exam ประมาณนี้ค่ะ

ต่อเทอมค่ะ สมมุติว่าบางวิชาเป็น individual assignment ตรงกลางเทอมแรกก็จะเป็น individual assignment แล้วอันที่สองก็จะเป็น group assignment แต่ทุกวิชาก็จะมี group assignment ตอนก่อนที่จะจบเพื่อให้ทุกคนได้รู้จักกันหมดทั้งห้องค่ะ

Q: แล้ว assignment ที่ได้รับเป็นงานวิจัย หรือว่าเป็น workshop หรือเป็นยังไงคะ?

Bebe: ของหนูเรียน Master of Management เค้าก็จะมีเป็นเคสของบริษัทจริง ๆ เลยมาให้ทำ assignment อย่างตอน assignment ที่ผ่านมาก็มีของบริษัท Uber เป็นเคสของ Uber มาเป็นปึกเลย นั่งอ่านตั้งแต่ operation ของ Uber ทำยังไงแล้วแก้ปัญหาให้ Uber ยังไง ถ้าสมมุติว่าเป็นวิชาของ Marketing เค้าก็จะเน้นให้วิเคราะห์ว่าบริษัท Nike เค้าทำการตลาดยังไงบ้าง แล้วอย่างวิชา Supply Chain ก็จะเป็นบริษัทอื่นที่จัดการเรื่อง supply chain โดยเฉพาะ ส่วนมากก็จะให้บริษัทมาเป็นโจทย์แล้วก็ให้แก้ปัญหา แต่เค้าก็จะให้เราเลือกเองได้ด้วยบางวิชา ถ้าสนใจ industry ไหน ก็สามารถหยิบอันนั้นมาวิเคราะห์ได้ แต่อาจารย์เค้าก็จะมีโจทย์มาว่าเค้าต้องการอะไร เราก็เลือกอันไหนก็ได้ เช่น เลือกซุปเปอร์มาร์เก็ตอย่าง Woolworths มาทำก็ได้ถ้าสนใจในเรื่อง Retails

 

Q: อาจารย์ผู้สอนให้การดูแลเรายังไง แล้วก็มีพวก student support อะไรให้เราบ้างคะ?

Bebe: ที่นี่เค้าจะมีที่ที่เรียกว่า Stop 1 ค่ะ แบบเรามีปัญหาอะไร เราก็ส่งอีเมลไป เค้าก็จะตอบกลับมาด้านปัญหาต่าง ๆ เช่น mental health หรืออะไรอย่างนี้ เค้าก็จะตอบกลับมาเร็ว ส่วนอาจารย์ จริง ๆ อาจารย์ก็จะเปลี่ยน อย่างเช่น lecture ก็จะเป็นอาจารย์คนนึง แล้วตอน workshop ก็จะเป็นอาจารย์อีกคนนึง หรือว่าอาจจะเป็นคนเดียวกันก็ได้ คือเราจะได้รู้จักอาจารย์หลากหลายมาก แต่ว่าเค้าก็จะทำงานร่วมกัน เค้าสอนเหมือนกัน เพราะที่นี่เราสามารถเลือกเวลา workshop ได้ อย่างเช่น เราเลือกเวลาตอนบ่าย 2 โมงกับ 4 โมงเย็น ก็คนละอาจารย์กัน แต่เราก็ต้องมา workshop เวลานั้นทั้งเทอมค่ะ ก็คือจะอยู่กับอาจารย์คนนี้ทั้งเทอมเลย ส่วน workshop มันเป็นกรุ๊ปละ 10-12 คน เป็นกรุ๊ปเล็ก ๆ อาจารย์ก็จะรู้จักเด็กทุกคนหมดเลย แบบเรียกชื่อเลยว่าตอบข้อนี้มั้ย ก็จะแบบกดดันนิดนึงถ้าเป็น workshop (หัวเราะ) แต่ว่าพอเรียนไปเรื่อย ๆ มันก็จะชินไปเอง เราก็จะกล้าแสดงออกไปเองเลย

Q: คิดว่าสายเรียน Master of Management จะต่อยอดงานในอนาคตของเรายังไงบ้างคะ?

Bebe: ก็คือตอนก่อนมาเรียนปริญญาโท เรียนอักษร จุฬาฯ มาก่อน แล้วเราเรียนภาษาสเปนด้วยนะ แต่คือเรียนแล้ว มันไม่เคยได้ใช้เลยภาษาสเปน แต่ก็รู้สึกว่ารู้ไว้มันก็ไม่น่าเสียหาย เรียนมา 4 ปี เราอยากเปลี่ยนสาย มารู้ตัวตอนปี 4 ว่าเราชอบ Start-up ตอนนั้นทำ Start-up กับเพื่อนแล้วรู้สึกชอบ แต่เราไม่มีความรู้ด้าน Business เลย ก็เลยมาเรียน Business ที่นี่ค่ะ พอมาเรียนเสร็จ เราเข้าใจระดับนึงว่าการทำงานในฝั่ง Business มันเป็นยังไง แล้วก็รู้สึกว่าเราได้เปลี่ยนสายอาชีพเหมือนกัน เพราะตอนแรกคิดว่าอยากทำธุรกิจ แต่ตอนนี้ก็รู้สึกว่าอยากลองทำ Business Analyst ก่อน เริ่มตั้งแต่ Analyse Data เลยว่าต้องทำยังไง พอเรารู้ข้อมูล เรารู้โปรแกรม Excel ทำเป็นแล้วเราก็อยากทำตรงนี้ไปก่อนสัก 2-3 ปี ทำสายนี้หรือว่าสาย Consulting ไปก่อน ก็คือคิดจะเปลี่ยนสายตั้งแต่เข้ามา พอเข้ามาก็เปลี่ยนสายอีก เหมือนพอเรามีความรู้สะสมมาเรื่อย ๆ แล้วเราก็ชอบในด้านที่เราเรียนใหม่ ๆ มันก็ทำให้เรารู้ตัวเองเหมือนกันนะว่าเราชอบอะไร แบบเราเรียนวิชานี้แล้วเราสนใจมาก ๆ เลย case แบบนี้น่าสนใจมาก เราก็เรียนต่อเลยตั้งแต่เทอมที่แล้ว

 

Q: สาขาที่เราเรียนอยู่ตอนนี้ คิดว่ามันยาก ง่าย หรือว่าต่างกับระบบการเรียนที่ไทยยังไงบ้างคะ?

Bebe: โอ้โห (ยิ้ม) ต่างกันเยอะมาก เพราะว่าเรียนที่นี่มันเน้น workshop เพราะจะมีทั้ง lecture และ workshop

lecture ก็คือเหมือนเราฟังอาจารย์อย่างเดียวค่ะ ก็เหมือนอาจารย์ก็พูด ๆๆ เราไม่จำเป็นต้องตอบคำถาม แต่ workshop เนี่ย ทุกวิชาจะมี workshop ก็คือทุกคนจะต้องตอบคำถาม อ่าน case study คือหลังจาก lecture เค้าก็จะส่ง case study ให้นักเรียน เพื่อที่จะให้นั่งอ่าน นั่งตีโจทย์ นั่งวิเคราะห์อะไรอย่างนี้ แล้วใน workshop นั้น ทุกคนจะต้องยกมือตอบคำถาม ซึ่งตอนแรกมันก็กดดันนิดนึงโดยเฉพาะการเรียนช่วงแรกที่เป็นแบบออนไลน์ เพราะทุกคนดูเงียบ แต่ว่าพอหลังจากนั้นทุกคนก็เริ่มตอบคำถามกันมากขึ้น มันทำให้เราได้สกิลหลาย ๆ อย่าง ทั้ง Public Speaking, Presentation Skill, Communication Skill เราก็ได้ฝึกสกิลตรงนี้ด้วย แต่อย่างที่ไทยรู้สึกว่าจะแล้วแต่คนตอบ แบบไม่จำเป็นต้องตอบคำถาม แค่ฟัง lecture ในห้องอย่างเดียว แต่การเรียนที่นี่มันทำให้เราต้องได้ตอบคำถาม แล้วก็ interact กับอาจารย์มากขึ้นด้วย ก็เลยรู้สึกว่าไม่ใช่แค่เราได้ความรู้จากแค่ในห้อง เราเอาสกิลความรู้มาใช้กับชีวิตจริงได้ อย่างใน workshop ก็มีเพื่อนที่ทำงาน Toyota หรืออะไรที่เป็นสาย Management นี้มาก่อน เค้าก็จะแชร์ว่าเค้าทำอะไรมา เราก็จะรู้ว่าบริษัทนี้น่าทำมั้ย หรือว่าเค้าก็จะแชร์ประสบการณ์ในงานที่เค้าทำมา เราก็จะเห็นหลาย ๆ อย่าง ทั้งระบบการทำงานของแต่ละบริษัท ก็เลยรู้สึกว่าชอบ workshop มาก ๆ เลย

Q: สิ่งที่ชอบและประทับใจระหว่างเรียนต่อที่นี่ แล้วอยากแชร์ให้เพื่อน ๆ ที่อยากมาเรียนต่อที่นี่ฟัง?

Bebe: รู้สึกว่า University of Melbourne เป็นยูที่ดังมากของที่นี่เลย แล้วรู้สึกว่าเวลาเราจะไปสมัครงาน หรือแม้กระทั่ง Internship หรือสมัครงานแบบ Graduate Program รู้สึกว่าเค้าจะแบบ favor เรา เพราะว่ามหาวิทยาลัยมันดังแล้วมันมีความเข้มข้นในการเรียนมาก ๆ ทุกคนที่จบจากมหาวิทยาลัยนี้ดูมีความสามารถ แล้วก็เก่งเรื่องที่เรียนมา ก็เลยรู้สึกว่ามันเป็น advantage อย่างนึงในการที่เรากำลังจะจบที่มหาวิทยาลัยนี้ เหมือนสายงานเค้าก็ให้การยอมรับเรามากขึ้น เลยรู้สึกว่าจบจากมหาวิทยาลัยนี้มีข้อดีเยอะมาก ๆ เลย แต่ความจริงที่นี่ก็เปิดรับ international student ค่อนข้างกว้างอยู่แล้วน ไม่ต้องกังวลเลยว่าเราไม่ใช่คนที่นี่ แล้วเค้าไม่ยอมรับ

ยังมี support จากอาจารย์เวลาให้เค้าเขียน recommendation ต่าง ๆ ให้เรา อย่างใน club ในกิจกรรมต่าง ๆ ในมหาวิทยาลัยเนี่ย เค้าก็มี Networking เยอะ ส่วนมากเค้าก็จะให้ไปเจอตัวแทนบริษัทที่มา Sponsor ค่ะ เค้าก็จะแจกนามบัตรหรือ LinkedIn ให้เราติดตาม งานแบบนี้คือไม่เคยเจอจากที่ไทย คือที่ไทยมันไม่ค่อยมี Networking แบบนี้ค่ะ อยากสมัครอะไรก็สมัคร ยื่น resume แต่ที่นี่คือเค้าจะเน้นว่าคุณรู้จักคนใน Networking ของคุณมากแค่ไหน แล้วเวลาที่จะสมัครก็ต้องบอกว่ารู้จักใครในบริษัทนี้ ก็รู้สึกว่าเราได้ขยาย Networking ของเราที่นี่ด้วย แล้วอย่าง club ที่นี่ ส่วนมากก็สปอนเซอร์โดย Big4 ทั้งนั้นเลย อย่าง EY พวกบริษัทดัง ๆ แบบนี้ก็เลยรู้สึกว่า เฮ้ย เค้าเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลก ไม่รู้เหมือนกันว่ามหาวิทยาลัยอื่นเค้ามีแบบนี้มั้ย แต่ว่าที่นี่คือเค้าจัดแทบทุกอาทิตย์เลย

 

Q: เห็นพูดถึงเรื่อง Internship กับ Graduate Program อธิบายให้ฟังหน่อยได้ไหมคะว่าต่างกันยังไง?

Bebe: อย่าง Master of Management จะมี Internship ให้ทำ แล้วก็มีโปรแกรมต่าง ๆ เช่น โปรแกรม “Business Practicum” ก็คือเราไปทำงานกับบริษัทเลย เหมือนไม่ใช่ Internship นะ เหมือนเป็นหนึ่งวิชาของที่นี่ สามารถสมัครกับบริษัทในออสเตรเลียก็ได้หรือต่างประเทศก็ได้ ก็คือสมมุติว่ามหาวิทยาลัยเค้าได้ Connection กับ Unilever อะไรอย่างนี้ ถ้าเราลงวิชานี้ เราก็จะได้ไปทำงานใน Unilever เหมือนเป็นพนักงานคนนึงที่ไปแก้ปัญหา Business ให้เค้าได้เลย ในระยะเวลา 1 เทอมค่ะ ประมาณ 3-4 เดือน คือรู้สึกว่าเราไม่ต้องไปสมัครงานกับบริษัท แต่ว่าเราได้เรียนรู้อะไรเยอะ ๆ จากบริษัทที่ให้เราเข้าโปรแกรม ลงวิชา Business Practicum นี้ รู้สึกว่ามันเจ๋งดี แล้วบริษัทที่ partner กับทางมหาวิทยาลัยก็ดี ๆ ทั้งนั้นเลย เค้าจะให้เราไปอยู่ในบริษัทนั้น ไปนั่งทำงานเลย แบบโห ดีมาก แล้วก็แค่ส่ง report ตอนจบวิชา แล้วบางคนที่เรียนวิชานี้ ก็สามารถได้งานทำจากบริษัทนั้น ๆ ด้วย หนูเลยรู้สึกว่ามันเหมือน Internship แต่ว่ามันไม่ใช่ เพราะมันคือการไปทำงานจริง ๆ

Q: ก็คือมี Business Practicum ก็เป็นวิชานึง แล้วก็มี Internship กับ Graduate Program อีก?

Bebe: (หัวเราะ) ใช่ ๆ ก็คือ 3 สิ่งนี้แหล่ะที่รู้สึกว่าชอบ เพราะมันได้ทำงานจริง ๆ พอเรามาเรียนที่นี่มันเหมือนมันมีการันตีนิดนึงว่ามันจะมีสิ่งนี้ ๆ ที่มันจะเชื่อมไปยังงานในอนาคต

“Graduate Program” จะเป็นของบริษัทที่เค้ามา Recruit ค่ะ เค้าก็จะบอกว่าถ้าเราเรียนจบแล้ว เค้ามี Graduate Program มายื่นข้อเสนอให้ เหมือนหนูจะเรียนจบเทอมหน้า เค้าก็จะมี Graduate Program เยอะแยะมากมายมาเสนอ แบบบริษัทมา recruit นักศึกษาของมหาวิทยาลัย โดยใช้มหาวิทยาลัยเป็นที่ recruit คนเก่ง ๆ เข้าไปในบริษัทประมาณนี้ เค้าเป็น partner กัน

Q: แล้ว Business Practicum กับ Internship เนี่ย เค้ามีตัวเลือกให้เรารับเงินเดือนด้วยมั้ยคะ?

Bebe: Business Practicum จะไม่ได้ค่ะ เพราะมันเป็นวิชาเรียนของมหาวิทยาลัย แต่ Internship จะแล้วแต่ ตัว Internship จะแบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ self source เราหาเอง หรือ university source internship ทางมหาวิทยาลัยหาให้ ก็คือเราสมัครผ่านทางมหาวิทยาลัย แล้วทางมหาวิทยาลัยก็หาที่ฝึกงานให้ ซึ่งการรับเงินเดือนก็แล้วแต่บริษัท สมมุติว่าบริษัทใหญ่ ๆ เค้าให้เงิน แต่ว่าถ้าเป็นบริษัท start-up หรือว่าบริษัท small to medium size เค้าก็จะไม่ให้ แต่ส่วนมาก Internship ที่เราไปหาเองจะได้ตังค์ แต่ถ้าเราหาเองไม่ได้ ทางมหาวิทยาลัยเค้าก็มีรับรองให้ อาจจะได้ตังค์หรือไม่ได้ตังค์ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับบริษัทค่ะ เพราะ Internship เป็นวิชานึงของทางมหาวิทยาลัยที่เค้าบังคับก่อนเรียนจบ

Q: เราได้ใช้บริการพวก Student Support ของทางมหาวิทยาลัยบ้างมั้ยคะ

Bebe: ส่วนตัวไม่ค่อยได้ใช้ แต่คือเค้าดีมากเลยนะ เค้าส่งอีเมลมาแจ้งตลอดตั้งแต่วีคแรก วีคที่สอง วีคที่สาม พร้อมบอกว่าติดต่อได้ตลอด มี support ทุกอย่างนะ แต่ส่วนตัวเป็นคนแบบเข้าหาอยู่แล้วค่ะ ถ้ามีปัญหาอะไรก็คือจะอีเมลถามตลอด จะไม่รอให้เค้ามา support เรา แล้วถ้าเราอีเมลถามมหาวิทยาลัย เค้าก็จะตอบมาทันทีเลยว่าปัญหามันคืออันนี้ เดี๋ยวเค้าจะหาทางแก้ให้นะ ซึ่งเค้า support ดีมาก ส่วนตัวไม่ค่อยได้ใช้ค่ะ คือถ้ามีปัญหาอะไรก็ถามอาจารย์ด้วย ถามคนโน้นคนนี้ ถาม Program Director เค้าตอบกลับเร็วมาก

Q: รีวิวการใช้ชีวิตใน Melbourne หน่อยค่ะว่าเป็นยังไงบ้างพอได้มาใช้ชีวิตที่นี่ จากที่เราเรียนออนไลน์มาตลอด

Bebe: รู้สึกว่าตั้งแต่มา จนถึงตอนนี้ก็ยังชอบ Melbourne อยู่เลย ถึงแม้ว่าอากาศจะเปลี่ยนแปลง คือมาตอนช่วงเกือบหมด Summer แดดออกทุกวัน ๆ พอฟ้าเริ่มครึ้มก็รู้สึกว่า Melbourne มีการเปลี่ยนแปลงตลอด แล้วอยู่ที่นี่มันก็ไม่ได้น่าเบื่อค่ะ มีอะไรทำทุก ๆ วัน ไปหาเพื่อน อยู่ในเมือง ก็รู้สึกว่าชอบ แล้วอากาศมันโปร่ง ไม่มีมลพิษเลย แล้วนึกสภาพตัวเองกลับไทย ไปเจอน้ำท่วม เจออะไรแบบนี้จะทำยังไง (หัวเราะ) รู้สึกว่าที่นี่คุณภาพชีวิตดี คุ้มค่ามาก แล้วก็พ่อแม่ได้มาเยี่ยมตอนปิดเทอม แล้วพ่อแม่ก็คือชอบมากกก แบบว่าดีแล้วที่มาเรียนที่นี่ แบบว่าคุณภาพชีวิตดีกว่าที่ไทยเยอะมาก

Q: แล้วการเดินทางที่ Melbourne เป็นยังไงบ้างคะ?

Bebe: โห สะดวกมาก! แบบ tram คือไปได้ทุกที่ แล้วรู้สึกว่าอย่างถ้าใครอยู่ในเมือง CBD ก็จะมี free tram zone ไม่ต้องจ่ายค่าเดินทางในโซนนี้เลย คือมาที่นี่รู้เลยว่าเงินหมดไปกับค่ากินและค่าที่อยู่เป็นหลัก เพราะว่าค่าเดินทางไม่เคยเสียเลย นอกจากจะออกไปนอกเมืองจริง ๆ แบบหา Uber หรือเช่ารถอะไรแบบนี้ อันนี้คือมีค่าใช้จ่าย แต่ชีวิตประจำวันคือไม่เคยเสียค่าเดินทางเลยค่ะ (ยิ้ม)

Q: เราได้ไปเที่ยวนอกเมือง Melbourne บ้างมั้ยคะ?

Bebe: เที่ยวค่ะ ตั้งแต่ตอนมาเลย คือเที่ยวเยอะมากเพราะว่าเหมือนเทอมนึง เราเรียนแค่ 12 สัปดาห์ค่ะ มันก็เข้มข้นมากใน 12 อาทิตย์นี้ เรียน ๆๆ แล้วก็ workshop ต้องเข้าทุกอาทิตย์ ก็คือจะไม่ค่อยมีเวลาไปเที่ยวเท่าไหร่แล้วหลังจากนั้นก็ enjoy life มากเพราะมีเพื่อนที่นี่เยอะ แล้วก็ไปเที่ยวกัน เช่น Mornington Peninsula, Phillip island แบบที่ต้อง road trip ไป ไปเที่ยว Great ocean road ก็รู้สึกว่าก็ได้เที่ยวเยอะเหมือนกันนะ ไม่ใช่แค่เรียนอย่างเดียว เพราะว่าเรียนก็จะไม่มีเวลาเที่ยวเหมือนกันนะ แต่พอปิดเทอมแล้วมันไม่ค่อยมีอะไรทำด้วยที่มหาวิทยาลัย ปิดเทอมมหาวิทยาลัยก็จะปิดไม่ให้เข้า ก็คือต้องออกไปเที่ยว (ยิ้ม)

Q: รีวิวบริการจากพี่ Hands On ให้หน่อยสิค่ะ ว่าเราได้รับความช่วยเหลืออะไรบ้างก่อนมาเรียนต่อ?

Bebe: พี่ออฟ Hands On น่ารักมาก พี่ ๆ ทุกคนน่ารักมากค่ะ เพราะว่าโทรไปกี่รอบก็ได้รับคำตอบที่ดี ตั้งแต่ก่อนสมัครยันเรียน พอเรียนแล้วเราก็ติดต่อไปปรึกษาเรื่องวีซ่า เรื่องอะไรแบบนี้ด้วยก่อนจะมา แล้วคือพี่เค้าตอบเร็วมาก หรือถ้าไม่ตอบเค้าก็ทิ้งไว้ว่าไม่เข้าออฟฟิศ เดี๋ยวกลับมาวันอังคารนะ ก็รู้สึกว่าดูแลดีตั้งแต่แรกจนมาเรียน อาจจะหลังเรียนจบด้วย (หัวเราะ) แบบมีปัญหาอะไรก็ปรึกษาได้ตลอดเลยค่ะ ดูแลดีมาตลอด รู้สึกว่าพี่ ๆ น่ารักมาก ๆ

 

Q: มีประสบการณ์ที่เราอยากแชร์อยากฝากให้คนที่อยากมาเรียนต่อออสเตรเลียฟังไหมคะ?

Bebe: รู้สึกว่าไม่ต้องกลัวเลยที่จะมาเรียนต่อประเทศที่เราไม่เคยมา เพราะรู้สึกว่า Melbourne มีความคล้าย ๆ ไทย แต่คุณภาพชีวิตดีกว่า มีความคล้ายแต่ดีกว่ามาก ก็เลยรู้สึกมันไม่ต้องไปไกลถึงยุโรปหรือแคนาดา แล้วไม่ต้องกลัวว่าเราจะเหงาหรือเปล่า เพราะออสเตรเลียเป็นประเทศที่มีอะไรทำตลอด ไม่เหงา ไม่เบื่อ ถ้าจะกลับไทยก็กลับได้ รู้สึกว่าเป็นตัวเลือกที่ดี ถ้าคุณภาพชีวิตที่นี่ดีกว่าแล้วทำไมไม่มา ใกล้แค่นี้เอง ก็รู้สึกว่า เออ อยากให้ทุกคนได้มาเรียนแล้วได้ประสบการณ์ที่ดี ๆ เหมือนกันค่ะ

ก็ถ้ามีโอกาสมาเรียน มันไม่ใช่ได้แค่เรียนอย่างเดียวแหล่ะ ก็ได้ทำอย่างอื่นเพราะชีวิตที่นี่มันมีอะไรเยอะแยะ ได้รู้จักคนโน้นคนนี้ ความคิดเราเปลี่ยน เราโตขึ้นเยอะมากตั้งแต่มาที่นี่ คืออยู่ไทยเรียนมหาวิทยาลัยมา 4 ปี รู้สึกว่าชีวิตมันไม่ก้าวกระโดดเท่าไหร่ แต่พอมาที่นี่ ตั้งแต่สมัคร ก็ชีวิตก็ก้าวไปอีกสเต็ปนึง เรารู้อะไรเพิ่มขึ้น เรารู้จักคนต่างชาติเยอะขึ้น ความคิดเราเปลี่ยน เหมือนเราได้เปิดโลกใหม่ด้วย มันไม่ใช่แค่การเรียนของเราดีขึ้น แต่ว่าเราเปลี่ยนมุมมองความคิด ทัศนคติในการมองโลกดีขึ้นเยอะมาก ๆ เลยค่ะ (ยิ้ม)