แนะนำตัวให้เรารู้จักหน่อยค่ะ
Pond: ชื่อเล่นชื่อ ปอนด์ นะครับ ตอนนี้เรียนคอร์ส MBA อยู่ที่ Aston University ครับ
รีวิว MBA ที่ Aston University ให้พี่หน่อยค่ะ
Pond: หลัก ๆ แล้วหลักสูตร MBA ก็จะได้เรียน Finance, Marketing, Strategy และ Leadership 4 อย่างนี้จะเป็นวิชาที่มีอยู่แล้ว แต่ตัวอื่น ๆ ก็จะเป็นวิชายิบย่อยที่แล้วแต่ว่าแต่ละมหาวิทยาลัยจะจัดอะไรมาให้เราครับ อย่างที่ Aston ก็จะได้เรียน 4 เรื่องนี้เป็นหลัก พร้อมกับวิชาพิเศษอย่าง ASTON Edge ที่เพิ่มมาให้ อีกอย่างที่พิเศษสำหรับ The Aston MBA คือเราสามารถเลือกทำ Dissertation ได้ 3 อย่างก็คือ เป็น consult, internship หรือ ทำ business plan ในช่วงเทอมสุดท้าย
เนื้อหาแต่ละสาขาที่ได้เรียนเป็นอย่างไรบ้างคะ?
Pond: อย่างวิชา finance (Measuring and Enhancing Financial Performance) ทางมหาวิทยาลัยจะจัดกลุ่มมาให้เราเลย แล้วก็ตั้งบริษัทกันเอง แล้วก็ให้บริหารการเงินกันเอง ก็จะมีโจทย์มาให้ว่า ถ้าช่วงนี้ อย่างเช่นเกิด inflation ขึ้น สินค้าคุณคงคลังอยู่เท่านี้ หรืออย่างที่ UK Brexit ขึ้นมาจะส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจแบบนี้ คุณจะทำอย่างไหร่ หรือบริษัทการเงินจะเป็นอย่างไร เค้าก็จะมีโจทย์มาให้เรา มีการเลือกการแก้ปัญหาเช่น เราจะขึ้นราคาสินค้าไหม หรือถ้าเราขึ้นราคาสินค้า ในส่วนของ financial statement ของเรามันก็จะเปลี่ยนไป และเราจะมีกำไรหรือขาดทุนเท่าไหร่ อะไรแบบนี้ หรือถ้าเราต้องสั่งสินค้าเพิ่ม inventory หรือสินค้าคงคลังเรามันจะอยู่ที่เท่าไหร่ หรือหนี้สินเราจะอยู่ที่เท่าไหร่ เป็นต้น คือการเรียนในแต่ละสัปดาห์ก็จะเป็นการจำลองเหตุการณ์ในแต่ละปีที่มันแตกต่างกันออกไป ซึ่งวิชาส่วนใหญ่ที่นี่จะเน้นการจำลองสถานการณ์ คือนอกจากจะเรียน lecture แล้วก็จะมีเรื่องของการฝึกการทำสถานการณ์จำลองด้วยตลอด ซึ่งก็ดี
วิชาฝั่ง marketing ละคะ เป็นอย่างไรบ้าง?
Pond: Marketing ของคอร์สนี้ก็ดีนะครับ (Creating and Delivering Customer Value) อย่างที่บอกว่าต้องอ่านหนังสือเยอะ ๆ คือในห้องเรียนมันก็จะมีการจำลองบริษัทเหมือนกัน คือมีตลาดมาให้เรา มี product มาให้เรา แล้วก็ให้เราลองทำ คือเราจะรู้แล้วว่าเรามี product หรือสินค้าอะไรอยู่ในมือ และเราจะทำยังไงให้สินค้าเราไปอยู่ในกลุ่มลูกค้าของเราให้ได้ มันก็จะมีกราฟมาให้จากโปรแกรมเฉพาะที่มหาวิทยาลยจัดมาให้เรา ให้เราใส่ข้อมูลลงไปว่าเราจะทำอะไรบ้าง มียอดที่ต้องการเท่าไหร่ ใช้เงินในการโฆษณาเท่าไหร่ เพื่อที่เราจะได้ขยับเข้าใกล้กลุ่มเป้าหมายของเราได้มากที่สุด แล้วมันก็จะมีช่วงที่ให้เราตัดสินใจว่าเราจะ launch new product ไหม หรือจะ create product ใหม่ออกมา สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่เราคิดว่ามันยังมีอยู่ในตลาดที่เราสามารถ jump in ใน gap การตลาดนี้ได้ คืออย่างเนื้อหาพวกนี้ปอนด์ก็เห็นว่าเพื่อนที่เรียนสาย marketing ก็จะไม่ได้เรียนเนื้อหาส่วนนี้แบบเรา เค้าก็จะเรียนอีกแบบหนึ่ง คือไม่ได้มีการจำลองสถานการณ์อย่างที่เราเจอ คืออันนี้มันเป็นเหมือนเรียนภาพกว้างให้เห็นมุมที่กว้างขึ้นจากเดิม
แล้วประสบการณ์การทำงานของเรามันสามารถนำมาปรับใช้กับคอร์สเรียนนี้ได้ไหมคะ?
Pond: ถามว่านำมาใช้ได้ไหมคือมันสามารถนำมาใช้ได้ครับ แต่มันสามารถเอามาใช้ได้แค่ไม่ถึง 50% ด้วยซ้ำ เพราะต้องเข้าใจว่าพอเรามาเรียนที่นี่ ตอนเราทำงาน เราทำงานสายการตลาด เราดูแค่ scope งานที่เราทำ เราดูแลเรื่อง marketing อย่างเดียวไม่ต้องสนใจเรื่องการเงินเลย คือทางบริษัทเค้าจะมีงบมาให้เราแล้ว เราแค่บริหารเงินในส่วนที่เราได้มาตรงนั้นแค่นั้น
แต่พอเรามาเรียนตรงนี้เราพูดถึงวิชา marketing เป็นภาพกว้าง มันไม่ได้แค่วางแผนเรื่องการปล่อยสินค้าตัวนี้ มีโปรโมชั่นใหม่ออกมา ทำการตลาดโน่นนั่นนี่ แต่เราต้องมองเรื่องงบประมาณ การวางแผนจะต้องสอดคล้องกับเรื่องการเงินของบริษัท ต้องบริหารเงินเองเพื่อให้ภาพรวมของบริษัทไม่ติด lost เราก็ต้องคิดแล้วว่าเราต้องใช้เงินเท่าไหร่ ถ้าจะออกสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ใหม่เราจะเข้าไปเจาะที่ตลาดไหน มันก็จะมี market research มาให้เราอ่าน เช่นว่าตอนนี้มีตลาดไหนที่เราน่าจะลงเข้าไปเล่น หรือตลาดไหนมีคู่แข่งเยอะ ก็สนุกดี
แล้วคืออย่างเรื่องบางเรื่องที่เราไม่เคยรู้ อย่างเรื่อง blue ocean strategy เรารู้ว่ามันคืออะไร แต่เราไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้ว ต่อให้มันเป็นสินค้าเดิมแต่เราสามารถทำให้มันเป็น blue ocean strategy ได้ เค้าก็จะมี case study มาให้เราอ่าน อย่างเช่น “Cirque du Soleil” คือ circus สมัยก่อนมันไม่มีละครสัตว์ที่ทำเป็น musical สมัยก่อนละครสัตว์ก็คือละครสัตว์ หรือ musical ก็คือ musical อย่างเดียว แต่ Cirque du Soleil สามารถทำละครสัตว์ให้เป็นแบบ musical ได้ กรณีนี้มันก็คือการทำ blue ocean strategy ก็เลยทำให้เค้าเฟื่องฟูขึ้นมาได้ เราก็เลยอ๋อออ คือเราเข้าใจผิดมาตลอดว่าการทำ blue ocean strategy คือการคิดใหม่ ทำใหม่ กับกลุ่มลูกค้าใหม่ที่คนไม่ค่อยลงไปเล่น ซึ่งจริง ๆ แล้วมันไม่ใช่ แต่มันสามารถเป็น product เดิม กลุ่มลูกค้าเดิมได้ แต่แค่เราจะต้องหาจุดที่มันฉีกจากคนอื่นออกมากได้ ก็เลยว๊าวมาก
สนใจเรียนต่อ Aston University ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ฟรี คลิก
การเรียนเกี่ยวกับเนื้อหาฝั่ง leadership บ้าง เป็นยังไงคะ?
Pond: leadership (Personal Leadership Focus และ The Aston Edge/Leadership Development) เป็นเรื่องที่ที่มหาวิทยาลัยนี้ให้ความสำคัญมาก ๆ เลยครับ คือ module หรือหน่วยกิจของที่นี่ค่อนข้างเยอะเลย ทั้ง ๆ ที่เป็นวิชาที่ไม่ได้เป็นในส่วนของเชิงวิชาการ แต่เป็นวิชาที่หน่วยกิจเยอะ 30% เลย ซึ่งอย่างวิชาอื่นที่เป็นอย่างเรื่องการเงินคือมีแค่ 11 – 15% เอง อ่านหนังสือแทบตาย (ยิ้ม)
เราก็มาเข้าใจได้ว่าเมื่อคุณก้าวเข้ามาเรียนคอร์ส MBA แล้ว สิ่งหลัก ๆ เลยคือคุณไม่ได้เข้าไปทำงานในสายงานที่เฉพาะทางอย่างที่คุณเคยทำมาแล้ว บางคนที่เลือกเข้ามาเรียนคอร์สนี้ก็เพราะ whether you choose to be your own boss, or you choose to be a manager or a director มันเป็นระดับการบริหารงานที่สูงขึ้นกว่าเก่า เพราะฉะนั้นเค้าก็จะเน้นในเรื่องของการเป็นผู้นำมาก เรียนทั้งเรื่องทฤษฎี คือเค้าจะมีเลยว่าในเรื่องของการเป็นผู้นำมีเรื่องอะไรบ้าง หรือการที่เค้าพยายามให้เราทำงานกลุ่มเยอะ ๆ ในแต่ละวิชาก็เพื่อที่จะให้เราได้เรียนรู้ว่าเรามีความเป็นผู้นำในด้านไหน มีอะไรที่เราจะต้องปรับปรุง เพื่อที่เวลาเรามาเขียนงานเราจะได้รู้ว่าประสบการณ์จากการเรียนทั้งหมดเราได้เรียนรู้ว่าเราเป็นคนแบบไหน
หรือเค้าก็จะมี personality test มาให้ทำเยอะมาก ตั้งแต่เรียนมาทำเยอะมาก ๆ ครับ อย่าง MBTI อันนี้หลัก ๆ อยู่แล้ว หรืออย่างเช่น big five, four colour คือมี personality test เยอะมากเพื่อที่เราจะได้รู้ว่าเราเป็นคนอย่างไร เราขาดอะไรตรงไหน แล้วอย่างที่นี่เค้าจะเน้นมากในเรื่องของ intercultural ซึ่งพอเรามาเรียนต่างประเทศ เพื่อนในห้องเรามีหลากหลาย มีคนจีน คนอินเดีย คนเวียดนามอะไรต่าง ๆ และการทำงานแบบ intercultural เนี่ยมันสำคัญมาก ๆ ยิ่งการเป็น leadership ในการทำงานกับคนจากหลากหลายเรายิ่งต้องเปิดรับให้กว้าง อย่างเรื่องของวัฒนธรรมมันก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เป็น barrier ที่สำคัญในการทำงาน เพราะต่างวัฒนธรรมก็จะมีมุมมองที่แตกต่างกัน เค้าคิดไม่เหมือนเรา หรือบ้านเค้าไม่มีแบบนี้ แต่บ้านเราทำแบบนี้ มันก็จะคิดต่างกัน มันก็จะได้เรียนในเรื่องของ intercultural ด้วยในเรื่องของ leadership คือให้เราทำงานกลุ่มแล้วนำมาสะท้อนให้เห็นตัวเองว่าเราเป็นคนแบบไหน ทำงานแบบไหน เราขาดอะไร อะไรที่เราจะต้องปรับปรุง อันนี้คือการเรียนเรื่องความเป็นผู้นำของที่นี่ครับ
วิชาสาย operation เป็นอย่างไรบ้าง?
Pond: เรื่อง operation ก็ดีครับ (Designing and Managing Operations, Systems and Processes) เรียนเรื่องนี้ก็สนุก คือจริง ๆ แล้ว operation เป็นวิชาที่ยากมาก ๆ อ่านหนังสือเยอะอย่างที่บอก
คือเนื้อหาที่เรามันก็จะมีในเรื่องของการจัดการในแต่ละอุตสาหกรรมที่จะมีวิธีการจัดการที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งมันจะมี concept มีทฤษฎีเยอะ มี case study เยอะ เค้าก็จะมี stimulation game มาให้เราทำอีกนั่นแหละ ก็จะมีโรงงานมาให้เราบริหาร จะเป็นโรงงานเสื้อผ้า เราบริหารงานของโรงงานนี้ เราก็จะต้องดูแลในแต่ละแผนก เช่นสั่งของ ส่งของ การผลิต การจัดการบุคลากร มีเรื่องการเซ็นต์สัญญา มีเรื่องการประมูลงาน ก็ดี คือเราก็จะได้รู้ว่าในแต่ละส่วนมันเป็นอย่างไร ต้องมีการคำนวนเข้ามาเกี่ยวด้วย เช่นของบางอย่างสั่งมา คุณภาพสินค้าที่เราสั่งมากับคุณภาพที่เราจะต้องส่งให้ลูกค้ามันตรงกันไหม lead time เป็นอย่างไร ก็สนุก เราจะได้เอามาปรับใช้ในทุกสัปดาห์ว่าทฤษฎีไหนสามารถนำมาปรับใช้ได้ อันไหนใช้ไม่ได้
อย่างที่บอกว่า MBA ที่นี่จะเรียนเรื่องทฤษฎีก่อน เสร็จปุ๊บก็เอาไปปรับใช้ในสถานการณ์จำลองที่เค้าให้โจทย์เรามา ซึ่งทุกวิชาก็จะมีการจำลองเหตุการณ์ให้เราได้ลองทำทั้งหมดเลยครับ
บรรยากาศในห้องเรียน
Pond: คือต้องบอกก่อนเลยว่า พอมันเป็น MBA และเป็นการเรียนในชั้น ป.โท อาจารย์จะพูดเสมอว่า คุณมาเรียน ป.โท นะ จะต้องมีความรับผิดชอบ หนูจะต้องมีความรู้มาก่อน นึกออกไหม คือ ป.ตรีเราไม่จำเป็นต้องอ่านหนังสือก่อนเข้าห้องเรียน แต่พอเป็น ป.โทปุ๊บคือต้องเตรียมพร้อมก่อน เพราะถ้าไม่อ่านหนังสือพอเข้าห้องเรียนไปเราจะงง ก็คือบอดไปเลย ก็คือจะบอดตั้งแต่ต้นคาบและจะบอดไปเลยทั้งคาบ (หัวเราะ) ก็คือเราต้องอ่านหนังสือก่อนทุกครั้ง
อีกอย่างนึงที่ปอนด์ชอบสำหรับการเรียนที่นี่คือ เค้าเรียนให้แบบ implement จริง ๆ คือเน้นนอกจากการเรียน lecture แล้วเค้าจะเน้นเรื่องการทำ stimulation มีการจำลองสถานการณ์ มีโจทย์มาให้เราทำในแต่ละวิชา อย่างวิชา finance, marketing หรือ management มันก็มาเป็น stimulation เลย คือทางมหาวิทยาลัยจะจัดกลุ่มมาให้เรา แล้วก็ตั้งบริษัทกันเอง ให้บริหารการเงินกันเอง ก็จะมีโจทย์มาให้ในแต่ละสัปดาห์ก็จะเป็นการจำลองเหตุการณ์ในแต่ละปีที่มันแตกต่างกันออกไป ซึ่งก็ดีมาก ๆ ครับ
แล้วอีกเรื่องหนึ่งก็คือที่นี่จะเน้นเรื่องการ discussion พอเป็น MBA ปุ๊บมันจะเน้นให้เรามานั่งคุยนั่งถกประเด็นกัน ก็ใครมีไอเดียอะไรก็เสนอมา หรือมีงาน presentation ให้ทำอยู่ทุกอาทิตย์เลย การ present ก็จะทำเป็นกลุ่มครับ คือในการเสนองานแต่ละครั้งเค้าก็จะมีโจทย์มาให้ คือการเรียน MBA จะต้องอ่าน case study เยอะ ๆ และก็จะได้เข้าไปพูดคุยกันในคลาสเรียน อย่างเช่นในมุมมองของคุณ คุณเอาทฤษฎีไหนเข้ามาปรับใช้ หรือต้องมีการพัฒนาส่วนไหน มันก็จะมีความดุเดือดอยู่นะในห้องเรียน เพราะแต่ละคนก็จะมีมุมมองที่ไม่เหมือนกัน
เพื่อน ๆ ในคอร์ส MBA
Pond: คืออีกอย่างที่ทำให้สนุกเพราะ MBA คอร์สนี้กำหนดให้นักเรียนแต่ละคนมีประสบการณ์การทำงานมาก่อน background เพื่อน ๆ ในห้องเรียนก็จะมีหลากหลายมากครับ บางคนมาจากสายกฎหมาย หรือส่วนใหญ่จะมาจากฝั่งวิศวะ หรือบางคนมาจากฝั่งการเงิน การตลาด เศรษฐศาสตร์ หรือตลาดหุ้น หรือตัวปอนด์ก็จะมาจากฝั่งกึ่ง ๆ media และการตลาด คือแต่ละคนก็จะไม่เหมือนกันเลย มันก็มีจะหลายแนวความคิดมาก ๆ ซึ่งดีกับตัวเรา เพราะเวลาเราไปคุยกับเพื่อนที่มาจากฝั่งเศรษฐศาสตร์เราจะรู้เลยว่าเพื่อนเค้าไม่ได้คิดเหมือนเรา เค้ามองตัวเลขมันจะต้องเป็นแบบนี้ เราก็จะเน้นจินตนาการไป (หัวเราะ) ก็ดีครับ คืออย่างน้อยเราก็จะได้เห็นมุมมองจากคนที่มีประสบการณ์การทำงานด้านอื่น ๆ มา อะไรแบบนี้ครับ ซึ่งมันก็จะมีประโยชน์กับเราในการทำงานต่อไปด้วยครับ
สนใจเรียนต่อ Aston University ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ฟรี คลิก
การทำงานกลุ่มกับเพื่อน ๆ ในคอร์สเรียน
Pond: ซะใจมากครับ (ยิ้ม) แต่ข้อเสียของที่นี่ก็คือ เชื่อว่านักเรียนไทยทุกคนที่เจอก็คือเรื่องของงานกลุ่มครับ
เพราะบางคนที่ได้กลุ่มดี ก็คือดีไปเลย อย่างเราก็จะถือว่าอยู่ในเกณฑ์กลาง ๆ พอไปได้ แต่ที่นี่คือทุกวิชามันทำงานเป็นกลุ่ม และมันก็มีการให้คะแนนหลายแบบ บางวิชาให้คะแนนเป็นกลุ่ม บางวิชาให้คะแนนเดี่ยว วิชาไหนที่ให้เกรดเป็นกลุ่มก็อาจจะมีเรื่องของแต้มบุญเรา เช่นเพื่อนไม่ช่วย เพื่อนทำงานน้อย แต่ปอนด์คิดว่าที่มหาวิทยาลัยเค้าก็อยากให้เราทำงานกับคนได้ทุกประเภท เพราะการมาเรียนที่นี่แล้วได้คนในกลุ่มไม่ดี เค้าก็ไปโวยวายกับอาจารย์เหมือนกัน แต่เราก็บอกเค้าว่าลองนึกภาพว่าอาจารย์เค้าอาจจะจำลองเหตุการณ์เหมือนที่เราทำงานจริงรึป่าว เพราะว่าเราไม่สามารถเลือกกลุ่มได้ แล้วเราจะมีวิธีการจัดการในการทำงานให้มันสำเร็จได้อย่างไร
คือสมมุติว่าอีกคนทำงานไม่ดีอย่างที่เราอยากให้เป็น อย่างเราลงแรงไปเต็มที่ 100% เลย แต่เค้าลงแค่ 50% และเราทำอะไรไม่ได้ เราก็ต้องมานั่งคิดแล้วว่าถ้าเค้าเต็มที่ไม่เท่าเรา หรืองานเค้าออกมาไม่ดีอย่างที่เราต้องการ เราจะไปผลักดันเค้ายังไงดี หรือเราต้องมานั่งทำเอง หรือเราต้องมาดูคนใหม่แล้วว่าเราจะแบ่งงานยังไงดี หรืองานนี้ไม่เหมาะกับเธอเราเปลี่ยนงานกับเพื่อนคนอื่นในกลุ่มไหม
ซึ่งเทอมแรก กลุ่มที่ปอนด์ก็มีเพื่อนอยู่คนนึงหายไปเลย แบบขอโทษทีเราป่วย เลยไม่ได้มาช่วยงาน แต่ก็คือได้คะแนนไปเท่ากัน แต่ทุกคนก็คือนอนดึก ทำเต็มที่ (ยิ้ม) แต่ก็คือมันทำให้เรามีประสบการณ์ว่าถ้าเราเจอปัญหาแบบนี้เราจะแก้ปัญหายังไงเวลา หรือเพื่อนไม่สามารถทำงานตามที่เราคาดหวังไว้ เราจะมีวิธีจัดการงานอย่างไร ประมาณนั้นครับ
คือปอนด์ยังเคยคุยกับเพื่อนในกลุ่มเลยว่า หรือจริง ๆ เราต้องจัดการกันแบบนี้ มากกว่าการที่เราเดินเข้าไปฟ้องอาจารย์ เพราะสุดท้ายแล้วก็ไม่ได้แปลว่าอาจารย์เค้าจะจัดกลุ่มให้เราใหม่
ทำงานกลุ่มเยอะขนาดนี้ มีสอบบ้างไหมคะ?
Pond: อย่างที่บอกไปว่าเรียนที่นี่จะเป็นแบบนี้ครับ คือเรียนในห้อง ควบคู่ไปกับการทำสถานการณ์จำลอง แล้วนำมาเขียนลงเป็นชิ้นงานส่ง คือที่นี่ไม่มีสอบ แต่จะเป็นการเขียนรายงานส่งอาจารย์ ซึ่งจริง ๆ สอบดีกว่า คือสอบถึงแม้ว่ามันจะหนักที่ต้องอ่านหนังสือสอบ แต่มันจะหนักแค่ช่วงเตรียมสอบตรงนั้น แต่พอมาทำเป็นรายงาน อาจารย์จะตั้งความหวังไว้เยอะและสูงมากครับ คือเค้าจะให้เรามาเลยว่าเค้าต้องการอะไรบ้าง ใน paper ของเราจะต้องมีอะไรบ้าง 1 – 10 เป็นต้น เราก็ต้องทำตามที่เค้ากำหนดไว้ (พูดเสียงเบา ๆ ว่า) อาจารย์ที่นี่กดเกรดมากเลย (หัวเราะ)
คือที่นี่คะแนนโหดมาก บางวิชาที่เราคิดว่าเราทำดีมากแล้ว อย่าง ASTON Edge เค้าจะให้เราเขียนรายงานช่วงที่เรายังไม่ค้นพบตัวเอง เค้าก็จะให้เขียนว่าเป้าหมายของเรามีอะไรบ้าง แต่ไม่ได้เขียนเป้าหมายแบบเด็กประถมที่ฝันว่าในอนาคตเราอยากจะเป็นอะไร ไม่ใช่นะ คือเราต้องเขียนเป้าหมายที่มันเกี่ยวข้องกับทฤษฎีและเป็นเป้าหมายที่เราสามารถทำ smart action plan ออกมาได้จริง ๆ ว่าเราจะต้องทำอะไรบ้าง แล้วเราก็จะส่งให้อาจารย์ดู แล้วก็คุยกับอาจารย์ว่าเราจะต้องปรับตรงไหนบ้าง อาจารย์ก็บอกว่าดี ๆ แต่คะแนนออกมา ทำไมเราได้แค่ 65 นะ? (หัวเราะ) แล้วทำไมถึงบอกว่าของเราดีนะ หรืออย่างวิชา finance เพื่อนที่จบสายการเงินมาโดยตรงและมีประสบการณ์การทำงานด้านการเงินมาโดยตรง ยังทำคะแนนได้แค่ 70 กว่า ๆ เองยังไม่แตะ 75 เลย ในห้องคือวิชาการเงินไม่มีใครแตะ 75 เลยด้วยซ้ำ
คือบอกเลยว่าที่นี่ให้เกรดยาก แต่ดีนะ ถือว่ามันท้าทายกับตัวเองดี มันทำให้เราอยากผลักดันตัวเองมากขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง
Dissertation สำหรับคอร์ส MBA ที่ Aston University
Pond: อย่างที่เล่าไปตอนแรกนะครับ ว่า Dissertation ที่ Aston คือเลือกได้ 3 อย่างก็คือ เป็น consult, internship หรือ ทำ business plan ในช่วงเทอมสุดท้าย
คือนักเรียนทุกคนจะเลือกสิ่งที่ตัวเองอยากทำได้ ระหว่างเรียนก่อนทำ dissertation อาจารย์ก็จะคอยดูแลและ guide เราแต่ละคนว่าต้องเริ่มทำอะไร อย่างไร และตอนไหน ส่วนทางมหาวิทยาลัยก็จะมีลิสต์รายชื่อบริษัทที่เป็นพันธมิตรหรือ co กันไว้มาให้เราเลยครับ เช่น ถ้าอยากทำงานเป็นที่ปรึกษา มีบริษัทไหนบ้างที่เราสามารถติดต่อไปได้ หรือบริษัทไหนที่ทางมหาวิทยาลัย co ไว้สำหรับการทำ internship นอกจากนี้อาจารย์ที่สอนเราก็ support ช่วยเหลือเรามาก ๆ ครับ มีการให้ connection ส่วนตัวมาเพิ่มเติมนอกเหนือจากรายชื่อบริษัทต่าง ๆ ที่ทางมหาวิทยาลัยเตรียมไว้ให้
แล้วก็พิเศษกว่าคอร์สอื่น ๆ เพิ่มก็คือที่ MBA คุณสามารถทำงาน Full time ตั้งแต่เทอม 3 ได้เลย ถ้าคุณสามารถหางานทำได้และเค้ารับคุณทำงานตั้งแต่ช่วงเวลาทำ dissertation เราสามารถส่งเรื่องไปที่มหาวิทยาลัย คือมหาวิทยาลัยก็สามารถเซ็นต์อนุมัติให้ as long as งานที่คุณหานั้นมันสามารถเอามาเขียนเป็น dissertation ของเราได้ คือเราได้เงินจากการทำงานด้วย ได้ใบปริญญาด้วย คือที่นี่มัน support เราเรื่องนี้มาก ๆ คือในเรื่องการศึกษา การทำงาน ก็คือเต็มที่จริง ๆ ครับ
สนใจเรียนต่อ Aston University ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ฟรี คลิก
แล้วปอนด์เลือกทำอะไรสำหรับช่วง Dissertation?
Pond: ปอนด์เลือกทำ Business Plan เพราะเรารู้แล้วว่าเราอยากทำอะไร
อย่างเทอมแรกก็เข้าไปคุยกับอาจารย์ ว่าชั้นก็อยากทำงานต่อที่อังกฤษนะ เพราะมันก็เป็นโอกาสที่เราสามารถทำงานต่อได้อีก 2 ปีที่นี่ แต่ว่าชั้นก็มีความคิดว่าชั้นไม่อยากทำงานออฟฟิศแล้ว ชั้นก็มีอีกเป้าหมายถึงที่เราอยากกลับไปทำงานมีธุรกิจเป็นของตัวเอง
อาจารย์ก็บอกเราว่าไม่เป็นไร งั้นให้เราลองเขียน 2 เป้าหมายของเรามาก่อน ยังมีเวลา ค้นหาตัวเองในระหว่างที่เราเรียนว่าเราอยากทำอะไร เราก็จะเริ่มเรียนรู้ว่าเป้าหมายไหนมันใช่เรามากกว่า สุดท้ายก็เลยตัดสินใจว่าเลือกทำ business plan ที่เราสามารถนำอันนี้กลับไปใช้ได้จริง ๆ เวลาที่เรากลับไปทำงานที่ไทย (ยิ้ม)
กิจกรรมนอกชั้นเรียนสำหรับหลักสูตร MBA ที่ Aston University
รีวิว Field Trip สำหรับคอร์ส MBA
Pond: จริง ๆ ที่นี่ก็มี Field Trip ทั้งในประเทศและต่างประเทศ คือส่วนใหญ่ Field Trip ที่นี่จะเน้นให้เราได้ไปดูวิธีการจัดการ การ operate ของโรงงานอุตสาหกรรม ไปดู production line ของเค้า ว่าวิธีการผลิต จัดส่ง เป็นอย่างไร แต่เราจะไม่ได้ไปแตะเรื่อง marketing หรือ finance ของเค้า แต่จะไปดูการบริหารจัดการ production line ของเค้ามากกว่า
อย่างทริปในประเทศ คือพอมาถึงยังไม่เปิดเทอม 1 เลยนะครับ ก็ได้ไป Field Trip เลยก่อนเปิดเทอม 1 อาทิตย์ ก็ได้ไปโรงงานรถ ไปดูว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ของที่นี่เป็นอย่างไร production line เป็นอย่างไร วิธีการจัดการเป็นอย่างไร
ส่วนต่างประเทศก็จะมีให้เลือกว่าเราอยากไป Field Trip ที่ประเทศไหน อย่างปีนี้มี 2 ประเทศให้เลือกคือ มีไปที่ฝรั่งเศส และ South Africa ซึ่งเค้าก็จะมีตารางมาให้เราว่าเราสนใจอุตสาหกรรมไหน
- ถ้าไปที่ฝรั่งเศส ก็จะได้ไปดูอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องบิน ได้ไปดู Airforce เรื่องการผลิต airbus ต่าง ๆ และได้ไปดูโรงงานผลิตช็อคโกแลต อันนี้ก็คือที่ฝรั่งเศส
- ถ้าไปแอฟริกา ก็จะได้ไปดูเรื่องของการเพาะปลูก เรื่อง agriculture เพราะบางคนที่มาเรียนต่อที่นี่ก็มีทำธุรกิจเกี่ยวกับเรื่องของอาหาร อะไรแบบนี้ เค้าก็จะเลือกไปที่นี่กัน
คือทางมหาวิทยาลัยก็จะให้เราเลือกครับ ซึ่ง Field Trip ที่นี่ก็ค่อนข้างดีเพราะเวลาเราไป Field Trip คือมหาวิทยาลัยดูแลเราดีมาก จัดการให้เราทุกอย่างเลย ทั้งที่พัก การเดินทาง หรือในส่วนของการดูงานขั้นตอนการผลิต มันเป็นอะไรที่ค่อนข้าง insight มาก ๆ
ประสบการณ์ Field Trip ที่ประเทศฝรั่งเศส
Pond: อย่างที่เราไปดูโรงงาน Airforce เค้าก็จะให้ข้อมูลเรา เช่น การผลิต airbus เค้ามีวิธีการผลิตอย่างไร ซึ่งบางทีมันเป็นโอกาสที่หายากมาก ๆ ในการที่เราจะเข้าไปดูว่าเค้าผลิตเครื่องบินกันยังไง ซึ่งไม่ใช่ทุกคนที่จะได้ดู ได้เห็น ว่าเค้ามีขั้นตอนการผลิตอย่างไรกว่าจะได้เครื่องบินออกมา 1 ลำ มันต้องใช้เวลานานขนาดไหนในการผลิต หรือเค้ามีวิธีการบริหารยังไงเวลาลูกค้าสั่งสินค้าแต่ละครั้ง หรือเวลาส่งมอบสินค้าให้ลูกค้าจะต้องจัดส่งอย่างไร เครื่องบิน 1 ลำ มันจะมีการส่งยังไง อะไรแบบนี้ หรือบริษัทเค้าจะต้องมีกี่สาขาบนโลกใบนี้ เพราะอะไรเค้าจะต้องมีสาขาที่นี่ ที่นั่น เค้าก็จะมีโจทย์ให้ว่า เค้าจะต้องเปิดสาขาที่ประเทศนี้เพราะอะไร ที่จีนเพราะอะไร ที่อเมริกาเพราะอะไร หรือทำไมถึงไม่เปิดสาขาที่อินเดีย ทำไมไม่ไปประเทศอื่นที่อาจจะมีค่าแรงงานต่ำกว่า ซึ่งมันก็จะมีเหตุผลอย่างเรื่องของการ shipping เข้ามาเกี่ยวข้องอะไรแบบนี้ครับ ซึ่งเราจะได้เห็นภาพอะไรแบบนี้
หรืออย่างไปโรงงานผลิตช็อคโกแลต เราก็จะได้เห็นว่าเค้ามีวิธีการผลิตช็อคโกแลตอย่างไร ซึ่งมันไม่ได้เป็นโรงงานทำช็อคโกแลตที่ scale ใหญ่ แต่อันนี้เป็นโรงงานทำช็อคโกแลตที่เน้นเรื่องการทำ fair trade ซึ่งก็คือยึดหลักการที่ว่าบริษัทต้องให้ประโยชน์กับเกษตรกรเป็นหลัก คือไม่ได้มองในเรื่องของกำไรที่บริษัทจะได้ แต่มองว่าคนที่ทำการเพาะปลูกจะได้อะไรตอบแทนกลับไปบ้าง อะไรแบบนี้
เราก็จะได้เห็นว่าการที่เราทำธุรกิจแบบ Fair trade มันสามารถสร้าง sustainability ได้อย่างไรบ้าง ยิ่งในยุคนี้มีการคำนึงถึงเรื่องของสิ่งแวดล้อม เรื่องสังคมอะไรต่าง ๆ ซึ่งมันเป็นเทรนที่มันกำลังจะมาในอนาคตและมันจะสำคัญมากยิ่งขึ้น คือทางมหาวิทยาลัยก็จะพาเราไปดูงานในสิ่งที่มันเป็นเทรนของอนาคตที่ทำไมเราถึงต้องมาดู มา focus ในเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ เราจะได้เห็นว่าการที่เราทำธุรกิจแบบ fair trade สร้างสรรค์สังคมพร้อมกับการแสวงหากำไรไปด้วย มันจะมีผลอย่างไรกับบริษัท และบริษัทของเราจะได้อะไร partner ของเราจะได้อะไร ประมาณนั้น
สนใจเรียนต่อ Aston University ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ฟรี คลิก
Business Challenge สำหรับคอร์ส MBA
Pond: ที่นี่เค้าจะมี business challenge คือเค้าก็จะมีงานมาให้เราทำครับ เป็นโจทย์จากบริษัทที่เป็นพันธมิตรกับทางมหาวิทยาลัย ใน 1 ปี ก็จะมี Business challenge ให้เราทำ 2 ครั้งครับ อย่างตอนนี้กำลังทำโจทย์จาก Virgin ทำเป็นงานกลุ่มกับเพื่อน ๆ แล้วก็นำงานของเราไปพรีเซ็นต์ให้กับทางบริษัทและอาจารย์ฟัง
คือพอเรียนเนื้อหาจบตาม term time ปกติ คอร์ส MBA ก็จะมี business challenge แทรกมาให้เราทำเพิ่มเติม
สิ่งที่ได้จากการเรียน MBA ที่ Aston University
Pond: คือปอนด์ว่านอกจากความรู้ในหลาย ๆ เรื่องที่เล่าไป การเรียนที่นี่มันเป็นประสบการณ์เราจริง ๆ ครับที่มหาวิทยาลัยพยายามหล่อหลอม ใส่ความรู้ ใส่ keyword ต่าง ๆ ที่มันสำคัญให้กับเรา เพื่อที่เราจะได้เป็นคนแบบนี้ อย่างเช่น sustainability นะที่เราต้องให้ความสำคัญ แล้วมันเกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง เราต้องมีการไปหาข้อมูล ทำ research เองเพิ่มเติม ซึ่งพอเรายิ่งอ่านงาน อ่าน paper มันทำให้เรายิ่งเข้าใจว่ามันเป็นเทรนนะ สมัยนี้เราไม่สามารถทำธุรกิจที่เน้นแต่จะสร้างกำไรอย่างเดียวมันไม่ได้แล้วนะ
อีกอย่างคือปอนด์ชอบที่การเรียนที่นี่มันต้องมีการ debate กับกันเพื่อนในห้อง อย่าง CSR สรุปแล้วมันดีหรือไม่ดี ความคิดจากนักวิชาการคนนั้นเป็นแบบนี้ นักวิชาการคนนี้เป็นแบบไหน คือ MBA มันไม่มี black and white มันเป็นอะไรที่อยู่ใน gray zone มาก แค่เราต้องเน้นการ critical มาก ๆ
อาจารย์จะย้ำกับเราเสมอว่าเราจะต้องมีการใช้ความคิดแบบ critical thinking คือเราเป็นนักเรียน MBA เราต้องมีระบบการคิด วิเคราะห์ให้เยอะ หรืออย่างการเขียนรายงานจะมาเขียนแค่ว่าอันนี้ดีเฉย ๆ ไม่ได้ มันจะต้องเขียนว่าดี ดีแล้วยังไง ต้องมาวิเคราะห์ว่ามันดีนะ แต่สำหรับฉัน ฉันว่ามันไม่ดี เราต้องมีงานวิจัยมาสนับสนุนความคิดเราด้วยว่าไม่ดีเพราะอะไร ไม่ใช่มานั่งบอกว่าไม่ดีเพราะ in my opinion มันไม่ดี มันไม่ได้ มันจะต้องมันไม่ดีเพราะชั้นอ่านวิจัยนี้มาเป็นแบบนี้ และทฤษฎีที่เธอสอนในห้องเราคิดว่ามันไม่สามารถนำมาใช้กับชีวิตจริงได้ เพราะฉันคิดว่าอีกทฤษฎีหนึ่งมันสามารถนำมาใช้ได้ดีกว่า อะไรแบบนี้ครับ คือมันต้อง critical มากจริง ๆ มันลงลึกจริง ๆ
อย่างตอนที่เรามาเรียนที่นี่ใหม่ ๆ เราเขียนงานแบบ critical ไม่เป็น เราเขียนเหมือนเขียน essay ทั่วไป คือมี introduction body summarize หรือแบบ first, second อะไรแบบนี้ แต่มันไม่ใช่ อาจารย์จะย้ำกับเราเสมอจริง ๆ ว่าเราจะต้องเขียนงานแบบคิดให้ลึก ไม่ใช่ว่าเค้าสอนอะไรแล้วเราเอามาเขียนเลย มันไม่ได้ คือบางอย่างมันก็เอามาใช้ไม่ได้จริงนะ เราต้องมานั่งวิเคราะห์แล้วว่าอะไรที่มันสามารถเอามาใช้ได้ ไม่ใช่มาบอกเฉย ๆ ว่าความคิดของเราเป็นแบบไหน เราไม่สามารถเขียนงานที่มาจากความคิดเราโดยที่ไม่มีที่มาที่ไป เราต้องหาข้อมูลมาสนับสนุนความคิดเราด้วยว่าเพราะอะไร
หรืออย่างเรื่อง citation ก็สำคัญมาก ๆ เราต้องอ่านให้เยอะ อ่านข้อมูลจากแหล่งมั่วซั่วก็ไม่ได้ เราต้องมีข้อมูลจากหลาย ๆ แหล่งข้อมูล สมมุติว่าเราคิดว่ามันไม่ใช่ และเราไปอ่านงานชิ้นนึงเจอว่าไม่ใช่เหมือนเรา แล้วเราคิดว่ามันได้หว่ะ ก็ไม่ใช่นะ มันก็ต้องอ่านงานหลาย ๆ ชิ้นงาน เอามาเปรียบเทียบกันว่ามันจริงไหม มันสามารถสนับสนุนความคิดเราได้อย่างมีน้ำหนักมากพอจริงใช่ไหม อะไรแบบนี้ มันสอนให้เราคิดเยอะขึ้นเอาง่าย ๆ
โอกาสที่เราได้รับจากการเรียนคอร์ส MBA
Pond: คือตอนแรกไม่ได้คาดหวังว่าการมาเรียน MBA ที่นี่จะทำให้เราโตขึ้นได้มากขนาดนี้ คือเรามีโอกาสเยอะขึ้น
อย่างปอนด์ไปหางาน part-time ทำ ช่วงที่เราพอจะว่างหลังเลิกเรียน ปรากฎว่าพอเราไปสมัครทำงานตำแหน่งเด็กเสิร์ฟปกติ แต่สุดท้ายที่ร้านถามเราว่าเราเรียนอะไรมา พอเราบอกว่าเราเรียน MBA เค้าก็เลย offer ให้เราเป็น manager ของร้านเลย ไม่ใช่ร้านเดียวด้วยนะ 2 ร้านเลย ร้านอาหารไทย 1 ร้าน และร้านอาหารเกาหลี 1 ร้าน ก็คือให้ตำแหน่ง manager เรามาเพื่อที่จะให้เรามาบริหารงานร้าน เช่นว่าเราควรจัดการร้านยังไง
เพราะมันมีเรื่องของการจัดเก็บสินค้า ซึ่งตรงกับที่เราเรียนเรื่อง operation
ต้องดูเรื่องยอดขายเพราะพอเราเป็นผู้จัดการร้านเราก็ต้องมีการประเมินในส่วนของงบประมาณ มีการ forecast sale ว่าในแต่ละสัปดาห์เราจะต้องขายให้ได้เราไหร่ และจะต้องสอดคล้องกับค่าแรงที่จะต้องจ่ายพนักงาน เช่นเราจะต้องไม่จ่ายค่าแรงเกินกี่เปอร์เซ็นต์ของยอดขายที่เราจะหาได้ เพื่อที่ร้านจะได้มีกำไร มันก็ต้องทำการคาดการณ์
มีดูเรื่องการตลาดว่าจะทำอย่างไรให้ร้านมียอดขายเพิ่มขึ้น มันก็เหมือนบ้านเราที่เมืองไทยว่าในแต่ละสัปดาห์มันก็จะมีช่วงที่ร้านยุ่ง และร้านเงียบ เราจะทำยังในวันธรรมดาที่คนไม่เยอะ เราต้องทำโปรโมชั่นอะไรไหม หรือวันเสาร์อาทิตย์ที่ลูกค้าเยอะ เราจะจัดการร้านอย่างไร
อย่างเรื่อง leadership ก็เกี่ยวเพราะเราจะต้องทำอย่างไรก็ได้ให้คนทุกคนฟังเรา ทำงานร่วมกันยิ่งเราเป็นเด็ก อายุ 25-27 แบบนี้ ไปทำงานกับคนที่เค้าอยู่มาก่อนหน้าเรา เป็นเชฟ หรือโตกว่าเรามาก ๆ เราจะทำยังไงให้เรารู้สึกอยากทำงานกับเรา ฟังเรา มันก็จะมีความท้าทายอะไรแบบนี้ คือมันเกี่ยวกับที่เราเรียนมาหมดเลย คือมันได้เอามาใช้ทั้งหมดเลยครับ (ยิ้ม)
นี่คือนอกจาก stimulation ในห้องแล้วยังได้ stimulation ในชีวิตจริงด้วย
Pond: ใช่เลยครับ คือปอนด์ยังแปลกใจเลยว่าเราเรียน MBA มันให้โอกาสเราขนาดนี้เลยหรอ เพราะอย่างเพื่อนบางคนสมัครงานเป็นเด็กเสิร์ฟก็ได้เป็นเด็กเสิร์ฟ แต่พอเราไปก็ได้ offer ตำแหน่งนี้มา อีกร้านหนึ่งก็เหมือนกันก็คือ manager เค้าออก แล้วก็กำลังหาคนมาแทนอยู่ แล้วมาเจอเราก็เลย offer ให้ตำแหน่งเรามา ก็ดีมาก ๆ ครับ เป็นเหมือนประตูให้เราได้ลองทำอะไรใหม่ ๆ ที่ท้าทายเรา
สุดท้ายนี้อยากฝากอะไรถึงน้อง ๆ ที่กำลังสนใจวางแผนเรียนต่อ MBA บ้างคะ?
Pond: คือปอนด์รู้สึกว่า MBA ให้อะไรกับเราเยอะมากจริง ๆ ทั้งโอกาส ความรู้ เพื่อน connection และที่สำคัญคือมันทำให้เรามีความคิดที่โตขึ้นกว่าแต่ก่อนมากจริง ๆ เพราะการมาเรียนที่นี่มันต้องคิดให้ลึกขึ้น ในขณะที่สมัยก่อนเราก็คิดของเราง่าย ๆ ตื้น ๆ คิดแบบผิวเผิน มองแค่ step 1 2 3 4 แต่พอตอนนี้เราเห็น 1 เราจะคิดว่า 1 เพราะอะไรนะ 1 แล้วจะได้อะไรต่อ เป็นไปได้ไหมที่มันจะออกมาเป็นแบบอื่น อะไรแบบนี้
คือการเรียน ป.โทมันได้จริง ๆ นะ บางคนมองว่าจะมาเรียน ป.โท จะมาทำไม เรียนในชีวิตจริงก็ได้ คือเรียนในชีวิตจริงก็ได้จริง ๆ แต่การเรียน ป.โท มันทำให้เราเปิดโลกอีกใบ มองภาพได้กว้างขึ้น คิดเยอะขึ้น ตีโจทย์ได้แตกขึ้น เจ๊งในกระดาษได้เป็น คือทำอะไรได้เป็น มีการจัดการความคิดอย่างเป็นระบบ มีการนำสิ่งที่เรียนมาปรับใช้กับธุรกิจได้จริง ๆ คือมันได้ลองทำในชีวิตจริงแบบที่เราไม่เคยเรียนรู้มาก่อน
ก็ถ้าน้อง ๆ สนใจเรียน MBA ก็แนะนำมาก ๆ ครับ (ยิ้ม)