Hands On Education Consultants

รีวิว MSc Drug Discovery ที่ University of Nottingham โดย Kong

แนะนำตัวเองให้เรารู้จักหน่อยค่ะ

Kong: สวัสดีครับ ผมก้องนะครับ ตอนนี้เรียนอยู่ MSc Drug Discovery ที่ University of Nottingham ครับ ก่อนหน้านี้จบ ป.ตรี เภสัช มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ แล้วก็มาต่อ ป.โท เป็นคอร์สเรียนแค่ 1 ปี แต่ว่าสามารถเพิ่มคอร์สเป็น 2 ปีได้ คือในปีที่ 2 จะเป็นเรื่องของการฝึกงานครับ

ทำไมถึงเลือกเรียนคอร์สนี้

Kong: อันดับแรกผมดูเรื่อง ranking ก่อน ว่าแต่ละที่เป็นยังไง ลิสต์ออกมา แล้วดูว่าแต่ละคอร์สรายละเอียดเรื่องอะไร เรียนเกี่ยวกับอะไร เป็นเรื่องที่เราสนใจรึป่าว

อย่างเช่น บางทีคอร์สจะเน้นเป็นเรื่อง Biotech ซึ่งผมไม่ได้ชอบ ก็จะตัดตัวเลือกนั้นออกไปเลย หรือว่า บางทียูนั้นเกี่ยวข้องกับด้านคลินิค ด้านโรงพยาบาล ซึ่งผมก็ไม่ชอบเหมือนกัน ก็ตัดออก ก็เลยมาลงตัวที่ Nottingham ซึ่งมันเป็นอันดัย 5 ของโลกอยู่แล้ว ก็เลยลงตัวทั้งเรื่อง ranking เรื่องมหาวิทยาลัย คือมันดีทุกอย่างครับ

การเตรียมตัวเรียนต่อ

Kong: พอตัดสินใจวางแผนเรียนต่อแม่ของผมแนะนำให้มางานอีเวนต์ของ Hands On คือเค้าเจอในเวปไซต์ว่า Hands On มีคอร์สแนะนำ มีบอกเรื่องการเตรียมตัวยังไง มีเรื่องว่าการเตรียมตัวสอบ IELTS ต้องเตรียมตัวยังไง ก็เลยลองมาดูที่งานครับ ลองไปเข้ากิจกรรมสัมมนาที่งานว่าเทคนิคการสอบ IELTS มันสอบยังไง อะไรแบบนี้ครับ ก็ได้รู้จักพี่ Hands On ที่งานนั้นครับครับ

ส่วนเรื่องการเตรียมตัวส่วนตัวก็คืออ่านหนังสือ คือเอาตั้งแต่ตอน ป.ตรีเลย คือต้องทำเกรดให้ได้ตาม requirement ของทางมหาวิทยาลัย อย่างเช่นถ้าเค้าอยากได้ GPA ขั้นต่ำที่ 3.20 เราก็ต้องทำเกรดเราให้ได้ตามนั้น หรือถ้าเกรดเราใกล้ ๆ เฉียด ๆ ก็ผมว่าลองเสี่ยงดูก็ได้ แต่โอกาสได้น่าจะน้อย

ถัดมาก็จะเป็นเรื่องการเตรียมสอบ IELTS ครับ ผมเตรียมสอบ IELTS ประมาณ 1 ปี ครับ แล้วจริง ๆ ผมสอบไม่ผ่านก็ต้องมาเรียน Pre-sessional English Course แล้วก็ให้พี่ Hands On ช่วยจัดการว่าต้องทำอะไรบ้าง ลงเรียนยังไงบ้าง

จริง ๆ ตอนแรกผมก็ได้คุยกับเอเจนซี่อื่นด้วยครับ แต่ที่อื่นเค้าส่งใบสมัครของผมไปเอง พอได้ offer กลับมาถึงแจ้งผม ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่ผมไม่ได้ลิสต์ไว้ด้วยซ้ำว่าผมอยากได้ แต่อยู่ดี ๆ ทางเอเจนซี่นั้นเค้าก็ส่งใบสมัครเราไปให้ทางมหาวิทยาลัยเอง พอผมทราบเรื่องก็เลยบอกเค้าว่าผมไม่ได้ลิสต์ที่นี่ไว้นะครับ

ผมเลยคิดว่าผมไว้ใจพี่ Hands On มากกว่า คือพี่ Hands On ติดตามเรา ส่งข้อมูลมาอัพเดทเราตลอด เช่น พี่สมัครเรียนให้แล้วนะของที่มหาวิทยาลัยนี้ เราเป็นยังไงบ้าง อยากตัดสินใจตรงไหน เค้าให้เราเลือกเอง ให้เราตัดสินใจเอง แล้วก็ follow up ตลอด และไม่มีเคสสมัครเรียนอะไรให้เราโดยที่เราไม่ได้แจ้งครับ

บริการจากพี่ Hands On

Kong: หลังจากที่รู้จักกับทางพี่ Hands On ที่งานอีเวนต์แล้ว ผมก็แจ้งพี่ Hands On ไว้เลยครับ ว่าเราต้องการคอร์สเรียนประมาณไหน เงื่อนไขที่เราต้องการมีอะไรบ้าง

พี่เค้าก็จะมีข้อมูลมหาวิทยาลัยที่ค่อนข้างตรงกับความต้องการของเรา  อย่างตอนแรกก็ได้ Manchester, Liverpool อะไรประมาณนี้ครับ เป็นม. ทางเหนือ ที่ ranking ใกล้เคียงกัน ไม่ได้ต่างกันมาก แล้วก็มีที่ Nottingham ครับ ก็อย่างที่บอกไปตอนต้นว่า Nottingham ลงตัวที่สุดสำหรับผมครับ

หลังจากเลือกมหาวิทยาลัยได้แล้ว เคสผมคือต้องมีการ deferred offer (เลื่อนการตอบรับเรียนต่อกับทางมหาวิทยาลัย) ด้วยครับ คือ ผมสมัครมาเรียนตั้งแต่ปีก่อนหน้านี้ แล้วก็ได้ conditional offer ซึ่งเราต้องไปสอบ IELTS ให้ได้คะแนนตามที่มหาวิทยาลัยกำหนด ตอนนั้นทางมหาวิทยาลัยเค้าให้ deadline การตอบรับ offer ช่วงเดือนกันยา ซึ่งตอนนั้นเดือนกันยาแล้วผมยังสอบ IELTS ไม่ผ่านเลย จะลงเรียน pre-sessional English ของที่มหาวิทยาลัยไม่ทันอยู่แล้ว คือ pre-sessional English มันจะเริ่มช่วงสิงหาครับ ตอนปีนั้นคือยังไงก็ไม่ทัน ทางพี่ Hands On ก็เลยแนะนำให้เราทำ defer offer ไปมาเรียนในปีนี้แทน ก็เลย defer offer มาเรียนปีนี้ครับ

ก็ให้พี่ Hands On จัดการให้ ว่าต้องลงคอร์สยังไง จ่ายเงินตอนไหน ใช้บัตรเครดิตอะไรจ่ายดี คือพี่เค้าก็แนะนำให้ครับ ผมได้พี่วิวเป็นคนดูแล พอเรียน pre-sessional English เสร็จและได้รับ unconditional offer จากทางมหาวิทยาลัยมาเรียบร้อยแล้ว ก็มาเรื่องของวีซ่าครับ ก็จะมีพี่จูที่ Hands On ช่วยดูแลว่าเรื่องการยื่นขอวีซ่าต้องทำยังไง จะมีบางส่วนที่ผมต้องกรอกข้อมูลเองเพราะเป็นข้อมูลส่วนตัว แล้วก็ทีเหลือก็ให้พี่จูดูแลเลย ก็คือครบหมดเลยครับ ทุกอย่าง

สนใจเรียนต่อ University of Nottingham ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ฟรี คลิก

รีวิว Pre-sessional English Course  

Kong: ตอนที่ผมเรียน pre-sessional ตอนนั้นเรียน online ครับ ก็เลยไม่ต้องเสียค่าที่พักอะไร คือให้เรียนทาง Microsoft Team แทน หลัก ๆ คือเรียนเรื่องการเขียน essay วิธีการเขียนของเค้า แล้วก็การพูด แต่ในระหว่างเรียนก็จะมีเรื่องของการฟังเข้ามาด้วย แล้วก็มีการอ่านซึ่งการอ่านมันต้องควบคู่ไปกับการเขียนอยู่แล้ว เพราะการที่เราจะเขียนได้ เราต้องอ่านเป็นก่อนแล้วถึงจะเขียนได้   หรือการที่เราจะพูดได้เราต้องฟังให้ได้ก่อนว่าเค้าถามอะไร ซึ่งมันจะเป็นกระบวนการของ IELTS ครับ คือมีทั้ง Reading, Listening, Speaking, Writing ทุกอย่างเลย

คือมันไม่ใช่แค่เรียนอังกฤษ แต่เราต้องไปถึงว่าโทนเสียงของเราต้องเป็นยังไง การที่เราจะ signposting language ว่าเราจะพูดอะไรต่อไป อย่างเช่น However ต้องตามด้วยข้อโต้แย้ง ซึ่งมันไม่ใช่การเรียนภาษาอังกฤษในห้องเรียนอย่างเดียว มันมีเรื่องของการใช้ภาษาในชีวิตประจำวันด้วย

แล้วโดยรวมเราคิดว่าภาษาอังกฤษของเราพัฒนาขึ้นไหมจากคอร์สนี้?

Kong: ถ้าเรื่องการเขียนผมว่าพัฒนาขึ้นนะ แต่ว่าการพูด พอดีผมเรียนออนไลน์อยู่ที่ไทย พอเราเรียนจบคลาสในแต่ละวัน มันไม่ได้พูดต่อ เราก็เลยไม่ค่อยเห็นการพัฒนาการพูดมากเท่าไหร่ แต่ว่าการฟังผมว่าพัฒนาขึ้น คือก่อนหน้านี้ผมดูซีรีย์ก็ต้องเปิด subtitle ภาษาอังกฤษไว้ แต่ตอนหลังไม่ต้องเปิด subtitle ภาษาอังกฤษทิ้งไว้ก็ฟังรู้เรื่องทุกอย่างแล้ว (ยิ้ม)

รีวิว MSc Drug Discovery

Kong: หลัก ๆ ก็คือเรียนเรื่องการพัฒนายาครับ คือ ในร่างการเรามันจะมีโปรตีนที่จับกับตัวยาได้ ซึ่งเราต้องสังเคราะห์ตัวยาเพื่อให้จับกับโปรตีนตัวนี้ให้ดี เพื่อให้ออกฤทธิ์เป็นยาตัวใหม่ออกมา เป็น generation ใหม่ ๆ

คือสมมุติ พารา ต้องจับกับเอนไซม์ตัวหนึ่ง แล้วมันออกฤทธิ์ได้แค่ระดับปานกลาง แต่เราอยากพัฒนาให้มันรักษาได้แรงขึ้น เราก็เลยต้องเอาตัวโปรตีนตัวนี้มาทำ modeling ให้ตัวยาจับกับตัวโปรตีนได้ดีขึ้น เพื่อที่จะให้ฤทธิ์ยาดีขึ้นตามลำดับ แล้วก็อาจจะลดการใช้ อย่างสมมุติว่า พาราต้องกิน 1×3 คือวันละสามครั้ง ก็อาจจะเปลี่ยนยาเป็นยา x กินแค่อาทิตย์ละครั้ง หรือว่าวันละ 1 ครั้ง อะไรแบบนี้ครับ

สาขานี้ต้องมีทั้งเคมีและชีวะ ชีวะคือในเรื่องของโปรตีน เรื่องของอะมิโนเเอซิดข้างในแต่ละตัว ส่วนเคมีมันคือเรื่องเคมีครับ เป็นเรื่องหลักการและเหตุผล แต่ชีวะมันเรื่องของชีวะภาพ มันต้องจำทุกอย่าง คือผมชอบเคมีแต่ผมไม่ได้ชอบชีวะขนาดนั้น มันก็เลยไม่ค่อยตรงสเป็คกันเท่าไหร่ แต่ก็พอจะจูนกันได้อยู่ (ยิ้ม)

คือเนื้อหาคอร์สนี้มันลงลึกกว่าที่เรียนป.ตรีเยอะมาก ๆ ครับ คือเรียนเภสัชป.ตรี ผมก็จะเรียนคร่าว ๆ ว่า ยานี้ทำกับตัวนี้ได้อันนี้ออกมา ผลลัพธ์เป็นอย่างไร แต่ในป.โทก็คือ ยาจับกับโปรตีนชื่ออะไร ลึกมาก   ยกตัวอย่างให้โปรตีนเป็นร่างคนใช่ไหมครับ ป.ตรีก็จะเรียนว่าคนนี้ชื่ออะไร จบ แต่ว่าพอมาป.โท จะเรียนว่าคนนี้ชื่ออะไร นิสัยอย่างไร กระดูกเป็นอย่างไร ลงลึกถึงข้างในว่ากระดูกจัดเรียงยังไง แล้วออกฤทธิ์อย่างไร แล้วไปทำกับตัวอื่นอย่างไรต่อ อะไรประมาณนี้ครับ

สนใจเรียนต่อ University of Nottingham ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ฟรี คลิก

บรรยากาศในห้องเรียนบ้าง

Kong: คือด้วยความที่โควิดก่อนหน้านี้จะเรียนออนไลน์กัน อาจารย์ก็เลยติดว่าให้เรียนออนไลน์แทน แต่เรียนแลปในห้อง คือเป็นแลปเปียก* แต่ถ้าเป็น lecture class ให้เรียนออนไลน์แทน ซึ่งวิดีโอออนไลน์ก็จะเป็นวิดีโอที่อาจารย์เคยสอนไว้แล้ว

*แลปเปียก: ให้นักศึกษาเข้าห้องแลปและลงมือทำ

แลปแห้ง: ให้นักศึกษาดูวิดีโอ แล้วทำความเข้าใจกับวิดีโอเอาเอง ไม่ได้มีการทดลองด้วยตัวเอง

Facilities สำหรับการทำการทดลอง

Kong: ผมแยกเป็นสองอย่างแล้วกันครับ คือ แลปชีวะ กับแลปเคมี

ถ้าแลปชีวะ จะต้องใช้พวกเนื้อเยื้อ ซึ่งทางมหาวิทยาลัยจะเตรียมเนื้อเยื้อตัดมาให้เราเรียบร้อยเลยครับ เตรียมไว้ให้ทุกอย่างเลย เราแค่อ่าน protocol ให้เข้าใจ แล้วลงมือทำเองครับ อย่างเช่นหยดน้ำยา หรือหยดสารเคมี แล้วดูว่าการตอบสนองของเซลล์ของเค้าเป็นอย่างไร สมมุติว่าเอามัดกล้ามเนื้อของหนูมาตัวหนึ่ง เราหยอดยาตัวหนึ่ง แล้วเทียบกับยาอีกตัวหนึ่ง ว่าฤทธิ์ว่าประสิทธิภาพมันต่างกันเท่าไหร่ ซึ่งเราสามารถดูได้จากการตอบสนองของมัดกล้ามเนื้อของเค้า อะไรแบบนี้ครับ

แต่เนื่องจากปริมาณเนื้อเยื้อมันไม่ได้มีเยอะมากอยู่แล้ว ส่วนใหญ่ต้องแชร์กับเพื่อนครับ ประมาณ 2 – 3 คนต่อ 1 โต๊ะ คือถ้าที่ไทยผมว่ามี 10 คนต่อ 1 โต๊ะ แล้วมีเนื้อเยื้อ 1 คอมพิวเตอร์ 1 อะไรแบบนี้ซึ่งมันไม่เพียงพอ แต่ที่ Nottingham คือเพียงพอครับ

แลปเคมีคือทำเดี่ยวเลยครับ คือเป็นเรื่องของการสังเคราะห์ยา สมมุติว่า เราทำอาหาร อย่างถ้าเราเอาสปาเกตตี้กับครีมมาผสมกัน เราก็จะได้สปาเกตตี้คาโบนารา

แต่ในแลปเคมี จะมีสังเคราะห์ยาพาราเซตามอลตัวหนึ่ง เอาสารนำนอก A และ B มาผสมกัน แล้วทำอย่างไรก็ได้ให้ได้พาราเซตามอล อะไรแบบนี้ครับ แต่ขั้นตอนมันจะเยอะหน่อย มีต้องใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์เยอะหน่อย ต้องใช้ความร้อนอะไรแบบนี้ครับ

ซึ่งส่วนของเครื่องมือและอุปกรณ์แลปทั้งหมด ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรเพิ่มเติมนะครับ

เพื่อน ๆ ในคอร์สเรียน

Kong: คอร์สของผมมีเรียนประมาณ 60 คน ต้องแบ่งเป็น 2 session ครับ แต่ละ session เค้าก็จะจัดนักเรียนให้ปนกันหลายเชื้อชาติมากครับ อินเดีย ฝรั่ง จีน เกาหลี อะไรแบบนี้มีหมดเลยครับ ซึ่งมันก็หลากหลายดี แล้วก็มีเรื่อง background knowledge ที่หลากหลายครับ อย่าง บางคนมีพื้นฐานด้านเคมีหรือด้านชีวะไม่เท่ากัน เพราะคอร์สนี้ไม่ได้เจาะจงว่าต้องจบสาขาอะไรมา เหมือนทางมหาวิทยาลัยมี requirement ให้มีเรียนวิทยาศาสตร์มาถึงจะสมัครเรียนคอร์สนี้ได้ครับ  อย่างในห้องที่เจอบางคนก็จบวิศวะเคมี, จบสาขาชีววิทยา, สาขาวิทยาศาสตร์เคมี แล้วก็มีเภสัชอย่างผมมาเรียนด้วย

ในห้องก็จะไม่ได้แข่งกันเรียนเลยครับ เป็นแนวช่วยกันมากกว่า อย่างบางคนมีหนังสือมาบอกเพื่อนว่าอันนี้แนะนำดีให้ลองอ่านดู อะไรแบบนี้ครับ ที่ผมเคยเจอคนจีนคนฝรั่ง เค้าจะไม่ฆ่ากัน ผมก็ไม่ฆ่าใครนะครับ (หัวเราะ) บางคนก็อาจจะมีอุ๊บอิ๊บว่าไม่รู้เรื่อง แต่ทำงานมาก็ได้คะแนนดี ก็มีครับ

Assignment เป็นอย่างไรบ้างคะ?

Kong: มีทุกอย่างเลย (ยิ้ม) แลปก็ต้องทำ สอบก็ต้องสอบหลังปีใหม่ครับ เมื่อวานเพิ่งทำ oral present ไป ก็ให้พูด 25 นาที ตอบคำถาม 5 นาที ส่วน essay ก็ต้องส่งกลางเดือนหน้า ประมาณ 2,000 คำ ก็คือจะมีมาเรื่อย ๆ เป็นงานเดี่ยวหมดเลยครับ

Oral ก็เดี่ยว essay ก็เดี่ยว report lab ก็เดี่ยว ทุกอย่างทำเดี่ยวหมดเลยครับไม่มีงานกลุ่ม แต่อย่างทำแลปบางทีอาจจะมีทำแลปกลุ่มบ้าง แต่จะส่ง report เป็นงานเดี่ยวครับ

สนใจเรียนต่อ University of Nottingham ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ฟรี คลิก

รีวิว University of Nottingham

Facilities ของที่มหาวิทยาลัยเป็นอย่างไรบ้างคะ?

Kong: อันดับแรกเลยคือห้องสมุดเปิด 24 ชั่วโมงครับ เข้าออกได้ตลอดเวลา แล้วก็หนังสือสามารถยืมได้ไม่จำกัดเวลา หมายความว่าถ้าไม่มีคนยืมต่อเราก็สามารถยืมต่อไปได้เรื่อย ๆ คือผมยืมมาประมาณเดือนกว่า ๆ แล้วก็ยังใช้อยู่ยังไม่ได้คืนเลยครับ คือคุ้มจริง ๆ  หรือถ้ามีคน request มาเราก็ต้องเอาไปคืนให้เค้า แต่ผมว่าหนังสือที่นี่มีเยอะมากพอที่จะกระจายไปให้นักเรียนแต่ละคนได้ ไม่จำเป็นต้อง request ด้วย ซ้ำ คือห้องสมุดดีมาก ๆ ครับ resource ครบทุกอย่าง ไม่ต้องใช้ VPN ด้วย ถ้าอยากหา paper ข้างนอก ก็สามารถ log in ผ่านมหาวิทยาลัย แล้วก็เข้าของ journal ได้เลย ก็คือใช้ account ของทางมหาวิทยาลัยได้เลย

ที่มหาวิทยาลัยมี อาจารย์ support ดีครับ คือทางมหาวิทยาลัยจะให้อาจารย์จากคณะเดียวกันหรือที่อยู่ field เดียวกันกับนักศึกษามาดูแล จะคล้าย ๆ อาจารย์ที่ปรึกษาครับ จะดูแลกลุ่มย่อยประมาณ 5 – 6 คน คอยติดตามนักศึกษาว่าอาทิตย์นี้เป็นยังไง โอเคไหม เรียนเป็นอย่างไร การเป็นอยู่ ค่าใช้จ่าย ไหวไหม

Career support ของที่มหาวิทยาลัยก็ดีครับ อย่างผมก็คือจะสมัครงานไว้เลยสำหรับเตรียมทำ work placement ซึ่งทางมหาวิทยาลัยเค้าจะมี support ช่วยดู CV ให้ด้วย คือตั้งแต่เปิดเรียนมาสามารถส่ง CV ให้เค้าดูได้เลย จะส่งตอนไหนก็ได้ครับ มีคนตรวจให้ว่าให้ปรับตรงไหนถึงจะดี ควรเปลี่ยนอะไรบ้าง format เราถูกไหม font ควรใช้อย่างไร มหาวิทยาลัยก็ดูแลฟรีครับ

Support อื่น ๆ ก็มีให้คำปรึกษาทุกอย่างเลยครับ ทั้ง depression, หรือจิตเพศอะไรก็สามารถปรึกษาได้หมดเลย แล้วก็กรณีที่ไม่มีเงินจ่าย หรือเกิดว่าเราติดขัด ไม่สะดวกในการจ่ายเงินก็สามารถขอยืดระยะเวลาในการจ่ายเงินของเราได้ หรือจะเปลี่ยนเป็นการจ่ายหลาย ๆ รอบก็ได้ มีอะไร ไม่ว่าเรื่องจิปาถะอะไรก็สามารถคุยกับทางมหาวิทยาลัยได้หมดเลยครับ

ผมก็มีคุยนะครับ มี homesick บ้าง คิดถึงบ้าน อยากกินอาหารไทย อยากกินอาหารแบบแกงปู ที่ร้านไทยมีแต่แพงครับ 20 ปอนด์ ก็เลยไม่เอาก็ได้ (หัวเราะ)

สนใจเรียนต่อ University of Nottingham ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ฟรี คลิก

บรรยากาศที่มหาวิทยาลัย

Kong: มหาวิทยาลัยบรรยากาศดีมาก ๆ ครับ ตื่นมาเช้า ๆ ก็คืออากาศดีมาก วิ่งได้สบายเลยครับ แล้วอีกอย่างคือมันอยู่ไกลจากตัวเมืองระดับหนึ่ง มันก็จะไม่มีเสียงอะไรมาดังรบกวนเรา ไม่วุ่นวาย โฟกัสได้เต็มที่

ส่วนเรื่องการเดินทางถือว่าสะดวกที่สุดแล้วครับ สะดวกจริง ๆ นั่งรถรางมาก็คือถึงเลยครับ จะเข้าเมือง กลับมหาวิทยาลัย ก็สะดวกมากครับ

หอพักที่มหาวิทยาลัย

Kong: อยู่หอมหาวิทยาลัย ผมอยู่ห้อง ensuite มีห้องครัว ห้องน้ำในตัว ก็ไม่ต้องแชร์กับคนอื่น มันก็มีข้อดีข้อเสียครับ คือข้อดีเราได้ privacy แต่ข้อเสียคือเราก็ไม่ได้เจอใครไม่ได้ make friend หรือ สร้าง connection อะไรกับเพื่อนร่วมหอ ซึ่งมันก็ดีเสียคนละแบบ แต่ถ้าอย่างผมเอง ผมก็เลือกแบบนี้ แล้วแต่ lifestyle ครับ

นักเรียนไทยที่ University of Nottingham

Kong: ในคอร์สผมไม่มีคนไทยเลย แต่คณะอื่นมีคนไทยบ้าง อย่างคอร์ส business, science, เคมี, วิศวะมีอยู่บ้าง ไม่ได้สนิทเท่าไหร่แต่ก็รู้จักกันครับ ที่สนิทจะเป็นคนที่เรียน ป.เอกที่เรียนคณะเดียวกัน เพราะว่าคุยกันรู้เรื่องอะไรแบบนี้ครับ (ยิ้ม)

เมือง Nottingham ประเทศอังกฤษ

Kong: สำหรับผม ผมว่ามันพอนะ คือมี Tesco มีที่ shopping มี supermarket สำหรับใช้ดำเนินชีวิตประจำวันได้ แต่สำหรับบางคนที่เค้าติดการช้อปปิ้ง เช่นถ้าใครต้องใช้ของแบรนด์เนม อาจจะไม่พอ ผมว่าลอนดอนน่าจะเหมาะกว่า ก็ถ้าอยู่ที่ Nottingham ก็นั่งรถไฟไปลอนดอนแค่ประมาณ 1 ชั่วโมงครับ

คือ Nottingham น่าจะเหมือนราชบุรีที่เป็นต่างจังหวัดออกมา ซึ่งไม่ได้อยู่นอกเมืองขนาดนั้น สามารถเข้าเมืองได้ ของก็พอใช้ในชีวิตประจำวัน แต่ไม่ได้หรูหราเท่ากรุงเทพ อยู่สบายครับ ส่วนอาหารการกินส่วนใหญ่ผมทำกินเองครับ เพราะอย่างแซนวิชในซุปเปอร์มาร์เก็ตก็ 2 ปอนด์ ใส่ใข่ธรรมดาเอง แต่ถ้าเราทำกินเองวัตถุดิบมันถูกกว่าเยอะครับ ทำสปาเกตตี้ ทำข้าวผัด ถูกกว่าเยอะมากจริง ๆ ครับ

มีอะไรอยากฝากถึงน้อง ๆ ที่เค้าสนใจอยากมาเรียนที่อังกฤษบ้าง?

Kong: คือผมอยากแนะนำว่าให้รู้จุดมุ่งหมายของเราก่อน ว่ามาเรียนเพื่ออะไร คือผมเรียนเพื่อทำงาน คือตั้งใจว่าเรียนเสร็จจะต้องทำงานที่อังกฤษให้ได้ คือให้การเรียนเป็น pathway หนึ่งให้เราได้ทำงานที่นี่ ก็คือที่อังกฤษตอนนี้สามารถต่อ graduate visa ได้อีก 2 ปี หลังเรียนจบครับ

คนที่ผมเคยเจอที่เรียน ป.โท มาเรียนแล้วไม่รู้จะเอาไปทำอะไร หรือเอาวุฒิไปอัพเงินเดือน ถ้าแบบนั้นคุณไม่ต้องมาเรียนที่อังกฤษก็ได้ เรียนที่เมืองไทยก็สามารถอัพเงินเดือนได้ ไม่จำเป็นต้องมาเรียนต่างประเทศ แต่ถ้าคนที่จะมาเรียนต่างประเทศแล้วอยากได้ภาษา อยากได้ประสบการณ์ อยากได้ pathway อะไรใหม่ ๆ ผมก็แนะนำมากกว่า

 

สนใจเรียนต่อ University of Nottingham หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ตัวแทนมหาวิทยาลัยอย่างเป็นทางการประจำประเทศไทยฟรี เพียงกรอกแบบฟอร์มด้านล่าง