Hands On Education Consultants

รีวิว MSc Agriculture and Development ที่ University of Reading โดย Nut

แนะนำตัวให้เรารู้จักหน่อยค่ะ

Nut: สวัสดีครับ ผมชื่อเล่นชื่อณัฐ ตอนนี้เรียนปริญญาโทอยู่ที่ University of Reading สาขา MSc Agriculture and Development ครับ

ทำไมถึงเลือกเรียนสาขานี้

Nut: เริ่มแรกก่อนที่จะมาเรียนที่นี่นะครับ ผมจบปริญญาตรีคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล สาขาวิชาพฤกศาสตร์ ตอนนั้นผมก็มีความสนใจเกี่ยวกับเรื่องการเจริญเติบโตของพืช เราจะดูว่าทำยังไงให้พืชมันเจริญเติบโตได้ดี ให้มีผลผลิตได้ดี ทีนี้มันก็นำมาสู่การต่อยอดว่าเราก็น่าจะเรียนเกษตรต่อนะ จะได้เอาไปขยายผลทำให้การเพาะปลูกในประเทศไทยมันดีขึ้น ผมก็เลยมองหามหาวิทยาลัยหลาย ๆ ที่ หลาย ๆ หลักสูตร จนสุดท้ายก็ได้มาเจอที่นี่ครับ ที่ University of Reading เป็นมหาวิทยาลัยที่โดดเด่นด้านการเกษตร ก็เลยเลือกเข้ามาเรียนสาขานี้

ตอนนี้ก็กำลังใกล้จะทำ dissertation แล้ว ก็เลือกทำเกี่ยวกับสาขาด้าน Crop Science คือด้านที่ดูแลด้านการเพาะปลูกพืชโดยตรงครับ

การเตรียมตัวเรียนต่อ

Nut: ช่วงนั้นที่ต้องเตรียมตัวเรียนต่อ ก็เตรียมหลายอย่างครับ คือต้องเตรียมความรู้ด้านภาษาก่อน เราก็ต้องเตรียมภาษาอังกฤษให้ดี เพื่อสอบ IELTS ช่วงนั้นเราก็ต้องพยายามหาข้อมูล พยายามฝึกทำข้อสอบเก่า ๆ แล้วซ้อมจนกว่าเราจะชำนาญจึงไปสอบ ในจุดนี้ถ้าถามว่าเตรียมยังไง ตอนนั้นผมไปสมัคร IELTS ตรง British Council แล้วเค้าให้เป็น Official guide มา ผมไม่แน่ใจว่าตอนนี้ยังมีอยู่หรือเปล่านะครับ แต่ว่าตัวหนังสือ Official guide of IELTS มันจะมีพวกข้อสอบเก่าและแนวในยุคนั้นมันค่อนข้างจะตรง เลยทำให้ปรับตัวได้ง่าย ส่วนพาร์ทที่หลายคนบอกว่าอาจจะมีปัญหา อย่างเช่น Speaking อันนี้ผมแนะนำว่าให้ไปลองดูคลิปใน YouTube พวกนี้เค้าค่อนข้างจะมี guideline ว่าเวลาเราพูด เราควรพูดแบบไหนถึงจะได้คะแนนที่ดีขึ้น

รู้จักพี่ Hands On ได้ยังไงคะ?

Nut: จริง ๆ ย้อนไปเมื่อปลายปี 2019 ตอนนั้นผมไปเดินงาน OCSC expo แล้วก็เดินไปที่บูธ University of Reading ด้วย แล้วก็ได้เจอกับทีมงาน Hands On ก็คือคุณกิ๊ก เค้าก็ให้นามบัตรผมมา แล้วจุดนั้นเองตอนที่ผมตัดสินใจว่าจะสมัครเรียนที่นี่ ผมก็เลยอีเมลตรงเข้าไปหาคุณกิ๊กเลยครับ

พี่ Hands On ดูแลอะไรบ้าง เล่าให้ฟังหน่อยค่ะ

Nut: พี่กิ๊กเค้าดูแลดีมากครับ แนะนำตั้งแต่การเขียน SoP ตอนนั้นผมมีคะแนน IELTS แล้วครับ แต่ด้วยความที่ว่ามันใกล้หมดอายุ ก็เลยต้องไปสอบใหม่ พี่เค้าก็ให้คำแนะนำเพิ่มเติมทั้งเรื่องการดูแลติดต่อประสานงาน การส่งเอกสารต่าง ๆ จนช่วงที่จะต้องยื่นขอวีซ่า ก็จะมีพี่เจ้าหน้าที่ดูแลเรื่องขั้นตอนการสมัครวีซ่าโดยเฉพาะ ชื่อพี่จู คอยดูแลให้ครับ คือให้คำแนะนำผมเลยว่าต้องกรอกยังไง เลื่อนคิวยังไง แล้วก็ช่วยติดตามผลตลอด พอช่วงใกล้ ๆ ก่อนที่ผมจะเดินทางมา ช่วงนั้นมันมีปัญหาเรื่องที่ประเทศไทยติด Red list ทำให้วีซ่า delay กันหมด ก็ได้คำแนะนำจากพี่กิ๊กในการช่วยให้คำแนะนำเพิ่มเติมในการติดต่อมหาวิทยาลัยว่าขอเรียนออนไลน์ก่อนช่วงนึง แล้วเดี๋ยวจะบินตามเข้ามา ก็ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีครับ

สนใจเรียนต่อ University of Reading ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ฟรี คลิก

รีวิวคอร์ส MSc Agriculture and Development

คอร์สเรียนที่นี่เป็นอย่างไรบ้างคะ?

Nut: หลัก ๆ มีอยู่ 2 ส่วนครับ ก็คือส่วนที่เป็น Core modules กับ selective modules ครับ แต่ระบบที่นี่เป็นระบบ module ซึ่งจะมีบางวิชาที่เรียนทั้งปีคือ 2 เทอม กับบางวิชาเรียนแค่เทอมเดียว อาจจะเรียนแค่ Spring หรือแค่ Autumn แต่ว่าเราจะเลือกลงเป็นวิชาหลักกับวิชาเลือก

วิชาหลักส่วนใหญ่จะเน้นในด้าน Agricultural Development ก็คือด้านของการพัฒนาการเกษตร เราจะทำยังไงให้ระบบการเกษตรในพื้นที่ของเราเองมันดีขึ้น เค้าก็จะเสนอหลายวิธีครับ อย่างเช่น การปลูกพืช เพาะปลูกโดยที่เราไม่จำเป็นต้องไถพรวนดินซ้ำ ๆ บ่อย ๆ เพราะว่าการไถพรวนดินมันทำให้ดินอัดแน่นจนแข็งเวลาปลูกขั้นตอนต่อไปมันจะลำบาก

หรืออีกจุดที่น่าสนใจก็จะเป็นพวกเทคโนโลยีการเกษตร อันนี้เป็นวิชาเลือกครับ เค้าก็จะแนะนำว่าเทคโนโลยีนี้ ให้ประโยชน์ยังไง ดียังไง มีข้อจำกัดอะไรที่ยังต้องรอการพัฒนาต่อไป

แล้วมันจะมีวิชาพื้นฐานอื่น ๆ ด้วยครับ ส่วนใหญ่จะออกแนวสายนโยบายเยอะ เช่น วิชา International Development ก็เรียกว่า theories and practice of development อันนี้มันจะเป็นแนวคิดพวกสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ เอามาจับว่าทำไมโลกถึงพัฒนามาถึงจุดนี้ อะไรเป็นทฤษฎีทางการเงินที่เข้าไปจับ แล้ววางแผนนโยบายออกมายังไง จะ balance กับความต้องการของคนอื่นยังไง ประยุกต์หลายศาสตร์มากครับ วิชานี้หลายคนค่อนข้างจะบ่นว่าเข้าใจยาก ผมอยากแนะนำว่าถ้าเป็นไปได้ให้เตรียมความรู้ทางด้านสังคมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ไว้นิดนึงก็ดี อย่างน้อยมาเรียนที่นี่ เริ่มแรกจะได้เข้าใจง่ายขึ้นครับ

วิชา Plants, greenspace and urban sustainability ก็คือเป็นวิชาเกี่ยวกับพวกสวนที่อยู่ในเมือง พวกสิ่งแวดล้อม สวนมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมยังไง ช่วยให้คนเมืองได้ประโยชน์ยังไงบ้าง ก็ไปที่สวนบริเวณแถว ๆ Hexagon ตรงนั้นเมื่อก่อนเป็นที่ทำการศาลาว่าการเมือง พอรื้อตึกออกไปกลายเป็นสวนตรงนั้น ก็เป็นที่ให้คนมาเดินเล่น เค้าอธิบายว่ามัน service กับชุมชนยังไง ชาวบ้านได้ประโยชน์ยังไง

ส่วนอีกวิชานึงที่เป็นวิชาบังคับ จะเป็นวิชา Experimental Agriculture จะเป็นบังคับเลือกครับ คุณจะเลือกได้ 2 tracks ก็คือจะเลือก Horticulture หรือ Agriculture

ต่างกันยังไงนะ

Nut: Horticulture คือการเกษตรแบบเน้นที่พืชครับ ปลูกพืช ก็จะเน้นเรียนออกแบบการทดลองเกี่ยวกับพืชเลย ส่วน Agriculture จะมองการเกษตรโดยรวมครับ ก็จะดูทั้งพืช ทั้งสัตว์ แต่ว่าเนื้อหาที่สอนเค้าจะมองไปที่ปศุสัตว์ ทดลองกับปศุสัตว์ยังไง จริยธรรมวิชาชีพ จะทดลองเค้าต้องดูด้วยว่ามันเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม แล้ววิชานี้ไฮไลท์ที่สำคัญก็คือ เรามาเรียนเกษตร เราอย่าเรียกว่าเรามาเรียนแค่การทดลอง ตรวจผลแล็บเฉย ๆ เอาผลไปโยนเข้าโปรแกรมสถิติแล้วคำนวณ ไม่ใช่นะครับ อันนี้เราจะได้เรียนทั้ง process เลยครับ เริ่มตั้งแต่ออกแบบการทดลองยังไง เก็บผลยังไง วิเคราะห์ผล ที่นี่ไม่ได้ใช้โปรแกรมสำเร็จรูปนะครับ ที่นี่เขียนโปรแกรมภาษา Python ถ้าเรามีพื้นฐานโปรแกรมนี้ด้วยมันจะดีมากเลยครับ ผมเห็นเพื่อนหลายคน ตอนแรกเค้าค่อนข้างจะติดขัดในเรื่องนี้ อันนี้ผมคิดว่าถ้าใครสนใจ เตรียมตรงนี้มาด้วยก็ดี แล้วก็สุดท้ายด้วยความที่เป็นวิชาที่ออกแนววิทยาศาสตร์เราจะต้องมีเขียนรายงานเป็นกึ่ง ๆ คล้ายกับบทความทางวิชาการ

สนใจเรียนต่อ University of Reading ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ฟรี คลิก

วิชาไหนที่เราชอบที่สุด

Nut: ส่วนตัวผมชอบวิชา Experimental Agriculture นี่แหล่ะครับ มันค่อนข้างตรงแนวผมที่สุด ได้ทำแล็บ ได้เก็บผล ได้เขียน paper ได้วิเคราะห์ผล มันเป็นการอัพสกิลตัวเองอีกครั้งนึง หลังจากที่ส่วนใหญ่ผมจะเจอเนื้อหาวิชาสายนโยบาย มันก็เปิดโลกนะครับ มันได้เห็นอะไรหลาย ๆ อย่างที่เป็นจุดให้เรากลับไปพัฒนาต่อได้ แต่ด้วยจุดมุ่งหมายหลักที่ต้องการต่อยอดด้านวิทยาศาสตร์อยู่แล้ว ก็เลยชอบวิชานี้เป็นพิเศษครับ

บรรยากาศในห้องเรียนบ้าง เพื่อน ๆ เป็นไง คนเรียนเยอะมั้ย?

Nut: คอร์สนี้เยอะครับ ปีนี้ประมาณเกือบ 30 คน ผมเข้าใจว่ามีบางคนเลื่อนจากปีที่แล้วเนื่องด้วยสถานการณ์โควิด เพื่อนที่มาเรียนก็ค่อนข้างหลากหลายนะครับ มีทั้งจากคนอังกฤษ มีคนที่มาจากประเทศอาเชียน ทั้ง ฟิลิปปินส์ อินโดนิเซีย ญี่ปุ่น ที่มาเรียนเยอะ ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นคนแอฟริกัน อันนี้คือเค้าต้องการเอาความรู้กลับไปวางนโยบายไปพัฒนาประเทศเค้า เค้าก็เลยส่งคนมาเยอะมาก

สไตล์การเรียนที่นี่คือเราจะต้องเตรียมตัวเรียนก่อนครับ อาจารย์จะปล่อยคลิปเป็นวิดีโอ podcast ให้เราไปดู หรือที่เค้าเรียกว่า screencast เราก็ดู เตรียมเนื้อหา อย่างน้อยต้องได้คอนเซ็ปต์อะไรมาสักอย่างเพื่อเอามา discuss ในห้องเรียน ทีนี้ก็จะมีเพื่อนบางคนที่เค้าเก่งมาก ๆ เค้าก็จะนำประเด็นช่วย discuss แล้วหลาย ๆ คนก็ช่วยแสดงความคิดเห็นตาม ส่วนใหญ่ก็อิงจากทั้งที่เรียนและประสบการณ์โดยตรง แลกเปลี่ยนข้อมูลกัน แล้วบรรยากาศก็คืออาจารย์เหมือนเป็นแค่คน guideline ให้ว่าเรามีประเด็นนี้นะ แล้วแต่ละกลุ่มก็จะนำ discuss กันเองว่าได้ข้อสรุปประมาณไหน แล้วก็มาแชร์กันในห้องเรียนตอนสรุปท้ายคาบอีกทีนึง

บางห้องเรียนก็เป็นวิชาที่เรียนรวมกับเด็กป.ตรีครับ สไตล์การเรียนการสอนก็จะเป็นอีกแบบนึง เช่น อาจารย์บางท่านก็จะเอาโปรแกรม Kahoot! มาเป็น quiz ให้ทดลอง วัดความเข้าใจว่าที่เราฟัง screencast มา เราเข้าใจแค่ไหน ข้อไหนที่เด็กตอบกันไม่ได้เยอะ อาจารย์ก็จะช่วยอธิบายย้ำตรงนี้ให้ บางวิชาจะมีออก field ด้วย ก็จะมีพาไปนอกสถานที่ ช่วงนั้นเค้าก็จะพาไปดู แล้วก็มีไกด์ช่วยบอกครับ บางครั้งก็จะมี assignment จากที่ไปออก field ด้วย

Field Trip กับคอร์ส MSc Agriculture and Development

Nut: อย่างล่าสุดเมื่อเดือนมกราคมไปออก field ที่พิพิธภัณฑ์ The Museum of English Rural Life เค้ามีวัตถุปริศนาครับ เป็นวัตถุที่แสดงในพิพิธภัณฑ์ 5 ชิ้น แล้วให้เราเลือกมา 1 ชิ้นแล้วเขียนรายงานว่าประวัติความเป็นมายังไง มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมั้ย แล้วช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงมันมีปัญหาหรือข้อขัดแย้งเกิดขึ้นกับผู้ใช้งานหรือเปล่า

มีไปที่ศูนย์วิจัย International Cocoa Quarantine Centre ก็เป็นศูนย์วิจัยของมหาวิทยาลัยครับ เป็นโรงเรือนที่เก็บต้นพันธุ์โกโก้เอาไว้ เมื่อถึงเวลาที่จะทำการทดลองวิจัยดูว่าจะขยายพันธุ์โกโก้ยังไง ดูสภาพการเจริญเติบโตยังไง สนุกครับ ได้เจออาจารย์ผู้เชี่ยวชาญ ได้ซักถาม ตอบข้อสงสัยหลาย ๆ อย่าง ได้เปิดหูเปิดตาครับ

นอกเหนือจากการไปทัศนศึกษานอกห้องเรียนตามที่พูดไปเมื่อครู่นี้แล้ว ก็มีทัศนศึกษาพิเศษด้วย บางครั้งอาจารย์ก็มีมาบอกว่าใครสนใจไปดูงานก็ให้มาลงชื่อ ก็มีพาไปที่ฟาร์มโคนมที่ Centre for Dairy Research ก็ไปดูวิจัยโคนม อาจารย์ก็จะบรรยายแล้วสุดท้ายก็มีพาไปดูในฟาร์มจริง ๆ ว่าเค้าบริหารจัดการกันยังไง

คือต้องบอกว่า อย่างช่วงแรกโปรแกรมหลาย ๆ ที่ อาจารย์ยังให้เป็นลักษณะของ virtual visit หลังจากนั้นก็คือจะให้ออกไป field trip จริง ๆ ได้ในช่วง Summer คือมหาวิทยาลัยก็ปรับตัวตามมาตรการโควิดในแต่ละช่วงครับ

กิจกรรมเยอะมากคอร์สนี้

Nut: จัดเต็มครับ (ยิ้ม)

การบ้านจัดเต็มด้วยมั้ย

Nut: การบ้านถามว่าจัดเต็มด้วยมั้ย จริง ๆ ถ้าเทียบเทอมที่ผ่านมาก็จัดเต็มอยู่ครับ

Assignment มีทุกรูปแบบครับ ถ้าแบบเบสิกพื้นฐานก็เขียน essay ครับ เขียน report มาเลย แต่ที่เน้นหลัก ๆ ก็คือพวก report ครับ เค้าจะจำกัดจำนวนคำด้วยครับ สมมุติให้เขียน report มา 500 คำ ห้ามเกินนี้ ไม่งั้นจะโดนตัดคะแนน หรือ 3,000 คำ แต่เค้าก็จะมีเงื่อนไข เช่น คำที่อยู่ในรูปไม่นับ คำที่อยู่ในตารางไม่นับ แต่บางคนก็จะนับด้วยก็แล้วแต่อาจารย์ครับ แต่ที่เหมือนกันเลยคือ reference list ที่อ้างอิงครับ จำนวนคำส่วนนี้เค้าจะไม่นับ

งานอีกประเภทนึงก็จะเป็นพวก presentation ผมแยกออกเป็น 2 กลุ่มนะครับ ก็คือลักษณะของ presentation ที่อัดเสียงไว้ล่วงหน้าแล้วอัพโหลดไฟล์ส่ง กับอีกประเภทนึงคือเป็น presentation ที่ไปนำเสนอหน้าห้องก็มี จะมีทั้งงานเดี่ยวและงานกลุ่ม งานกลุ่มอาจารย์เค้าก็จะมีรายชื่อจับกลุ่มไว้ให้ ผมเจองานกลุ่มอยู่ 2 ครั้ง แล้วอาจารย์บอกว่าอาจารย์จะดูรายชื่อคนในกลุ่มว่าครั้งแรกเราทำงานกับใคร แล้วก็จะสลับชื่อใหม่ไม่ให้มาเจอกัน เพื่อเพิ่มความหลากหลาย เข้าใจวัฒนธรรมการทำงานมากขึ้น เราต้องปรับตัวให้หลากหลายครับ ก็สนุกดีครับ ที่ผมเจอบางคนก็มีประสบการณ์การทำงานมาก่อน เค้าก็จะให้ข้อคิดเห็นแบบนึง บางคนก็ทำงานมาแต่อาจจะเป็นสายงานอีกแบบนึง เค้าก็จะให้ข้อคิดเห็นให้มุมมองอีกแบบ เราก็มาปรับมาจูนกัน

สนใจเรียนต่อ University of Reading ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ฟรี คลิก

University of Reading

อาจารย์และมหาวิทยาลัยดูแลเราอย่างไรบ้าง

Nut: อาจารย์ที่ดูแลที่นี่ support ดีมากครับ จะมีวิชานึงที่เป็นวิชาบังคับสำหรับนักศึกษาเลย ที่ไม่คิดหน่วยกิตครับ แต่ทุกคนต้องลง จะเป็นวิชาที่เค้าจะแนะนำเลยว่าทางมหาวิทยาลัยมี support อะไรบ้าง เช่น มีทีม study advice ถ้าเรามีข้อสงสัย อยากให้ช่วยดู essay หรืออยากให้ซ้อม present ก็มีครับ ช่วงแรกเค้าก็บอกให้มาปรับตัวที่นี่นะ วัฒนธรรมเป็นยังไง ใช้บริการตึกไหนในมหาวิทยาลัยได้บ้าง ไม่ได้แค่ study advice นะครับ เค้ามีแนะนำถึงเรื่องสุขภาพจิต เรื่องกิจกรรมนักศึกษาเค้าก็แนะนำหมดเลยครับในวิชานี้

อีกส่วนนึงก็คือตัว Programme director ก็ดูแล support นักศึกษาดีครับ บางทีนักศึกษายังไม่ได้หัวข้องานวิจัยที่ชัดเจน เค้าก็มีเปิดช่องทางให้นักศึกษาอีเมลเข้ามาพูดคุยได้ หรือติดต่อขอเข้ามาคุยได้ว่าเราควรทำยังไง ก็คือมีปัญหาอะไรก็มาคุยได้ตลอดครับ

Facilities ที่มหาวิทยาลัยเตรียมมา support สายที่เราเรียนมีอะไรบ้างคะ?

Nut: ถ้าด้านการเกษตร จริง ๆ ตอนนี้ก็มีพวกโรงเรือน มีแล็บเฉพาะทางอยู่แล้วครับ แต่ถ้าเป็น facilities หลัก ๆ ด้านการเรียนก็จะมี resource ทั้งออนไลน์เวลาเราหา paper มาประกอบการอ่าน การเรียน การเขียน assignment ได้เลย ห้องสมุดก็พร้อมครับ หนังสือเฉพาะทางหลากหลายมาก ส่วนในเรื่องของวิชาที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ก็มีโปรแกรมที่ค่อนข้างจะสมบูรณ์พร้อมนะครับ มีระบบ Apps Anywhere ก็คือเราสามารถเข้าโปรแกรมนี้เพื่อใช้งานโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เป็นลิขสิทธิ์ได้หลาย ๆ ตัว ส่วนใหญ่จะเป็นพวกโปรแกรมคำนวณ โปรแกรมวาดโครงสร้างเคมีครับ

ทีนี้มันจะมี facilities นึงที่น่าสนใจ นอกจาก study advice หรือ study support แล้ว ตัวห้องเรียนเองอย่างน้อยก็จะมีระบบคอมพิวเตอร์ที่ลิงก์เชื่อมโยงกับระบบออนไลน์ ผมเคยเจออยู่คาบนึงครับ อาจารย์เปิด video call ผ่าน Microsoft Team กันสด ๆ สัมภาษณ์คนจากข้างนอก ให้เค้าแนะนำหรือสอนจากข้างนอกเข้ามาในห้องเรียนได้เลย ค่อนข้างไฮเทคและพร้อมมาก ๆ ครับ

ส่วนอื่น ๆ ของมหาวิทยาลัยหล่ะคะ บรรยากาศเป็นยังไงบ้าง

Nut: ด้วยความที่เมือง Reading เป็นเมืองเล็ก ๆ แต่เป็นชุมทางรถไฟ มันเลยเดินทางสะดวกครับ จากตัวเมืองเข้ามาก็ไม่เกิน 10-15 นาที ก็นั่งรถเมล์เข้ามาถึงแล้ว ตรงนี้ก็ค่อนข้างออกเป็นชานเมืองนิดนึง ถ้าช่วงนี้อากาศก็เย็นสบาย ถ้าเดินไปช่วงกลางมหาวิทยาลัยมันจะมีอยู่โซนนึงครับเป็นทะเลสาบ ก็ได้ชมธรรมชาติ มีป่าไม้ที่ขึ้นสมบูรณ์ แล้วก็มีห่าน มีสัตว์ปีกหลาย ๆ ชนิด ว่ายน้ำอยู่ ก็ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายเวลาเดินผ่านจุดนี้

ได้เจอเพื่อน ๆ นักเรียนไทยคนอื่น ๆ บ้างมั้ยคะ

Nut: คือมีเจอบ้างครับ แต่ส่วนใหญ่นาน ๆ จะเจอที ด้วยความที่โปรแกรมที่นี่ค่อนข้างหลากหลาย สำหรับคณะเกษตรนะครับ โปรแกรมค่อนข้างอัดแน่น แต่คลาสที่ผมมาเรียนปีนี้ก็เจอคนไทยอีก 2 คน ที่เรียนอยู่คณะเดียวกัน อย่างน้อยก็ยังได้พูดคุยกันบ้างครับ แต่ผมคิดว่าการเกษตรเป็นอะไรที่ประเทศไทยยังรอการพัฒนาเยอะครับ ถ้าคนหันมาสนใจตรงนี้มากขึ้น มันน่าจะช่วยลงไปถึงรากฐานได้มากขึ้นครับ (ยิ้ม)

สนใจเรียนต่อ University of Reading ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ฟรี คลิก

เมือง Reading ประเทศอังกฤษ

Nut: เป็นเมืองเล็ก ๆ แต่ว่าเป็นเมืองที่แทบจะมีทุกอย่างครบ มีตั้งแต่ซุปเปอร์มาร์เก็ต มีอุปกรณ์เครื่องใช้ส่วนตัวทั่วไป มีห้างประจำเมือง ร้านอาหารก็มีเยอะครับ การเดินทางที่นี่โดยรถเมล์ก็สะดวกสบายครับ ตั๋วที่นี่แค่ 2.9 ปอนด์สำหรับราคานักเรียน สามารถขึ้นรถเมล์ได้ทั้งวันในเขตเมืองนี้เลยครับ

เดินทางไปที่อื่นก็ง่าย ครึ่งชั่วโมงจากสถานี Reading ไปถึง Paddington ครับ นั่งรถไปเมืองอื่นก็สบายครับ เพราะว่าเป็นชุมทางรถไฟสายตะวันตก ไป Bristol ไป Bath หรือจะลงไปทาง Southampton ต่อรถเปลี่ยนรถไปได้หมดครับ ขึ้น Oxford ก็ได้

การใช้ชีวิตที่ประเทศอังกฤษ

Nut: ถ้าเป็นไปได้อันนี้ผมขอแนะนำเพิ่มเติมนะครับ เป็นเรื่องช่วยประหยัดเงินดีกว่า ทำยังไงให้ดูสมาร์ท คือ ผมก็เป็นนักเรียนทุนรัฐบาลครับ ก็ได้เงินเดือนจากทาง สนร. เค้าจะให้ทุก 3 เดือน งบประมาณที่ได้มาเราก็ต้องอยู่ให้ได้ด้วยงบจำนวนนี้ ผมจะไม่บอกว่าเท่าไหร่นะครับ แต่ผมจะบอกว่าผมบริหารจัดการยังไงดีกว่า

อย่างแรกครับเรื่องกิน ปากท้องเราสำคัญ เราต้องทำกับข้าวเองครับเพื่อประหยัด เพราะว่าถ้าเราไปซื้ออาหารอย่างแซนด์วิชชิ้นละประมาณ 3-4 ปอนด์ ถ้าเป็นไปได้ เทียบแล้วทำกับข้าวเอง เราซื้อวัตถุดิบมาด้วยงบประมาณ 10-15 ปอนด์ เราอยู่ได้ทั้งอาทิตย์ครับ แต่ซุปเปอร์มาร์เก็ตมันมีความต่างตรงนี้ครับ ซุปเปอร์มาร์เก็ตมีหลายที่ ราคากับเกรดก็ไม่เหมือนกัน ถ้าเราไปซื้อที่ Marks & Spencer อันนี้ราคาก็ค่อนข้างจะสูง แต่ถ้าลงมาหน่อยแบบพวก Sainsbury’s หรือ ASDA พวกนี้ราคาก็จะลงมา Aldi หรือ Lidl ราคาก็จะถูกหน่อย แต่ถ้าเทียบพร้อมกับค่าใช้จ่ายในเรื่องของการเดินทางกับตัวมหาวิทยาลัย อันนี้ต้องดูว่าเราอยู่ตรงไหนนะครับ ถ้าอยู่ในโซนมหาวิทยาลัยมันจะเดินทางค่อนข้างไกลนิดนึง

อีกเรื่องนึงคือเราต้องดูว่าเราเป็นสมาชิกหรือใช้สิทธิ์นักศึกษาอะไรได้บ้าง มันจะช่วยให้เราได้ส่วนลดมาก ๆ เลย ถ้าใครไปซื้อของที่ห้าง Sainsbury’s บ่อยก็สมัครสมาชิกไว้มันจะสะสมแต้ม แล้วเอาแต้มมาใช้ซื้อของได้

อีกส่วนนึงถ้าเป็นเรื่องเดินทางนะครับ อย่างที่บอกว่าถ้ารถเมล์เราก็โชว์บัตรนักศึกษาก็ใช้ซื้อในราคานักศึกษาได้ หรือถ้าขึ้นรถไฟบ่อย ๆ ผมแนะนำให้ซื้อเป็น Rail card ครับ ราคา 30 ปอนด์ต่อปี ใช้ได้ทั้งปี อย่างน้อยเดินทางไปกลับสัก 3-4 ครั้งก็คุ้มแล้วครับ เพราะมันจะลด 30% โดยประมาณ มีทั้งแบบออนไลน์หรือจะให้ออกเป็นบัตรก็ได้ครับ

ซื้อตั๋วรถไฟอันนี้ก็แล้วแต่ความสะดวกครับ บางคนอาจจะขึ้นรถไฟก็ซื้อกับแอป Trainline หรืออย่างผมก็จะซื้อผ่านเวปไซต์ ก็ไปดูบริษัทรถไฟประจำเมือง ใช้บริการกับบริษัทไหนเป็นหลักก็เป็นสมาชิกบริษัทนั้นก็ได้ อย่างของผมใช้ของ Great Western Railway ก็เป็นสมาชิกกับบริษัทนี้ แล้วบางทีการที่เราเป็นสมาชิกเราก็จะได้โปรโมชั่นพิเศษครับ เช่น ถ้าเป็นสมาชิก Great Western Railway เวลาเราซื้อตั๋วรถไฟแล้วถ้าผูกกับบัตร Extra ที่เราซื้อของที่ Sainsbury’s ประจำ เราก็จะได้แต้มเพิ่มอีกครับ มันช่วยสะสมแต้ม แล้วเราก็จะได้แต้มนั้นไปลดซื้อของได้อีก

*ล่าสุดทางบริษัท Great Western Railway ได้ยกเลิกแคมเปญการสะสม Nectar แต้มจำนวน 2 เท่าของค่าโดยสารรถไฟไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2565 ครับ หากน้องๆคนไหนต้องการสะสมแต้ม Nectar ให้คุ้ม อย่าลืมไขไปดูเงื่อนไขแคมเปญอื่นๆได้ที่เว็บไซต์ของบัตร Nectar (https://www.nectar.com/) นะครับ

ในส่วนของการซื้อตั๋วรถไฟที่มีหลายวิธีตามที่ผมได้บอกไป หลังจากที่ผมได้สัมภาษณ์กับทางพี่ ๆ ก็ได้ทดลองซื้อตั๋วผ่านทางช่องทางอื่น ๆ ด้วยครับ ซึ่งเมื่อผมเปรียบเทียบกับทั้งที่ซื้อ ณ ตอนที่จะเดินทาง กับซื้อออนไลน์ล่วงหน้าผ่าน 2 ช่องทาง คือ ผ่านเว็บไซต์ของบริษัทรถไฟ เทียบกับที่ซื้อผ่านเว็บไซต์ trainline พบว่าถ้าหากต้องการได้ตั๋วรถไฟที่ราคาถูก เราควรซื้ออนไลน์มาล่วงหน้าครับ แต่ต้องดูเว็บไซต์ที่ซื้อด้วย โดยส่วนตัวแนะนำว่าถ้าเป็นไปได้ ก็ยังคงสนับสนุนให้ซื้อตั๋วออนไลน์ผ่านเว็บบริษัทเดินรถไฟประจำเมืองโดยตรง ไม่แนะนำให้ซื้อผ่าน trainline เพราะในเว็บของ trainline จะมีการเก็บค่า booking fees เพิ่มเติมไปจากค่าโดยสารด้วย แม้ว่าจะซื้อแล้วได้เป็นตั๋ว e-ticket ก็ตามครับ

คืออยู่ที่นี่เราต้องประหยัดครับ (หัวเราะ) ค่ากินค่อนข้างแพงครับ โดยเฉพาะเวลาออกไปเที่ยว ร้านอาหารข้างนอกขั้นต่ำก็ประมาณ 7-8 ปอนด์ขึ้นไปแค่จานเดียวนะครับ ฉะนั้นถ้าเทียบแล้ว ถ้าทำกับข้าวเองได้ เตรียมเองได้ ดีที่สุดครับ แต่ถ้าเวลาเราออกข้างนอก บางร้านก็มีส่วนลดให้นักศึกษาครับ

มีเมนูอะไรเป็นเมนูเด็ดของเรา

Nut: ก็แล้วแต่ครับ ส่วนใหญ่ผมจะสไตล์ล้างตู้เย็นครับ ผมเปิดตู้เย็นมาวันนี้มีอันนี้ ๆ ก็เอามาผสมกันเลย แต่ที่ผมชอบทำนะครับ ผมจะไปซื้อเนื้อปลาแซลมอนครับเอามาย่างกินกับหน่อไม้ฝรั่งหรืออาจเอามาทำไข่คนราดไป อีกเมนูนึงที่ชอบถ้าเป็นอาหารไทยคือเราจะหุงข้าวเตรียมไว้ แล้วก็กินพวกไก่กระเทียม หมูกระเทียม แต่ต้องบอกไว้ก่อนนะครับ ว่าถ้าใครชอบกินไก่บดที่อังกฤษจะไม่มีขายนะครับ ที่นี่จะเป็นไก่งวง ถ้าอยากกินต้องไปซื้อเนื้อไก่มาสับเองนะครับ

มีอะไรอยากฝากถึงน้อง ๆ ที่เค้าอยากมาเรียนที่นี่บ้างมั้ยคะ

Nut: ถ้าจะฝากนะครับ อย่างแรกก็คือเราต้องเตรียมความพร้อมด้านภาษาก่อนเลย คือผมไม่ห่วงเรื่องสื่อสารครับแต่ว่าการใช้ภาษาในเชิง Academic ด้านการเรียนมันจะต้องเตรียมในระดับนึง เรื่องการใช้ชีวิตถ้าเป็นไปได้อย่างน้อยเราก็ต้องฝึกการใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวเองนิดนึง ควรมีสกิลทำกับข้าว เดินทางไปไหนมาไหนได้เอง ไม่หลงทางมันก็ช่วยได้ครับ แล้วก็ถ้ามาเรียนสาขาที่เฉพาะทางมาก ๆ อย่างน้อยก็เตรียมความรู้พื้นฐานเฉพาะทางไว้ด้วย บางสาขาถ้าเรามีเวลา เราควรศึกษา module description หรือคำอธิบายรายวิชาว่าเค้าเรียนอะไร เราจะได้รับมือ ปรับแผนตรงนั้นถูก เพื่อช่วยเพิ่มความรู้ความเข้าใจในการเรียนมากขึ้น เพราะหลายคนก็ลงเรียนเพราะเป็นวิชาบังคับแต่พื้นฐานตรงนี้ไม่ค่อยมี มันก็จะลำบากครับ

สนใจเรียนต่อ University of Reading ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ตัวแทนมหาวิทยาลัยอย่างเป็นทางการประจำประเทศไทยฟรี เพียงกรอกแบบฟอร์มด้านล่าง