แนะนำตัวให้เรารู้จักหน่อยค่ะ
นัทค่ะ นัทธมน ตอนนี้เรียนปริญญาโทอยู่ที่ Lancaster University คอร์สหนูเป็นคอร์ส Media and Cultural Studies ค่ะ
ทำไมถึงเลือกเรียนสาขานี้
หนูจบปริญญาตรีจากคณะการสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ค่ะ แล้วก็เรียนเอกด้าน Media มา แล้วหนูรู้สึกว่าสื่อเป็นอะไรที่ก้าวกระโดดมากๆ ในยุคนี้ ถ้าเราไม่เข้าใจรากหรือโครงสร้าง เราจะไม่มีทางคาดเดามันได้ และไม่มีทางตามมันได้ทัน แล้วหนูก็มีความรู้สึกว่าคนที่มีสื่ออยู่ในมือ คนที่สามารถควบคุมสื่อ เดาสื่อได้ เป็นคนที่สามารถดักทางหรือทิศทางในสังคมว่าอนาคตมันจะหันเหไปทางไหน หรือว่าอะไรที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ในสังคมนั้นๆ ซึ่งคอร์สนี้มันเป็น Media and Cultural มันเป็นการเรียนที่ครอบคลุมทุกอย่างที่หนูสงสัย และเท่าที่ดูคอร์ส overview มา มันครอบคลุมทฤษฎีทุกอย่าง อธิบายถูกต้องว่า เออทำไมมันถึงเกิดอะไรแบบนี้ สามารถ discuss กันได้ ก็เลยสนใจมากๆ แล้วรู้สึกว่าที่นี่แหล่ะ ตรงสุดแล้วในความสนใจของหนู
ทำไมถึงเลือกเรียนต่อที่ Lancaster University
หนูมี 2 ปัจจัยหลัก คือ อยากได้มหาวิทยาลัยที่ติด rank และก็ค่าครองชีพต่ำ ซึ่งมันเป็นอะไรที่ผันผวนกันแล้วหายากมาก แต่ Lancaster มันเป็นเมืองเล็กๆ ที่ค่าครองชีพต่ำจริงๆ เมื่อเทียบกับ London แล้วมหาวิทยาลัยก็ rank ดีมาก อย่างใน National league table ก็เป็น Top 10 มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดใน UK มันเลยทุกอย่างโอเค หลายๆ คนก็มีเตือนนะคะว่า Lancaster เมืองมันเล็กนะ จะชอบหรอ แต่ด้วยความที่หนูเป็น introvert ด้วยมั้งก็เลยรู้สึกว่าไม่เป็นไร ไม่ได้เที่ยวอยู่แล้ว แล้วมันก็เป็นเรื่องดีที่ไม่มีอะไรมา distract เราจากการเรียน แล้วถึงมันเป็นเมืองเล็กแต่ก็ไม่ใช่เมืองเล็กขนาดนั้น ก็มีทุกอย่างครบนะคะ เช่น ร้านอาหาร ผับ ฯลฯ ก็เลยเลือกมาเรียนที่นี่ เท่าที่ดูมานอกจากเรื่อง ranking ของมหาวิทยาลัยแล้ว อาจารย์ในสายนี้โดยเฉพาะก็เป็นอาจารย์ที่มีผลงานตีพิมพ์อยู่เยอะ มีจำนวนคนที่อ้างอิงงานอาจารย์เยอะ หนูก็รู้สึกว่าคุ้ม น่าสนใจ น่าไปเรียน แล้วอีกส่วนนึงที่เป็นดีเทลเล็กๆ คือ หนูชอบอากาศหนาวๆ เย็นๆ ค่ะ หนูก็เลยเลือกทางเหนือ เพราะหนูเบื่ออากาศร้อนที่ไทยมาก (หัวเราะ)
แล้วเป็นไง หนาวสมใจมั้ยปีนี้
ปีนี้เป็นอะไรที่ตอนแรกผิดหวังนิดนึงเพราะเพื่อนบอกว่า Lancaster ไม่มีหิมะเพราะอยู่ใกล้ท่าเรือ แต่มันมีหิมะปีหนู! ก็เลยรู้สึกสมใจมากกกก ไม่ว่าที่บ้านจะส่งรูปหมูกระทะมาเย้ยขนาดไหน หนูก็จะส่งรูปหิมะกลับไปเย้ย (หัวเราะ)
เตรียมตัวหาข้อมูลเรียนต่อ
พอคุยกับคุณแม่ว่าจะเรียนต่อแน่ๆ แล้ว คุณแม่ก็ลากหนูจากพิษณุโลกไปกรุงเทพ ไปงาน Study fair ที่ Hands On จัด ตอนนั้นยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าของ Hands On รู้แค่ว่า The UK Study Exhibition (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่องานเป็น Hands On Study Abroad Exhibition งานนิทรรศการเรียนต่อต่างประเทศ จัดขึ้นเป็นประจำในช่วงเดือน ตุลาคม – พฤศจิกายน ของทุกปี) คุณแม่ก็บอกไปเลยๆ ก็เลยไปเดินดู ไปเจอหลายมหาวิทยาลัยมากค่ะ ทั้งของ University of York (ใจจริงตอนแรกอยากไป York) ดู University of Westminster, The University of Manchester ตอนแรกไม่รู้จัก Lancaster เลยค่ะ จนมาเจอที่งานนั้น แล้วจำได้ว่าเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยกับพี่ Hands On ที่บูธ Lancaster เหมือนป้ายยาเก่งมาก หนูยืนอยู่ที่บูธนานมาก คือหนูได้ยินเรื่องเมือง Lancaster ตั้งแต่ War and Roses ใน Lancaster กับ York ไงคะ แล้วเพิ่งรู้ว่ามันมีมหาวิทยาลัยด้วยหรอ ก็เลยเป็นอีกไอเดียขึ้นมาในหัวว่า เฮ้ย เกรดเราผ่าน เรามีสิทธิสมัครได้ มีสาขาที่เราต้องการเรียนพอดีเป๊ะเลย ค่าครองชีพก็ต่ำ หนูก็เลยเลือกที่นี่แหล่ะมาเป็นอันดับหนึ่ง หลังจากนั้นหนูก็ได้ติดต่อกับพี่กิ๊ก พี่จาก Hands On มาเรื่อยๆ เค้าก็แนะนำเลยรู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง จากนั้นก็เริ่มเตรียมตัวเรื่อง IELTS ยาวเลยค่ะ
สนใจเรียนต่อ Lancaster University ปรึกษาพี่ๆ Hands On ฟรี คลิก
บริการจากพี่ๆ Hands On
พี่กิ๊ก ที่สาขาสีลม (สำนักงานใหญ่) ดูแลดีมากจริงๆ คือเรื่องการเรียนต่อมันเป็นอะไรที่พลาดไม่ได้ใช่มั้ยคะ ก็เลยรู้สึกว่าเราต้องมีคนที่คอยให้คำปรึกษา แล้วพี่กิ๊กคือช่วยได้เยอะมาก เค้าจะส่งทั้ง check list ทั้งอะไรต่างๆ คอยตรวจให้ ดูให้ว่าอันนี้โอเค ไปทำอันนี้หรือยัง เวลามันได้มั้ยอะไรมั้ย เลยรู้สึกทำให้เราเองอุ่นใจด้วยเพราะเราก็ไม่เคยมีคนรอบตัวที่ไปเรียนต่อต่างประเทศมาก่อน หนูก็เลยเหมือนเป็นตัวนำร่องแล้วได้พี่กิ๊กเป็นคนไกด์ก็เลยโคตรอุ่นใจเลยค่ะพี่ (ยิ้ม)
ตัดสินใจเรียนต่อในช่วงปี 2020/21
ตอนแรกเกือบไม่ได้มาแล้วค่ะ มีคุยกับคุณแม่ว่าหนูขอ defer ไปปีหน้าแล้วกัน หนูว่ามันไม่โอเค เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องการเรียน แต่เป็นเรื่องว่าหนูก็จะทำงาน part-time ไม่ได้ มันเป็นเรื่องที่หนูจะใช้ชีวิตปกติหรือไปผับไม่ได้ด้วย (หัวเราะ) แล้วคุณแม่ก็บอกว่าถ้าคิดดีๆ ก็เท่ากับว่าถ้าเรามาในปีนั้น เราได้ใบปริญญาแล้วนะ คือถ้าเราหายไปปีนึง มันไม่ใช่วันนึงหรือเดือนนึง มันคือปีนึง แล้วมันเป็นก้าวใหญ่ว่าเราสามารถสมัครงานได้หลังจากนั้นนะ ก็เลยตัดสินใจลองครึ่งๆ ซึ่งตอนนั้นอังกฤษเพิ่งคลาย lock down ครั้งแรกด้วย เลยคิดว่าสถานการณ์มันดีขึ้นแล้วแหล่ะ คงไปได้แล้วหล่ะ เลยตัดสินใจมา ตอนนั้นก็ถามในกลุ่มเพื่อนคนไทยหลายคนก็บอกว่ามา มาแน่ๆ สรุปก็เจอกันที่สนามบินจริงๆ ค่ะ 3 คน มากันแค่ 3 คนจริงๆ ค่ะ เกาะกลุ่มเกาะแขนกันมา ส่วนเรื่อง social life ก็มีรู้สึกบ้างว่าเราพลาดการไป night club กับเพื่อน แต่ว่าข้อดีใหญ่ๆ ของมันคือไม่มีอะไรมา distract เราจากการเรียนเลย ซึ่งตอนที่หนูมาจะว่าพลาดหมดเลยก็ไม่ได้นะ เพราะก็มีช่วงที่มาถึงก่อน lock down ล่าสุด หนูก็ยังได้ไปเที่ยว York ได้ไปเที่ยวผับ ก็ได้ทำโน่นนี่ก่อน lock down ไม่แย่ค่ะ แล้วโควิดที่ Lancaster เองก็ไม่ได้อันตรายเท่าเมืองใหญ่ๆ อื่นๆ เพราะเป็นเมืองเล็กๆ แล้วในมหาวิทยาลัยเค้าก็มีให้ตรวจฟรีตลอดค่ะ รู้สึกมีไข้ก็ไปตรวจได้เลย มาตรการเค้าดีเลยไม่มีอะไรต้องหนักใจเลยค่ะ
ได้โอกาสขอ Post-Study work visa ต่ออีก 2 ปี
ใช่เลยค่ะ ด้วย Visa ที่เค้าเปลี่ยนให้นักศึกษานานาชาติสามารถอยู่ทำงานต่อได้หลังเรียนจบ มันก็เลยเหมือนเป็นการเพิ่มตัวเลือกในการหางานให้หนู เป็นโอกาสที่ดีค่ะที่มาค่ะ
Pre-sessional English Course
ตอนแรกรู้สึกแย่มากเพราะคิดว่าเราตก IELTS หรือเปล่าเลยต้องมาเรียน Pre-sessional แต่พอเรียนไปเรียนมาแล้วรู้สึกขอบคุณตัวเองมากที่มาเรียนที่นี่เพราะมันไม่ใช่แค่การเรียนปรับพื้นฐานภาษาอังกฤษ แต่มันเหมือนเป็นการเรียนเตรียมตัวเรียนปริญญาโทไปในตัวค่ะ เค้าจะฝึกเรื่อง time management เราเลยค่ะ เค้าจะส่งเป็น coursework มาให้ว่าเราจะทำเสร็จภายในวันไหน และในช่วง coursework นั้นมันจะเป็นช่วงปรับพื้นฐานที่เราจะใช้ในตอนเรียน ไม่ว่าจะเป็นการอ่านจับใจความ, การเขียน academic writing, การเขียนเรียงความแบบต่างๆ หรือแม้การทดลองเข้าคลาสสัมมนาก่อนเข้าไปเรียนปริญญาโทจริงๆ เหมือน concept ของเค้าคือให้ลองที่นี่ก่อน ให้ลองผิดพลาดที่นี่ก่อนไปเสียคะแนนตอนเรียนปริญญาโทจริงๆ ค่ะ มันก็เลยเป็นคลาสเตรียมตัวที่รู้สึกว่า เฮ้ย ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีแบบนี้ถ้าไม่ได้มาเรียนนี่แย่เลยนะ แล้วพวก tutors ก็จะเป็นนักศึกษาปริญญาเอกที่นี่ ก็จะมีเรื่องแนะนำทั้งแบบวิชาการและนอกเหนือวิชาการ เช่น ชีวิตที่นี่เป็นยังไง เธอได้เข้ามหาวิทยาลัยมั้ย แล้วหนูเรียนออนไลน์ด้วยไงก็เลยได้ถามว่าควรเตรียมอะไรไปบ้าง
รีวิวการเรียน Media and Cultural Studies แบบฉบับออนไลน์
ก็คือมาถึงหนูก็ต้องกักตัวก่อน 14 วัน แต่ช่วงที่หนูกักตัวนั้นเค้าก็เริ่มเรียนแล้ว แต่ว่าระบบที่นี่ก็ไม่ได้ติดขัดมากนะคะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโควิดหรืออะไรทุกอย่างก็ยังดำเนินไปเหมือนเดิมแค่ย้ายมาเป็นออนไลน์ ก็เจอกันทางออนไลน์ใน Microsoft Team มี lecture อัพโหลดให้ก่อนแล้วเราค่อยมา discuss กันใน Microsoft Team อีกชม.ครึ่ง 2 ชม. ต่ออาทิตย์ต่อวิชานะคะ แล้ว coursework ทุกอย่างก็ออนไลน์หมด ไม่ได้กระทบอะไร ส่วนเรื่องการเรียนของที่นี่มันเกินความคาดหวังหนูมากเลยค่ะ เพราะหนูเคยดูหนังแล้วเหมือนต้องอ่านหนังสือมาก่อนเข้าคลาสนะ เธอต้องทำอันนี้มาก่อน ฯลฯ ซึ่งมันก็เป็นจริงๆ มันเจ๋งมาก อาจารย์ทุกคนก็จะกระหน่ำ reading list ยาวๆ มาให้อ่านก่อนเข้าคลาส lecture videos ประมาณ 4-5 วิดีโอก่อนเข้าคลาส แล้วมันแตกต่างจากไทยมากๆ ตรงเรื่อง discussion เนี่ยแหล่ะค่ะ ตอนแรกๆ ก็ไม่กล้ายกมือ ไม่กล้าเปิดไมค์ ไม่กล้าอะไรเลย แต่หลังๆ เค้าก็เริ่มจะจำชื่อหนูได้เรียกให้หนูพูด ก็สนุกมาก เป็นประสบการณ์ที่หาไม่ได้ค่ะที่ไทย (ยิ้ม)
วิชาไหนที่เรารู้สึกว่าประทับใจ
วิชาแรกที่เริ่มเรียนเลยค่ะ เป็นวิชา Critical Debates in Media and Cultural Studies เป็นวิชาที่เค้าเอาทุกคนมานั่งจูนเลยว่าคอร์สเราเริ่มมาจากทฤษฎีพวกนี้นะ ด้วยความที่มันเป็น Media and Cultural ใช่มั้ยคะ มันไม่ใช่เป็นการเจาะจงไปเลยว่าเป็น Political หรืออะไรแบบนี้ นักเรียนสามารถเอาทฤษฎีหลายๆ อย่างมาปรับใช้ในการเขียนเรียงความได้เองว่าคุณชอบไปทางสายไหน จะหยิบทฤษฎีจาก week 1, 2 แล้วไปปรับใช้เอาไปวิเคราะห์ในการเขียนได้เลย แล้วมันเป็นคลาสที่อาจารย์จะประโคมใส่เราด้วยทฤษฎีรอบด้าน ทั้ง Economic, Political ต่างๆ เรียนเรื่อง Modern Fake News, Propaganda ทุกอย่างมาหมดเลยค่ะ มันเหมือนเป็นเวที debate ที่สนุกมากๆ เต็มอิ่ม 2 ชั่วโมงครึ่ง ทุกคนก็จะมาแบบ แบบนี้ฉันว่าไม่ใช่ ฉันว่าตามทฤษฎีมันว่าแบบนี้ได้เหมือนกันนะ เหมือนหนูนั่งในสงครามขนาดย่อมๆ แต่ดีที่มันเป็นออนไลน์ (หัวเราะ) ทุกคนก็ยกมือตอบกัน มันเป็นอะไรที่สนุก แล้วก็เป็น first impression ด้วยก็เลยประทับใจมากค่ะ
เพื่อนๆ ในคลาสเป็นยังไงบ้าง พอเราเรียนออนไลน์แล้วได้ติดต่อกับเพื่อนสนิทกับเพื่อนไหม?
คุยกันเยอะมากค่ะ เพราะว่าอาจารย์เค้ายังคงความเป็น discuss จะแบ่งเราไปใน breakout room ทุกครั้งเวลา 1 ชั่วโมงแรกผ่านไป ยังเหลือเวลาอีกชั่วโมงครึ่ง เค้าจะจับเราแบ่งไปคละกันกับเพื่อน ๆ ที่เหลือให้เราได้ discuss หัวข้อแล้วกลับมา report แล้วก็มา discuss ในห้องใหญ่อีกว่าเห็นด้วยกับกลุ่มนี้มั้ย แล้วในคลาสโชคดีที่เป็นสายสังคมนะคะ ก็เลยมีคละกันไปหลายเชื้อชาติมากๆ ทั้งจีน คนไทยก็หนูคนเดียว คนอังกฤษจากคณะอื่นที่มาลงวิชานี้อีก ก็เลยได้ทั้งข้อมูล ความคิดจากหลายภูมิภาคของโลก เหมือนเปิดโลกในการคิดวิเคราะห์ทางสายสังคมของเราไปเลยค่ะ
สนใจเรียนต่อ Lancaster University ปรึกษาพี่ๆ Hands On ฟรี คลิก
Lancaster University
ก็ช่วงนี้เข้ามหาวิทยาลัยทุกวันเลยค่ะ Lancaster University ก็เป็นมหาวิทยาลัยที่ตึกไม่ได้เป็นตึกเก่าๆ แบบหลายมหาวิทยาลัยในอังกฤษที่ทุกคนคุ้นชินกับภาพ แต่เป็นตึกแนว modern หน่อยๆ บรรยากาศในมหาวิทยาลัยก็ยังมีความเป็นอังกฤษมากๆ นะคะ แล้วมหาวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยที่แบ่งประมาณ 9 colleges คือแต่ละที่ไม่ว่าจะเดินไปไหนก็จะมีที่พักนักศึกษาของ college นั้นๆ แต่ละ college ก็มีบาร์ มีร้านอาหารเป็นของตัวเอง ก็เลยเป็นมหาวิทยาลัยที่มีสัดส่วนของมันเองและทุกที่ก็เชื่อมกันหมดเลย และตรงรอยต่อรอยเชื่อมพวกนั้นมันเป็นพื้นที่สีเขียว มันคือสนามหญ้ามีเป็ด กระต่าย กระรอก นกนางนวล ผสมผสานระหว่างตึกกับป่าได้อย่างลงตัวมากๆ เลยค่ะ แล้วมหาวิทยาลัยที่นี่ปลอดภัยมากๆ ค่ะ เพราะว่าทุกตึกจะมี security มี CCTV มีปุ่มให้กดเวลาเกิดเหตุฉุกเฉินและแทบไม่มีที่มืดเลยค่ะ ไฟถนนเป็นอัตโนมัติ ภาพรวม Lancaster University ก็เป็นมหาวิทยาลัยที่ปลอดภัย สงบมากๆ ไม่ต้องกลัวเรื่องอันตรายอะไรเลยค่ะ
มีอีกเรื่องที่ชอบมหาวิทยาลัยนี้คือ เรื่องการดูแลนักศึกษาค่ะ ด้วยความที่เค้าได้ rank นักศึกษามหาวิทยาลัยต่างชาติอันดับหนึ่งเลย เค้าจะมี policy ที่ดูแลนักศึกษาต่างชาติดีมากๆ เช่น ช่วงคริสมาสต์พวกหนูจะไม่ได้กลับบ้านกันใช่มั้ยคะ พวกนักศึกษาต่างชาติก็จะอยู่หอกัน เค้าก็จะมีอาหารคริสมาสต์แจกฟรีจากทางมหาวิทยาลัย มีของขวัญคริสมาสต์ให้ลงไปรับ อย่างช่วงตรุษจีน มหาวิทยาลัยก็จะสั่งอาหารจากร้านอาหารจีนในมหาวิทยาลัยมาเลี้ยงเด็กเอเชียที่นี่ ก็สามารถจอง slot เวลาแล้วเดินไปรับได้เลย เค้าจะคอยติดต่อนักศึกษาตลอดเวลา ตอนช่วงที่มาถึงใหม่ๆ ถ้า culture shock เค้าก็มีสายด่วน Mental health ให้ หรือถ้ามีอะไรที่รู้สึกผิดแปลกไปก็โทรได้ตลอดเวลา เค้ามี offer ดูแลเราในระดับนี้ด้วย ก็เลยรู้สึกประทับใจกับมหาวิทยาลัยนี้มากๆ เลย
เมือง Lancaster
สำหรับหนู หนูเป็นพวกเนิร์ดประวัติศาสตร์อังกฤษ ชอบตึกสวยๆ เก่าๆ หนูรู้สึกเติมเต็มมากเลยค่ะ เพราะเมืองนี้เป็นเมืองเก่ามากแล้วก็เป็นเมืองพันปี หนูรู้สึกว่าถ้าอยากมาเดินถ่ายรูป ว่างๆ อากาศดีๆ ไปสวนสาธารณะที่มีปราสาทเก่า มีรอยกำแพง ได้หมดเลยนะคะ แล้วที่นี่ก็เป็นเมืองที่มีทุกอย่างครบ ทั้งสถานีรถไฟ ร้านอาหารฟาสฟู้ดพื้นฐานมีหมดค่ะ ร้านชาไข่มุกก็มี อาหารประเทศต่างๆ ก็มีค่ะ ศูนย์การค้าก็มีครบค่ะ มีความเป็นเมืองครบทุกอย่างที่ต้องการ ข้อดีอีกอย่างนึงคือ Lancaster เป็นเมืองที่เหมือนเป็นจุดตรงกลางที่สามารถนั่งรถไฟไป York ก็ได้ Manchester ก็ได้ หรือจะไป National park พวก Lake district ก็ไม่เกิน 2-3 ชั่วโมง มันก็เหมือนว่าเราไม่ต้องเที่ยวในเมืองก็ได้ สามารถนั่งรถไฟไปเที่ยวในวันเสาร์อาทิตย์ได้ มันสะดวกไปซะหมดเลยค่ะ โดยรวมแฮปปี้สุดๆ เลยค่ะ หนูรู้สึกว่ามาถูกเมืองมาก (ยิ้ม)
ที่เมือง/มหาวิทยาลัย มีมาตรการอะไรป้องกันโควิดให้เราบ้าง
ตอนนี้ก็สามารถเข้ามหาวิทยาลัยได้ตามปรกติแล้วนะคะ ก็คือมหาวิทยาลัยก็ apply กฎระเบียบตามแผนการคลาย lockdown ของทางรัฐบาลค่ะ
แต่ช่วงก่อนหน้านี้ทางมหาวิทยาลัยก็ดูแลเราดีมากๆ ค่ะ อันดับแรกที่เด่นๆ เลยคือเรื่องการตรวจโควิด ทั้งจากมหาวิทยาลัยที่เป็นการตรวจ symptom คือใครอยากไปตรวจก็ตรวจ กับ NHS ที่หนูเคยไปตรวจเพราะป่วยที่นี่แล้วหมอสั่งให้ไปตรวจเหมือนกัน ทุกอย่างอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยแล้วมันสะดวกมากๆ เลยค่ะ ก็คือตรวจแล้วรู้ผลเลยภายในวันหรือสองวัน เหมือนทุกคนก็เลยเดินผ่านกันแล้วไม่ต้องห่วงเพราะฉันตรวจโควิดมาแล้ว ฉันไม่ติดโควิดนะ มันเป็นการยืนยันได้ว่าเราปลอดภัย อีกอย่างนึงคือเค้ามีกฎแน่นหนามากเรื่องใส่หน้ากากอนามัยเวลาเข้าตึก ห้องสมุดยังเปิดนะคะ แต่ทุกอย่างจะเป็นการเว้นระยะห่าง นั่งกันห่างมาก ห้ามถอดหน้ากากอนามัยเวลาลุก/เดิน แล้วเวลาใครจำเป็นต้องใช้ Lab ก็ต้องมีผลตรวจโควิดไปยืนยันด้วยว่าเป็นลบจริงๆ คือเค้าจะเคร่งเรื่องนี้มากๆ ในช่วงนี้ที่อยู่ในช่วง lock down ก็ยังไม่มีคลาสที่ได้เรียนแบบ in person นะคะ ทุกอย่างจะเป็นออนไลน์ไปซะหมด ด้วยความที่นี่เป็นเมืองเล็กๆ แต่ทุกอย่างเป็น contactless payment หมดเลยค่ะ ไม่มีการใช้เงินสด หนูไม่ได้ใช้เงินสดเลยค่ะ มาถึงก็ใช้บัตรสแกนจ่ายทุกอย่าง ก็เลยเป็นการลดความเสี่ยงโควิดได้หมดเลย แล้วหนูก็พกสเปย์แอลกอฮอล์กับหน้ากากอนามัยมาเยอะมากเลยค่ะ แต่ที่นี่ก็มีขายนะคะ มีเป็นตู้กดเลย หรืออย่างห้องสมุดหรือที่ไหนก็ตาม ทุกที่จะมีที่กดเจลแอลกอฮอล์ล้างมือให้ หรือในห้องสมุดทุกโต๊ะก็จะมีสเปย์แอลกอฮอล์กับทิชชู่ให้ฉีดทำความสะอาด คือเค้าเตรียมไว้ให้หมดเลยค่ะ
แนะนำน้องๆ ที่สนใจเรียนต่อที่อังกฤษ
แนะนำว่าถ้าเรามีโอกาสได้มาแล้ว มาเลยค่ะ เพราะว่าการป้องกันโควิดต่างๆ มันขึ้นอยู่กับเราด้วยว่าเราป้องกันดีมั้ย ถ้าเราใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา ล้างมือจริงๆ เราก็ป้องกันไวรัสจากคนอื่นได้ แล้วที่นี่ก็มีมาตรการทุกอย่างรองรับอยู่แล้ว ถ้าคุณมาถึงแล้วสมมุติ สมมุติว่าโชคร้ายจริงๆ ติดโควิดตั้งแต่บนเครื่องบิน ทางมหาวิทยาลัยก็อำนวยความสะดวก มีอาหารส่ง สั่งได้ส่งถึงหน้าห้อง มีมาตรการรองรับที่เข้มงวดและก็ดูแลดีมากค่ะในมหาวิทยาลัยนี้นะคะ ต่อให้มาปีนี้ 2021 ก็ไม่ได้พลาดอะไรไป เพราะว่าอังกฤษก็ค่อยๆ ยกระดับการผ่อนปรนมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว พอช่วงมิถุนายนทุกอย่างก็จะเริ่มเปิด น้องๆ ก็จะไม่ได้พลาดอะไรเลยค่ะ ต่อให้มันยังไม่ได้หายไปไหน ทุกอย่างที่เข้ามาเป็นออนไลน์ก็ยังได้สัมผัสความดุเดือดเข้มข้นในการเรียนเหมือนเดิม มีงานกลุ่มที่ต้องไปดีลกับเพื่อน นัดเจอกับเพื่อนที่ห้องสมุดอยู่ดี แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนเลยค่ะ
สนใจเรียนต่อ Lancaster University ปรึกษาพี่ๆ Hands On ตัวแทนมหาวิทยาลัยอย่างเป็นทางการประจำประเทศไทยฟรี เพียงกรอกแบบฟอร์มด้านล่าง หรือ คลิก