แนะนำตัวให้เรารู้จักหน่อยค่ะ ชื่ออะไร จบคอร์สไหนมา?
Nat: ได้เลยค่ะ ชื่อนัทนะคะ จบคอร์ส MSc Data Science ที่ University of Bath ค่ะ
ทำไมถึงเลือกเรียนคอร์สนี้คะ?
Nat: ต้องย้อนไปตอนที่สมัครตอนแรกด้วยค่ะ คือนัทจบ ISC (Information and communication Engineering) ป.ตรี ที่จุฬา ซึ่งมันจะมีความเกี่ยวข้องกับทั้งคอมพิวเตอร์ แล้วก็ Econ ด้วย มันก็เลยเป็นว่า สายที่เราจะไปต่อคือไม่เทคโนโลยีจ๋าเลย หรือจะเป็นเทคโนโลยีผสมกับเศรฐษศาสตร์
ตอนฝึกงานทั้งสองที่คือทั้งตอน ปี 2 และ ปี 3 นัทฝึกงานฝั่งเทค แล้วก็โอเคกับฝั่งนี้ แล้วก็เลยรู้สึกว่าโอเคเราน่าจะเอาตัวรอดได้กับฝั่งนี้ ก็เลยคิดว่าถ้าจะเรียนต่อโท ก็จะเรียนต่อฝั่งที่เป็นเทคเลย พอเป็นมหาวิทยาลัยในอังกฤษมันมีคอร์สให้เลือกเยอะมาก มีทั้ง business analytics, data analysis, data science นัทก็ดูข้อมูลเยอะมากค่ะแล้วก็หาข้อมูลมหาวิทยาลัยที่มันไม่เสียค่าธรรมเนียมในการสมัครเรียน แล้วก็ค่อยเข้าไปดูคอร์สเรียนของแต่ละที่ว่าเราจะสามารถเอาตัวรอดได้ไหม คือนัทไม่ได้ expect ว่าจะต้องได้ความรู้ใหม่แบบเยอะมากจนตัวเองจะไม่ได้ distinction คือนัทก็ตั้งเป้าว่าถ้าเรียนป.โท จะต้องได้ distinction กลับมา
แล้วพอดูคอร์สเรียนที่นี่ก็คือมีเนื้อหาเรื่องเดิม บวกกับเรื่องใหม่ที่เราน่าจะพอเอาตัวรอดได้ ก็เลยเลือกมาทาง data science เพราะตอน ป.ตรีนัทก็เรียนมาทางด้าน data science เรื่องค่อนข้างยาว
แล้วทำไมถึงลงตัวที่ University of Bath ละคะ?
Nat: เอาจริง ๆ ตอนแรกที่ตัดสินใจเลยคือนัทตัดสินใจจาก UI ของหน้าเว็ปไซต์ของมหาวิทยาลัยค่ะ (หัวเราะ) คือคอร์สหลายที่อาจจะใกล้ ๆ กัน แต่ของ website ที่ University of Bath มันอ่านง่าย ดูเข้าถึงง่ายกว่า ซึ่ง UI ก็เป็นพื้นฐานอย่างหนึ่งของ tech ที่ดี ถ้า UI มันอะไรก็ไม่รู้มีแต่ข้อความเยอะ ๆ แบบนั้นนัทว่ามันไม่น่าสนใจ
วางแผนเตรียมตัวเรียนต่ออังกฤษ
Nat: คือการวางแผนเรียนต่ออังกฤษของนัทมันเป็น plan B ของเรา เพราะนัทกะว่านัทจะไปเกาหลีแน่ ๆ แล้วนัทเจอ Ads ใน Facebook ค่ะ คือตอนนั้นมีหลายเอเจนซีเรียนต่ออังกฤษเยอะมาก มี Hands On มีของหลาย ๆ ที่เลย แต่ตอนนั้นคือมันพอดีเป๊ะกับ Hands On ค่ะ คือมันขึ้นมาจังหวะพอดีกับเรา นัทก็เลยลงชื่อของที่ Hands On คือแค่ให้อีเมลพี่เค้าไว้ ว่าเราสนใจนะ แล้วพี่เค้าก็ติดต่อมาจริง เราก็เลยต้องจริงจัง (หัวเราะ)
บริการจากพี่ Hands On
Nat: ก็หลังจากคุยเบื้องต้นกับพี่ Hands On เสร็จ พี่เค้าก็ให้ไปอีเวนต์ที่โรงแรม (งาน The UK Universities Interview Day จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีช่วงเดือน มกราคม, มีนาคม และ กรกฎาคม โดย Hands On) ไปถึงก็ได้คุยกับเจ้าหน้าที่ของ University of Bath ที่เค้าเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลเรื่องการรับนักเรียนของที่มหาวิทยาลัย แล้วก็ได้คุยกับหลาย ๆ มหาวิทยาลัยเลยค่ะ แล้วสุดท้ายก็ลงตัวที่ Bath คือความรู้สึกมันใช่ด้วยค่ะ คือสภาพแวดล้อมมันเป็นยังไง คือนัทก็ถามคำถามที่เจาะลึกพอสมควร เช่น สภาพแวดล้อมเป็นยังไง บรรยากาศในห้องเรียน นักเรียนเป็นยังไง หรือ ratio มีนักเรียนฝั่งไหน เอเชีย British หรือถ้าเป็นเอเชียเป็นเอเชียประเทศอะไร อะไรแบบนี้ค่ะ แล้วก็เจาะลึกลงของคอร์สที่เราจะเรียนด้วย สุดท้ายแล้วก็จบที่ Bath เพราะมันโอเคกับนัทที่สุดค่ะ
หลังจากงานนั้นพี่ Hands On ก็ช่วยบอก ช่วยเตือนในเรื่องของเอกสารทุกอย่างเลยค่ะ ว่าเราจะต้องมีอะไรบ้าง แล้วเราก็เตรียมตามที่พี่เค้าบอก แล้วก็มี service ที่เค้าบอกเรา เรื่อง SOP ที่ช่วยตรวจการเขียนของเรา นัทก็ใช้บริการนี้ค่ะ
สนใจเรียนต่อ University of Bath ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ฟรี คลิก
รีวิวคอร์ส MSc Data Science ที่ University of Bath
Nat: อย่างแรกเลยคือเรียนคณิตศาสตร์ค่ะ เรียนคณิตศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับ data science แบบเจาะลึก อย่าง stat ที่โดยทั่วไปจะเรียนเรื่อง probability ทั่วไป อันนี้ก็จะเป็น stat ที่เกี่ยวกับการดู errors หรือการ predicts ข้อมูลเกี่ยวกับ data science คือมันก็จะเจาะลึกลงมาเป็นการเรียนสถิติสำหรับ data science
แล้วก็มีวิชาอย่าง Software technologies for data science คือก็จะเป็นการปูพื้นฐาน และสอนการใช้เครื่องมือหรือ tools ของฝั่ง data science ค่ะ
แล้วก็มีวิชาที่สอนพวก visualization ค่ะ เพราะปกติ data science จะไม่ได้โยงกับเรื่อง visualization ขนาดนั้นค่ะ ปกติเราจะแค่เอาข้อมูลมาดู มา map ทำโมเดล แล้วก็เอาข้อมูลใส่ แล้วก็ run result ออกมา แค่นั้น วิชานี้ก็จะได้ทำ visualization ที่จะต้องทำกราฟขึ้นมา
แล้วก็มีเรียน machine learning ค่ะ ซึ่งมี 2 ตัว และเป็น 2 ตัวที่ยาก (หัวเราะ) ยากมากเพราะมีสอบด้วยค่ะ คือช่วงแรก ๆ มันง่ายค่ะ แต่พอมันถึงจุดที่เค้าป้อนข้อมูลใหม่ ๆ มาให้เราเยอะ ๆ เราก็ต้องปรับตัว แล้วก็ทำความเข้าใจกับมัน update ข้อมูลไปเรื่อย ๆ แต่ไม่ได้ยากเกินความสามารถเราค่ะนัทว่า เพราะมันมี text book ที่เราสามารถอ้างอิงได้
พวกแลปที่เค้าให้เราทำมันก็จะมี community ใน Google ให้เรา คือใน machine learning เราสามารถทำ code ผ่านคอมพิวเตอร์เราได้ แต่มันจะใช้ resource หนักมาก คอมบางคนอาจจะไม่ได้ full option ขนาดที่จะทำได้ มันก็เลยจะมีพวก cloud service พวก Microsoft หรือ Google อย่างวิชา machine learning ตัวที่สอง อาจารย์ให้เราใช้ Google แล้วเค้าจะมี resource มาให้ เราก็ run ข้อมูลผ่าน Google code lab ค่ะ ซึ่งมันแล้วแต่บางคนเลย ส่วนตัวนัทเคยใช้ Google Code Lab มาแล้ว ก็เลยไม่ได้รู้สึกว่ามันยากสำหรับเราเท่าไหร่ แต่อย่างพี่บางคนไม่เคยใช้โปรแกรมนี้เลยเค้าก็ต้องมานั่งเรียนใหม่ว่าโปรแกรมนี้ใช้ยังไง ซึ่งจริง ๆ มันคล้าย ๆ กับเราทำ Jupiter ปกติบนเครื่องของเรา แต่ว่าเป็น cloud service ที่เราไม่ต้องยุ่งกับข้อมูลในคอมพิวเตอร์ของเรา แต่ไปใช้ของ Google แทน ที่เหลือก็แค่ run code
ซึ่งกลับมาที่คำถามเราว่ามันยากไหม นัทว่าถ้าเราตั้งใจมันก็ไม่น่ายาก เพราะพี่ที่เรียนกับนัทก็ใหม่กับเรื่องนี้เหมือนกัน เค้าก็เอาตัวรอดมาได้ เค้าจบฝั่งคอมพิวเตอร์มาก็อ่านหนังสือเก่ง ก็เอาตัวรอดมาได้
แล้วก็เทอมสองมีวิชาที่ยากอีก 2 ตัวเป็นวิชาเลือกที่เราไม่จำเป็นต้องเลือกก็ได้ ทางมหาวิทยาลัยแนะนำมา 2 วิชา ถ้าเราไม่เลือกเรียนอันนี้ก็ไม่เป็นไร เราก็ไปเลือกวิชาอื่นในมหาวิทยาลัยได้ อย่างเพื่อนนัทก็ไปเลือกสาย business ไปเลยก็มี แต่นัทเลือกอันนี้ มันชื่อวิชา BAYES ที่เป็น machine learning อีกอันนึงคือ reinforcement learning อันนี้ก็จะเป็นสองตัวที่เป็นวิชาเลือก มันก็จะเป็น machine learning อีกแบบหนึ่งที่เจาะลึกลงไปมากกว่า machine learning ปกติค่ะ ก็จะเรียนว่าเราจะสอน robot เดินยังไง คอร์สที่เรียนก็จะเป็น project ให้เราทำ คือเราเลือกเกมมา 1 เกม ให้เราทำว่าทำยังไงถึงจะเล่นเกมนี้ชนะตลอด อะไรแบบนี้ค่ะ เหมือนเราเล่นเกมโกะ ที่มันเป็นเกมที่มี robot ชนะแชมป์โลก คือมันใช้เทคนิคเดียวกันเลยกับการที่เราจะสอนเกมให้มันชนะคน คือเราสอนเกมให้เล่น ว่าต้องเล่นยังไงและชนะเมื่อไหร่ ก็คือเรียน algorithm กับอาจารย์ทั้งหมด แล้วเราก็มานั่งเลือกเกมแล้วก็เลือก algorithm มาทำ ถ้าจะให้บอกตัวคอร์สคือส่วนมากมันจะเป็น practical lab ที่ให้เราได้ลองลงมือ เขียน code ซึ่งนัทชอบแบบนั้นมากกว่ามานั่งเขียน essay แต่ในคอร์สนี้ก็ยังมีต้องเขียน essay อยู่บ้างนะคะ พวก report เกี่ยวกับ code ที่เราทำไป แต่มันก็แค่ show result ว่าเราทำอะไรไป ไม่ได้ให้เขียนเวิ่นเว้อ แต่เขียนให้กระชับ ซึ่งนัทคิดว่าเขียนแบบสั้น ๆ มันทำได้ยากกว่าการเขียนยาวๆ
มาเรื่องบรรยากาศในห้องเรียนเราบ้าง เป็นยังไงบ้างคะ?
Nat: ช่วงแรก ๆ คนเรียนเยอะค่ะ ช่วงเปิดเทอมใหม่ ๆ เปิดเทอมสองใหม่ ๆ อะไรแบบนี้ คนเต็มห้องเลยค่ะ แต่พอผ่านไปสัก 2-3 อาทิตย์คนก็เริ่มไม่มาละ น้อยลงไปครึ่งหนึ่งเลยค่ะ เพราะที่มหาวิทยาลัยมันมี record ไว้ให้เราสามารถดูย้อนหลังได้ด้วยค่ะ หลังจบคลาสเราก็สามารถเข้าไปดูได้เลย คือในห้องมีทั้งหมดประมาณ 120 คน แต่เข้าเรียนในห้องก็จะประมาณ 50 คน
อาจารย์เป็นอย่างไรบ้างคะ?
Nat: นัทว่าไม่โหดนะคะ อาจารย์ทุกคนคุยได้หมดเลย ถ้าไม่เข้าใจตรงไหนเราสามารถเข้าไปถามหลังเลิกเรียนได้เลย หรือถ้าอีเมลไปอาจารย์ก็ตอบตลอดเลยค่ะ
แต่ถ้าถามว่าเข้มไหม ก็แล้วแต่คนค่ะ บางคนก็เข้ม บางคนก็อัดเนื้อหาให้เราอย่างเดียว หรือนัทมีอาจารย์ทั้งที่เป็นคน British, เอเชีย, อินเดีย อย่างเทอมแรก มีอาจารย์ที่เป็นคนจีนสอน เค้าก็แบ่งกันกับอาจารย์อีกคน อาจารย์คนนี้ก็จะถนัดโปรแกรมมาก เค้าก็จะมาแบบคณิตศาสตร์จ๋า ๆ เลย เค้าก็จะคนละแนวกับอาจารย์อีกคนที่พูดไปเรื่อย ๆ ไม่ได้เขียนอะไรให้เราดู แต่อาจารย์คนจีนมาถึงก็จะเขียน model ให้เราดูเลย
แล้วก็จะมีอาจารย์บางวิชาที่ปล่อยเลยก็มี คืออาจารย์จะให้ guest speaker มาพูด แล้วก็บอกว่าเราจะทำโปรเจกต์อะไรบ้าง แล้วก็ไม่สอนอีกเลย เจออีกทีตอนเอา speaker มา
ในส่วนของการบ้านละคะ เป็นอย่างไรบ้าง เห็นบอกว่าเป็น practical ต้องทำแลปเยอะ
Nat: อย่าง software tech กับ machine learning ในเทอมแรก มันจะมีการบ้านทุกอาทิตย์เลยค่ะ คือจริง ๆ ไม่ได้มีทุกอาทิตย์นะคะ แต่มันจะสั่ง 2 งานแล้วส่งคนละอาทิตย์สลับกันไป มันก็เลยเหมือนว่าเรามีการบ้านทุกอาทิตย์เลย แต่คนละวิชา มันก็อยู่กับการจัดการเวลาของเรา
อย่าง software tech ช่วงแรกการบ้านจะค่อนข้างง่ายค่ะ เพราะเราแค่เขียน programme Python ตาม instruction ที่เค้าให้มา อย่างนัทเปิดเข้าไปจำได้เลยว่าเปิดไปเค้าให้เราทำเกม XO ให้เราเขียนโค้ด XO ให้คอมชนะ หลัง ๆ มันก็เริ่ม advance ขึ้นเรื่อย ๆ ค่ะ ช่วงแรก ๆ มันง๊ายง่าย แต่หลัง ๆ มันแบบทำไมมันยากจัง เป็นการบ้านที่คะแนนเก็บหมดเลยค่ะ เราสามารถเช็กได้ว่าเราทำถูกไหม 3 รอบ ถ้าเกิน 3 รอบคะแนนมันจะลดลงไปเรื่อย ๆ ค่ะ อย่างเต็ม 20 มันจะเต็มแค่ 19 เท่านั้น อย่างนัทจะใช้เทคนิคที่ว่าทำครั้งแรกให้ได้คะแนนเต็มเลยตั้งแต่แรกค่ะ
ส่วน presentation ไม่มีเลยค่ะ ส่วนใหญ่จะเป็นอัดวิดีโอแต่ไม่ต้องเห็นหน้า อัดวิดีโอส่งแค่ voice over ค่ะ ไม่มี present หน้าห้องอะไรแบบนั้น ไม่มีความกดดัน
สนใจเรียนต่อ University of Bath ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ฟรี คลิก
รีวิว University of Bath
Nat: จริง ๆ นัทว่านักเรียนทุกคนสามารถ access เข้า facilities ต่าง ๆ ได้หมดเลย เพราะอย่างห้องที่นัทเข้าไปใช้มันก็คือห้องที่มีคอมพิวเตอร์คล้าย ๆ ห้องสมุดค่ะ คือก็จะมีคอมให้ ซึ่งห้องสมุดที่ Bath ก็จะเป็นห้องที่มี PC เยอะเหมือนกัน หลายชั้นก็มี PC ให้หมดเลย บางที่ถ้าอยากให้พื้นที่เปล่า ๆ ก็จะมีโต๊ะเปล่า ๆ ให้
แล้วที่นัทชอบคือมันมีห้องสมุดในตัวเมืองที่เป็นของมหาวิทยาลัยเลย ซึ่งจองผ่านเว็ปไซต์มหาวิทยาลัยได้เลย แล้วก็ไม่ต้องขึ้นไปถึงมหาวิทยาลัยเพื่อที่จะ access เข้าคอมพิวเตอร์ของทางมหาวิทยาลัย คือนัทไม่ได้มีปัญหาในการใช้คอมของตัวเอง แต่บางครั้งก็รู้สึกว่าจอคอมของเรามันเล็ก ก็เลยไปใช้ของมหาวิทยาลัย เพราะจอที่มหาวิทยาลัยใหญ่กว่า หรืออย่างช่วงหน้าร้อนตอนทำ dissertation นัทไปนั่งตรงนั้นบ่อยมาก เพราะว่ามีแอร์ ถ้าเราไปอยู่ตรงนั้นก็ไปนั่งตากแอร์ฟรี ไม่ต้องไปนั่งกินกาแฟ ไปตากแอร์ในห้องสมุดแทน
Support อื่น ๆ ละคะ มีอะไรบ้าง?
Nat: นัทได้ยินเพื่อน ๆ นัทไปขับเครื่องบิน ยิงธนู ต่อยมวย เยอะมากค่ะ แต่นัทไม่ได้เข้ากิจกรรมเลยเพราะก็ค่อนข้างจริงจังกับการเรียน แบบไม่สนอะไรเลย
แต่นัทจะได้ใช้พวก Career Service ค่ะ ทางมหาวิทยาลัยมี service ที่ดูแลด้านนี้เป็น support website นัทก็เข้าไปดู เริ่มเข้าไปเช็ก CV ผ่านเว็ปตรงนั้น มีนัดเข้าไปคุยกับเจ้าหน้าที่ มีทั้งคุยตัวต่อตัว หรือผ่าน zoom ด้วย อันแรกที่นัทใช้เลยคือนัทเอา CV เข้าไปให้เค้าอ่าน ว่า CV ของนัทดีพอหรือยัง สามารถส่งแบบนี้ได้เลยไหม เค้าก็จะให้ feedback กลับมา คือจะเป็น feedback จากมุมของคนที่เค้าอยากรับเข้าทำงาน ว่าเค้าจะรับเราไหม
หลังจากนั้นนัทก็มีนัดคุยกับเค้า เพื่อขอซ้อมสัมภาษณ์ คือนัทใช้บริการเค้าบ่อย ทุกครั้งที่นัทได้สัมภาษณ์งาน ประมาณ 2 – 3 รอบ เพราะมันจะได้ feedback กลับมาในแต่ละรอบ ถ้า feedback เราดี มันก็ดี หรือถ้ามันไม่ดี เราก็จะได้รู้ว่าเราจะต้องปรับปรุงตรงไหน ก่อนจะเข้าไปสัมภาษณ์จริง
ส่วนใหญ่ที่ซ้อมสัมภาษณ์จะเป็นผ่าน zoom ค่ะ คือของจริงส่วนใหญ่ก็จะได้สัมภาษณ์ผ่าน zoom ด้วย ซึ่งนัทคิดว่ามันโอเค คือไม่ใช่ว่าซ้อมสัมภาษณ์ผ่าน zoom แต่เวลาสัมภาษณ์งานจริงสัมภาษณ์กับตัวคน ถ้าเป็นแบบนั้นมันน่าจะไม่เวิร์ค แต่อันนี้มันคล้าย ๆ กัน มันก็เลยโอเคค่ะ
นอกจากนี้ก็จะมีพวกข้อสอบที่เป็น assessment ของทางมหาวิทยาลัยค่ะ คือทางมหาวิทยาลัยก็จะมี third party ที่เค้าไปเสียเงินไว้ แล้วเราก็สามารถเข้าไปใช้พวกนี้ได้หมดเลย ถึงแม้ว่าเราจะเรียนจบมาแล้วเราก็สามารถเข้าไปใช้ได้ผ่าน alumni เข้าไปใช้ resource พวกนี้ได้เหมือนกัน ก็จะมีข้อสอบเก่า ๆ หรือคล้าย ๆ กับข้อสอบที่เราจะต้องสอบ อย่างพวกข้อสอบของ big 4 ก็มีหมดเลย HSBC ก็มี บริษัทใหญ่ ๆ คือมีหมดเลย เราก็สามารถเข้าไปลองทำข้อสอบเหล่านั้นได้
รีวิวเมือง Bath
Nat: อยู่ที่ Bath ก็สะดวกสบายค่ะ ปลอดภัย คือไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองไม่ปลอดภัยเลย นัทรู้สึกว่าชอบมากกว่าอยู่ลอนดอนด้วยซ้ำ อย่างลอนดอนนัทไปเที่ยวมากี่ครั้งก็จะรู้สึกว่าต้องระแวง ระวัง ดูแลตัวเองตลอดเวลา คือพอไปอยู่ในเมืองใหญ่ ๆ ที่มันแออัด มันจะรู้สึกว่าเราจะต้องดูแลตัวเองตลอดเวลา ต้องระแวงเอาไว้ หรืออย่างตอนที่อยู่ Sheffield ก็ตอนกลางวันโอเค ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่พอกลางคืน ก็รู้สึกว่าต้องระวังตัว คือมันเป็นเมืองใหญ่ อะไรแบบนี้
แต่ที่ Bath คือเดินตีหนึ่งก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นัทก็เลยรู้สึกว่ามันเป็นเมืองที่เงียบ ปลอดภัย บรรยากาศก็ดี เพราะเค้าบังคับไม่ให้สร้างตึกสูงเกินกว่า 4 ชั้น มันก็เลยทำให้เมืองสามารถเก็บบรรยากาศเก่า ๆ เมืองเก๋ ๆ ไว้ได้ เก็บกำแพงที่เป็นสีเดียวกันเอาไว้ได้ เพราะตึกใหม่ที่สร้างมาก็จะต้องใช้โทนสีเดียวกับเมืองที่เค้ามีอยู่แล้ว นัทเห็นแต่ละตึกที่สร้างใหม่ก็โทนเดียวกันหมดเลยค่ะ จะมาโทนแดงที่เดียวไม่ได้นะ ต้องโทนเดียวกับเมือง
พี่นัทยังมีบทสัมภาษณ์สำหรับการรีวิวการหางานทำที่อังกฤษ ด้วยนะคะ ติดตามได้เร็ว ๆ นี้ค่ะ