Hands On Education Consultants

รีวิว MSc Entrepreneurship and Innovation ที่ The University of Edinburgh โดย Jade

แนะนำตัวหน่อยค่ะ

Jade: ชื่อเจตน์ครับ เรียน MSc Entrepreneurship and Innovation ที่ The University of Edinburgh ครับ

ทำไมถึงเลือกเรียนต่อสาขานี้?

Jade: จริง ๆ เพราะว่าเจตน์เคยทำงานบริษัท Startup มาก่อน แล้วก็รู้สึกว่ามันลองผิดลองถูกตลอด มันไม่มีความรู้หรือทฤษฎี เราต้องเดาเองตลอด ก็เลยคิดว่าลองเรียนด้านนี้แล้วกัน แล้วก็อยากเรียนอะไรที่เป็น future proof นิดนึง คือถ้าเรียนเป็นทักษะเฉพาะ บางทีเรียนจบปุ๊ป 2 ปีก็อาจจะตกยุคไปแล้ว แต่อันนี้เหมือนเป็นทักษะที่เป็นเหมือนกรอบความคิดของเราว่าต้องคิดประมาณนี้นะ มันจะได้อยู่ต่อไปได้อีกนาน ๆ

ทีนี้ Entrepreneurship เปิดสอนแทบทุกมหาวิทยาลัย ทำไมถึงเลือกเรียนที่นี่?

Jade: ก็ดูหลายอย่างฮะ อย่างแรกก็ Ranking คิดว่าทุกคนก็ดู Ranking แน่นอน ที่ University of Edinburgh ก็ Ranking ค่อนข้างสูง ปีที่แล้วติดอันดับ 16 ของโลก ก็โอเค โหดนิดนึงแต่ก็เลือกมา แล้วก็มีในเรื่องของเงินสนับสนุนจากทางมหาวิทยาลัยครับที่เยอะ คือถ้าไม่นับ London เนี่ย Edinburgh ก็เป็นเมืองต้น ๆ ในยุโรปเลยที่มีบริษัทเทคโนโลยีหรือบริษัท Startup มาลงทุนเยอะ แล้วก็มีเงินสนับสนุนเยอะ มหาวิทยาลัยเองก็มีเหมือนกัน เค้าเรียกว่า Commercialisation Unit เป็น Edinburgh Innovation ก็จะ partner กับหลาย ๆ บริษัท หลาย ๆ องค์กร แล้วเค้าก็จะมีโปรแกรมเยอะมาก แล้วเงินหนา เช่น ยูอยากทำธุรกิจหรอ ยูเอาไอเดียมา ถ้าชนะได้ 500 ปอนด์ หรืออยากเข้า Accelerator อ่ะให้ 3,000 ปอนด์ คือมี support เยอะ แล้วมหาวิทยาลัยคืออัดเงินตรงนี้เยอะเพราะว่าเหมือนทางรัฐบาลสกอตแลนด์เองก็อยากจะสนับสนุนตรงนี้ ตัวเมืองก็อยากให้มี มันเหมือนทุกคนอยากให้มี มันก็เลยแบบมีระบบ support ที่ค่อนข้างเยอะ เท่าที่เจตน์ดูคิดว่าน่าจะ support แน่นสุดแล้ว

สนใจเรียนต่อ The University of Edinburgh ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ฟรี คลิก

การเตรียมตัวเรียนต่อ

รู้จักพี่ Hands On ได้ยังไงคะ?

Jade: ตอนนั้นก็มีนั่งคิดอยู่เหมือนกันว่าจะสมัครยังไง แล้วก็คิดไม่ออก ก็เลยลองเปิด internet หาแล้วเห็น Hands On ก็เลยลองคลิกดู ลองอ่านดู แล้วตอนนั้นก็มีอีเวนต์พอดีแล้วใกล้ออฟฟิศด้วย ก็เลยแว๊บไปได้ตอนทำงาน ก็เลยไปลองเข้างานและลองคุยดู

แล้วเป็นยังไงคะ ตอนแรกงงมั้ยว่าต้องเสียเงินป่าว?

Jade: ตอนแรกก็เอ๊ะยังไง ต้องมีค่าใช้จ่ายอะไรหรือเปล่า แต่ว่าพอไม่มีก็โอเค ดี แล้วเราก็รู้สึกว่าเราก็ต้องการคนมาช่วยเราตรงนี้ เพราะว่าเจตน์ก็ทำงาน เวลาจะให้มานั่งดูเอกสารหรอ ไม่มีทางเลย แล้วเราก็ไม่รู้ว่ามหาวิทยาลัยไหนดี ข้อดีข้อด้อยยังไง คอร์สก็เยอะ แล้วตอนนั้นเจตน์ก็ดูแต่อเมริกา ไม่ได้ดูอังกฤษเพราะคิดว่าจะสมัครแต่อเมริกา แล้วตอนนั้น Trump ก็ยังเป็นประธานาธิบดีก็เลยคิดว่าปวดหัว ไม่เอาดีกว่า (หัวเราะ) ก็เลยคิดว่ามาเรียนอังกฤษแล้วกัน ปีเดียว แล้วพอมาปรึกษาพี่ Hands On ก็เหมือนมีคนมาช่วยจัดการ อย่างบอกว่า อยากเรียนอันนี้ ก็จะมีลิสต์ที่นี่ ๆ มาให้ นอกจากนี้ก็ช่วยตามเรื่องเอกสารเรา มีคนช่วย process ให้ ก็ช่วยได้เยอะฮะ ทั้งเรื่องวีซ่าด้วย ตรวจร่างกายด้วย หาหอด้วย แล้วตอนนั้นเจดก็ยุ่งมากด้วย พอมีคนมาทำตรงนี้ให้ก็ถือว่าดีกว่าเยอะ

MSc Entrepreneurship and Innovation

First impression ในการมาเรียนต่อของเราเป็นยังไงบ้าง?

Jade: มาถึงครั้งแรกก็โดนกักตัวก่อนเลย 10 วัน (หัวเราะ) ตอนนั้นเจตน์มายังเป็น Yellow list อยู่ โดนกักตัวที่หอ มาถึงก็คือเหนื่อยมากกกก มาวันแรกเห็นห้องคือยังไม่เตรียมอะไรเลย ทุกอย่างยังซีลไว้อยู่เพราะว่าหอที่เจดอยู่เป็นหอใหม่ ฟีลลิ่งแรกคือแบบ โอ๊ยยยยย… ต้องมานั่งกวาดห้อง เช็ดห้อง ปูผ้าโน่นนี่นั่น ก็พอมากักตัวมันก็เป็นอีกฟีลลิ่งนึงนะ มันมีอยู่วันนึงที่เดินกลับบ้านแล้วกำลังรอข้ามถนน แล้วพระอาทิตย์กำลังจะตกก็เลยหันไปมอง ก็มารู้สึกว่าเราไม่ได้อยู่ที่ไทยแล้วนี่หว่า เหมือนกับเราเพิ่งมานึกได้ว่าที่นี่มันไม่ใช่ที่เดิมแล้ว มันก็คงมีโอกาสหรืออะไรใหม่ ๆ ให้เราลองมั้ง

เรื่องคอร์ส Entrepreneurship and Innovation เค้าสอนอะไรบ้างคะ?

Jade: น่าจะเป็นหนึ่งในโปรแกรมที่เรียนเยอะเหมือนกัน เทอม 1 ค่อนข้างหนัก จะไม่ได้เรียนลึกทุกอย่างครับ ก็จะมีเรียน New Venture Creation แบบทำธุรกิจของตัวเองยังไง มีเรียน Finance เพราะเวลาทำธุรกิจก็ต้องมีการเงินประกอบ แล้วที่นี่ก็จะเป็นมหาวิทยาลัยที่เน้น Research นิดนึง ก็จะมีวิชา Business Research แล้วก็มี Managing Innovation อันนี้เทอมแรกก็เรียน 4 วิชา

พอเทอม 2 ก็จะมีวิชาบังคับตัวนึงคือ Consultancy ที่มีบริษัทข้างนอกจริง ๆ หรือว่า Startup มีปัญหามาให้เรา แล้วเราก็หาทางแก้ไขให้เค้า หาคำแนะนำให้เค้า แล้วก็มีวิชาเลือกให้เลือกอีก 3 ตัว ก็แล้วแต่แต่ละคนจะเลือก อย่างเจตน์ก็เลือก Design Thinking, Digital Business แล้วก็ Technology and Entrepreneurship แต่ก็มีวิชาแบบถ้าใครสนใจเรื่อง Social Change ก็มีให้เลือก ใครอยากทำงานสาย creative ก็มีวิชา Creative ใครอยากเรียนเกี่ยวกับประเทศจีนก็มีวิชา Innovation in China เหมือนกัน แต่ถ้าถามว่าเรียนหนักมั้ย ก็ต้องตอบว่าค่อนข้างหนัก ทางมหาวิทยาลัยก็จะส่ง reading list มาให้ เพื่อให้เราไปอ่าน ไปเตรียมตัวมา แล้วก็จะมี assignment ซึ่งเป็นหน้าที่ของแต่ละคนที่ต้องคอยแทรคงานตัวเอง บางวิชาก็จะหนักหน่อยเพราะว่าเราต้องคิดว่าเราจะสร้างธุรกิจยังไง ต้องทำตัวเลข ต้องทำพรีเซนต์ให้ดู ให้เค้าเห็นว่ามันจะประมาณนี้นะ ก็ค่อนข้างอ่วมอยู่

วิชาอะไรที่เราชอบสุด?

Jade: ที่ชอบสุดจะเป็น Management Innovation เป็นเรื่องเกี่ยวกับนวัตกรรมอย่างเดียวเลยฮะ นวัตกรรมมันมีหลายประเภท หลายแบบ เราจะบริหารจัดการมันยังไง อย่างในคลาสเจตน์ก็จะเน้นเรื่อง Open Innovation คือการเน้นให้มีส่วนร่วมของผู้คนมากขึ้น แล้วเจตน์ชอบ assignment ตัวนี้ เพราะเป็น case study เป็น assignment ใหญ่ 3,500 คำ แล้วเปิดกว้างมาก จะเขียนยังไงก็ได้เกี่ยวกับเรื่อง Innovation คือแล้วแต่แต่ละคนจะหยิบประเด็นไหนมาพูด ตอนนั้นก็คิดไม่ออกก็เดินไปถาม professor ว่านี่คือปัญหาที่ฉันเจอ เค้าก็จะช่วยเราตกตะกอนความคิด แล้วเราก็เขียนแล้วรู้สึกสนุก รู้สึกว่าเป็น assignment ที่ใช้เวลาเตรียมเยอะมาก เตรียมเนื้อหาเตรียมอะไรอยู่ประมาณ 2 อาทิตย์ แล้วก็เขียนอยู่ประมาณ 3 วัน แต่เขียนแบบทั้งวันเลยนะ 3 วัน เขียน ๆๆๆๆ แล้วส่งไป รู้สึกว่าสนุกเพราะมันไม่มีกรอบว่าต้องทำ 1 2 3 4 นะ แต่คือแล้วแต่เลยว่าเราจะพรีเซนต์ยังไง ชอบมาก แล้วเกรดออกมาดี คือตอนแรกก็ลุ้นว่าถ้าไม่ออกมาเจ๊งกะบ๊งก็ออกมาดีเลย ก็ออกมาได้ 80 ก็โอเค

80 ที่ Edinburgh คือขั้นเทพนะคะ

Jade: (หัวเราะ) แต่ในกลุ่มเพื่อน ๆ เจตน์คือเป็นเด็กเรียนซะส่วนใหญ่ เวลาเกรดออกมา ถ้าเห็นเลข 7 นำหน้าคือโล่งอกแล้วเพราะว่ายังเกาะกลุ่มอยู่ ถ้าเห็นเลข 6 หลาย ๆ ครั้งจะเริ่มเครียด จะมีเพื่อนบางคนที่ไม่รู้มันทำอะไร มันได้ 80 85 ตลอดเลย เราก็จะ “ไม่ เราจะไม่ยอมกัน” (หัวเราะ) เราจะมีความแข่งกันนิดนึง อาจจะไม่ใช่ว่าเด็กเรียนหรอกแต่ว่านิสัยแบบทุกคนจะมีความไม่ยอมกันอยู่นิด ๆ เช่น คนนี้เล่นใหญ่ เราต้องเล่นใหญ่กว่า คนนี้พรีเซนต์แบบนี้แล้วบ้งตรงนี้ โอเคเอา paper มาดิ๊ แก้สคริป ๆๆ มันมีคนตายก่อนเราแล้วเราจะต้องไม่ตายจุดเดียวกัน (หัวเราะ)

แล้วเพื่อน ๆ ในห้องมีหลายเชื้อชาติมั้ยคะ?

Jade: มีทั้งหมด 42 คน ก็ค่อนข้างเล็กถ้าเทียบกับโปรแกรมอื่น ๆ อย่างตอนโควิดระบาด โปรแกรมนี้ก็รอดตัวเพราะว่าหาห้องเรียนได้ง่าย บางโปรแกรมเค้ายังหาห้องเรียนให้ไม่ได้ ส่วนเรื่องเชื้อชาติก็ค่อนข้างหลากหลาย ไม่ได้มีประเทศไหนเด่นขึ้นมา ก็จะมีเยอรมัน อเมริกัน อินโดนิเซีย มาเลเซีย จีน ไต้หวัน อินเดีย แอฟริกา มีจากยุโรปจากหลายประเทศเลยฮะ ประเทศละคน 2 คน แต่อย่างในมหาวิทยาลัยนี้ โปรแกรมอื่นก็จะเห็นว่าอัตราส่วนจะค่อนข้างสูงกว่า อย่างเช่น Business Analytics ก็จะเห็นว่าคนอินเดียกับจีนจะมีอัตราส่วนสูงกว่าประเทศอื่น ๆ แต่พอเป็นโปรแกรมเรามันดูคละกว่าคนอื่นค่อนข้างมาก

assignment ต่าง ๆ รวมถึงบรรยากาศในห้องเรียนเป็นยังไงบ้าง?

Jade: ของเจตน์อาจจะไม่เหมือนกับของปีต่อ ๆ ไป เพราะว่าของเจตน์ยังเป็นช่วงที่ยังมีการควบคุมเรื่องโควิดอยู่ บางคลาสก็จะแบ่งเป็นกลุ่มเล็ก ๆ 2 กลุ่ม เวลาเรียนอันนี้ต้องบอกว่าแล้วแต่แจ็กพอตของแต่ละคนมั้ง อย่างกลุ่มของเจตน์ก็จะเป็นกลุ่มเด็กเรียนนิดนึง เวลาก่อนจะเริ่มคลาสก็จะนั่งอ่านกันแล้วว่าเรามีต้องอ่านอะไรก่อนเรียนหรือเปล่า เพราะของเจตน์จะเป็น online lecture ก่อนไป discuss กันในห้อง จะมีทั้ง tutorial และสัมมนา ก็ต้องเตรียมตัวก่อนนิดนึง บางวิชาถ้าไม่ได้เตรียมตัวมาก็อาจจะเรียนไม่เข้าใจ แล้วมันไม่ได้มาแค่อันสองอัน บางทีมาเป็นปึกเลย ก็จะมีบอกเลยว่าพวกนี้ต้องอ่านนะ อันอื่นเป็น optional แต่การอ่าน optional ก็จะช่วยเราใน tutorial พอสมควร แล้วก็ช่วยตอนทำ assignment ด้วย

ในส่วนของ assignment ก็ไม่ได้ง่าย รู้สึกว่าให้เกรดยากอยู่เหมือนกัน ก็จะมีทั้งเป็นแบบให้เขียน essay หรือบางวิชาก็จะมีให้เขียนเป็น blog บางอันก็จะเป็นแบบ case study report ก็เหมือนเขียนเป็นงานวิจัยเล็ก ๆ ของเราอันนึง บางการบ้านก็มีเป็น presentation มีให้อัดวิดีโอนำเสนอ บางวิชาก็มีให้ส่งหลายอย่างมาก เช่น วิชา Finance ก็จะมีให้ส่ง Excel ตัวเลขของเราทั้งหมดไป 1 ชุด ส่ง analysis report 1 เล่ม แล้วก็อัดวิดีโอพรีเซนต์ตัวเลขของเราว่าทำไมเราถึงได้ตัวเลขนี้ ก็คือ 1 assignment ต้องทำ 3 อย่างก็มีเหมือนกัน ก็ไม่ได้หลับไม่ได้นอนกัน นั่งทำถึงตี 1 ไปถึงมหาวิทยาลัยกันแบบตาโหลกันหมดเลยก็มี (หัวเราะ)

กิจกรรมนอกห้องเรียน

กิจกรรมก็เยอะ ช่วงเมษา พฤษภา มิถุนา คือมีกิจกรรมให้ตลอด แล้วเราสามารถเสนอได้ ก็คือถามกับ programme representative ได้ว่าอยากได้สิ่งนี้ ๆๆ เค้าก็จะพยายามจัดให้ อย่างปีนี้ก็มี sales training ก็คือใครอยากอัพสกิลเรื่องการขายก็มาเข้าร่วม workshop ได้ แล้วก็มีเพื่อนในคอร์สจะไปแข่ง sales competition ที่ Amsterdam เดือนหน้า อย่างวันนี้ก็เพิ่งมี Leadership workshop ไปครับ

ก็คือเรียกได้ว่าขออะไรไป ถ้ามหาวิทยาลัยจัดให้ได้ก็จะจัดให้หมด?

Jade: ใช่ครับ ถ้า budget มี detail ได้ ก็พยายามจัดให้ อาจจะมีให้ programme representative ไปหาข้อมูลมาว่าใครสนใจด้านไหน แล้วก็พรีเซนต์เคสของเราว่าทำไมถึงอยากได้ เค้าก็จะพยายามจัดให้ ก็ต้องบอกว่ามหาวิทยาลัยมีเงินและ resource เหลือ ก็คือถ้าจัดให้ได้เค้าก็จัดให้เลย ก็ถือว่าเป็นข้อดีเพราะอย่างช่วง dissertation เดือนมิถุนายน ก็มีรีเควสว่าน่าจะเครียดกัน อยากได้อะไรเกี่ยวกับ mental health ซึ่งตอนนี้เค้าก็ไปคุยให้แล้ว แล้วเราก็พรีเซนต์เคสว่าในฐานะที่เราเป็น programme representative เราก็ไปคุยกับ business school representative ว่านี่เป็นสิ่งที่คนในโปรแกรมเราอยากได้ เค้าก็จะโอเค จัดให้ เตรียมอีเวนต์ให้

สนใจเรียนต่อ The University of Edinburgh ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ฟรี คลิก

ตอนแรกที่เราเลือกคอร์สเรียนเพราะเราอยากหาคอร์สที่มันเป็น future proof แล้วพอมาเรียนจริง มันตอบโจทย์แบบที่เราตั้งไว้มั้ย?

Jade: เจตน์คิดว่ามันตอบโจทย์ประมาณ 75-80% นะ เพราะว่าเนื้อหามันค่อนข้างกว้างอยู่ แต่เราก็ยอมรับว่าอีก 20% ที่เหลือคือเราทำงานมาก่อนเยอะ ถ้าเทียบกับในคลาสคือเราทำงานมานานกว่าคนอื่น ก็เลยรู้สึกว่าเนื้อหาบางอย่างเราก็รู้อยู่แล้ว มันก็ไม่ได้ว้าวเรา แต่สำหรับบางคนก็จะรู้สึกว่ามันใหม่มาก ถ้าประสบการณ์เยอะก็อาจจะรู้สึกว่ามันคล้าย ๆ กับที่เราทำงานมา แต่มันก็จะมีโมเมนต์ที่นั่ง ๆ ฟังอยู่แล้ว อ๋อ ตอนทำงาน ฉันทำแบบนี้นี่หว่า คือบางทีเวลาเราทำงาน เราไม่ได้มีภาพเป็น framework ไว้ พอแบบนี้ก็เหมือนเอา framework มาใส่ให้ทีหลัง ก็ถือว่าเป็นอะไรที่เวิร์คเหมือนกัน

The University of Edinburgh

Facilities ของมหาวิทยาลัยเป็นยังไงบ้างคะ?

Jade: ถ้ามองในมุม Postgraduate คือที่นี่ resource เยอะมาก เยอะแบบว่าตอนเราเรียนปริญญาตรี resource เราก็เข้าได้เยอะแล้วนะ มาที่นี่ยิ่งรู้สึกว่าเยอะกว่าเดิมอีก อย่างห้องสมุดหลักก็ข้อมูลเยอะมาก สมมุติว่าหาข้อมูล 100 ครั้ง มีหาไม่เจอแค่ครั้งเดียวอ่ะ เพราะว่ามันเก่ามากหรืออะไรสักอย่าง ที่เหลือคือหาได้หมด เนื้อหาความรู้ต่าง ๆ มีให้หมด Mintel, Statista, Financial Time อ่านฟรี ใช้ฟรีหมด สามารถใช้ log in มหาวิทยาลัยเข้าได้เลย ก็เลยรู้สึกว่าในมุมวิชาการเค้ามี support ให้เยอะมาก อย่างเวลาทำ report ที ดาวน์โหลด report ไปกี่หมื่นบาทก็ไม่รู้ แต่เราก็กดมาสะใจมาก กด ๆๆๆ พวก paper, journal เข้าได้หมดเลย แล้วถ้าไม่พอก็ไปเอาที่ห้องสมุดอื่นก็ได้ ติดต่อ National Library ก็ได้ ทางมหาวิทยาลัยก็จะทำเรื่องให้

นอกจากนี้ก็มี Creator space เช่น อยากทำ 3D printing ก็ไปจองเวลาขอใช้ได้ จะให้เค้าสอนวิธีใช้ให้ตั้งแต่ต้นก็ได้ หรืออยากตัดต่อวิดีโอก็มี studio ตัดต่อให้ คือมาเรียนที่นี่ยังนึกไม่ออกเลยว่ามีอะไรที่เราไม่เคยได้จากเค้าเลยในมุมสิ่งอำนวยความสะดวก ในมุม support แต่ละอย่างคือทางมหาวิทยาลัยมีให้เยอะจริง ๆ  Mental health ก็เป็นเรื่องใหญ่ของที่นี่ เค้าก็ให้ความสำคัญ

อย่างในโปรแกรมเจตน์อย่างที่บอกก็มีเรื่องของเงินลงทุนหรือ training เพิ่มเติม แล้วด้วยความที่ชื่อมหาวิทยาลัยคือ The University of Edinburgh เวลาติดต่อใคร เค้าก็ยินดีช่วย อย่างตอนทำ Consultancy project survey ใช่มั้ยฮะ มีส่งอีเมลไป 200 บริษัท ทั้งบริษัทเล็กและบริษัทใหญ่เลย respond rate คือ 15% ปกติได้แค่ 12-13% ก็ดีใจจะแย่แล้ว บางบริษัทบอกว่าสนใจ ให้ลงไปหาที่ London หน่อย อยากให้เรา show & tell บางบริษัทคือเราเห็นชื่อคือใหญ่มากกก บางคนที่มาคุยก็เป็น Head of Design หรือเป็น Director ก็มีคนอยากมาคุยกับเรา ก็รู้สึกว่ามันเป็น resource อย่างนึงด้วยชื่อเสียงของมหาวิทยาลัย คือเหมือนเข้าถึงง่ายมาก แค่บอกว่ามาจากมหาวิทยาลัยนี้ก็คือได้หมด เวลาจะ access อะไร เอา ID มหาวิทยาลัยไปเปิดก็ผ่าน ๆๆ ได้

ก็เรียกได้ว่าอยากได้อะไร The University of Edinburgh จัดให้

Jade: ใช่ฮะ คือแทบจะไม่มีอะไรไม่ได้เลย ก็คุ้มค่าเทอมนะ เพราะค่าเทอมที่นี่จริง ๆ ก็จะสูงกว่าที่อื่นพอสมควร แต่พอมานั่งเทียบกับ support ปุ๊ป คือแบบ… เฮ้ย ก็ว่าคุ้มอยู่

สนใจเรียนต่อ The University of Edinburgh ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ฟรี คลิก

เมือง Edinburgh (อี-ดิน-บะ-ระ) เมืองหลวงประเทศ Scotland

ถ้าเทียบตอนเรามาเที่ยวกับเวลามาเรียนก็ไม่เหมือนกันเนอะ พอมาอยู่ที่ Edinburgh เป็นยังไงบ้าง?

Jade: น่าอยู่ ถ้าให้พูดตรง ๆ ก็คือค่อนข้างน่าอยู่ เพราะว่าขนาดของเมืองมันไม่ได้ใหญ่มาก ถ้าเทียบกับ London ก็คือจิ๋วเลยแหล่ะ แล้วถ้าเป็นคนชอบเดินเนี่ย จะถูกใจมาก เพราะว่าเหมือนมี landscape ที่เปลี่ยนไป เพราะเมือง Edinburgh นี้มันอยู่บนภูเขา ก็เหมือนเดินขึ้น ๆ ลง ๆ ทั้งวัน อากาศก็สะอาด แล้วก็ไม่พลุกพล่าน ยกเว้นช่วงเทศกาลก็จะมีคนมหาศาลนิดนึง แต่ปกติก็จะไม่ได้วุ่นวายขนาดนั้น คนที่นี่ก็น่ารัก ใจเย็น มีความเฟรนลี่พอสมควร แล้วเมืองนี้ก็ค่อนข้างปลอดภัย เต็มที่เลยก็คือเจอคนเมา เราก็จะแบบถ้าเห็นท่าไม่ดีมาแต่ไกล ก็จะหลบไปทางอื่น แล้วก็เป็นเมืองที่ 1 ชั่วโมง สามารถเดินได้รอบเมือง ไปพื้นที่หลัก ๆ ได้เยอะ ถ้าอยากจะไปข้างนอกก็มีรถบัส รถราง หรือจะนั่งรถไฟไปไหนก็ง่าย ค่ากินอยู่ก็ยังถูกกว่า London ถามว่าสูงมั้ย? ก็สูง แต่ว่าไปข้างนอกแล้วรู้สึกว่าไม่ได้ถังแตกกลับบ้านเหมือนตอนไป London (หัวเราะ) ไป London กลับมาคือ อุ้ย Edinburgh ถูกจัง (หัวเราะ) รู้สึกประหยัดแทบตาย ไป London ทีเดียวคือแบบไม่เหลือ

ส่วนเรื่องอื่นก็อาจจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น เปิดธนาคารที่นี่ปวดหัวมาก ทำใจอย่างเดียว แล้วก็รู้สึกว่าถ้าอยากอยู่ที่นี่ให้มีความสุขก็อยากให้ออกนอก comfort zone ของตัวเอง เพราะว่ายิ่งออกนอก comfort zone มันก็ยิ่งดีกับตัวเราเองมากขึ้นฮะ

ฝากอะไรถึงน้อง ๆ ที่สนใจเรียนต่อหน่อยค่ะ

Jade: ก็อยากให้ลองศึกษาดู ลองถามพี่ ๆ Hands On ก็ได้ว่าอยากเรียนสิ่งนี้ สนใจสิ่งนี้ มีที่ไหนหรือตัวเลือกไหนเหมาะกับเราบ้าง คือเชื่อว่ามันมี something for everyone อยู่แล้ว เพราะว่าแต่ละคนก็จะมองหาไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะอยากได้บรรยากาศชิลหน่อย อาจจะไม่ต้องมาแข่งกับชาวบ้านแบบที่นี่ก็ได้ (หัวเราะ) จริง ๆ เจตน์ก็อยากให้ลองปรึกษา Hands On ดู เพราะว่าถ้าเจตน์ไม่ได้มาคุยกับพี่ Hands On ตอนนั้น เจตน์ก็ไม่แน่ใจว่าเจดจะลงเอยที่นี่หรือเปล่านะ เพราะเจตน์ก็คงไปเรื่อยเหมือนกัน พอมาคุยแล้วเหมือนเค้ารู้มากกว่าเรา เค้าเห็นมากกว่าเรา เราก็จะเห็นตัวเลือกต่าง ๆ ว่าอันไหนเราเวิร์ค อยากให้ลองดู อย่างน้อยมาเรียนที่นี่ อาจจะไม่ต้องใช่ที่ The University of Edinburgh ก็ได้ฮะ แค่เป็น UK หรือต่างประเทศ มันก็เปิดประสบการณ์ ทำให้เราเห็นวิธีคิด วิธีการใช้ชีวิตในแต่ละประเทศที่แตกต่างกัน เราอาจจะชอบแล้วเอากลับมาใช้ที่บ้านเราก็ได้ เจตน์ว่ามันก็ดี แล้วก็ได้เพื่อนต่างชาติเยอะ เพราะที่สุดแล้วมันก็จะกลายเป็น connection ของเราในอนาคต

สนใจเรียนต่อ The University of Edinburgh ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ตัวแทนมหาวิทยาลัยอย่างเป็นทางการประจำประเทศไทยฟรี เพียงกรอกแบบฟอร์มด้านล่าง