รีวิว MSc International Management ที่ King’s College London โดย Pat

  • Share this:

Pat: ชื่อแพทนะคะ เรียน International Management อยู่ที่ King’s College London ค่ะ

ทำไมถึงเลือกเรียนต่อคอร์สนี้

Pat: คือก่อนหน้านี้แพทเรียน BBA ธรรมศาสตร์มาค่ะ เรียน Business Marketing มาก่อน พอตัดสินใจว่าจะเรียนต่อก็เลือกสาขานี้ เพราะว่ามันจะให้เราเห็นภาพรวมของ Management มากขึ้น แล้วก็ได้เห็นมุมมองของหลาย ๆ ประเทศด้วย ก็เลยเลือกที่จะเรียนคอร์สนี้

 

การเตรียมตัวเรียนต่อ

Pat: ก็เริ่มหาข้อมูลเรื่องเรียนต่อต่างประเทศก่อนเลยค่ะ ลอง search ดูว่าต้องทำอะไรบ้าง ก็เจอพี่ Hands On ค่ะ หลังจากนั้นก็จะได้ข้อมูลมหาวิทยาลัยมาจากพี่เค้าด้วย อย่างแพทก็จะบอกพี่เค้าเลยว่าเราอยากได้มหาวิทยาลัยในลอนดอนนะ พี่เค้าก็จะลิสต์ออกมาให้ว่ามีมหาวิทยาลัยไหนบ้างที่ยื่นได้ รวมถึงหาตัวเลือกอื่น ๆ ที่เป็นมหาวิทยาลัยรอบ ๆ ลอนดอนที่เดินทางมาไม่ไกลให้ด้วย

หลังจากนั้นเราก็มานั่งดูรายละเอียดแต่ละตัวเลือกว่ามีอะไรบ้าง ค่อย ๆ scope down ตัวเลือกลงมา แล้วก็เลือกจาก location ที่อยากมาเรียนด้วย ก็อยากอยู่ในเมือง เลยเลือกมหาวิทยาลัยที่อยู่ในลอนดอนมากกว่าค่ะ แล้วก็มาดูเนื้อหาที่จะได้เรียนว่าคอร์สเรียนเค้าจะเรียนประมาณไหน น่าสนใจมั้ย แล้วมัน overlap กับอันเดิมที่เราเรียนมามากน้อยขนาดไหน

บริการจากพี่ Hands On

Pat: พี่ Hands On เค้าโทรกลับมาเราวันที่ไม่อยากทำงานแล้ว (หัวเราะ) ก็เลยคิดว่าน่าจะเป็นช่วงเวลาที่ดีในการไปเรียนต่อค่ะ

คือหลัก ๆ พี่ Hands On ก็ช่วยขั้นตอนการเตรียมตัว support จากทาง Hands On เยอะมาก ช่วยลิสต์มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ตาม requirement ที่เราสนใจ เช่น เราอยาก scope down มาเป็น Business หรือ MBA นะ แต่เนื่องจากประสบการณ์การทำงานของเราไม่ถึง แล้วค่อย ๆ ตัดเกณฑ์ไปแต่ละช่วง ว่าเราต้องการอะไร เราสนใจอะไร พี่เค้าก็จะลิสต์มาให้ตามที่เราแจ้งไปค่ะ

นอกจากลิสต์ข้อมูลมหาวิทยาลัยกับคอร์สเรียน พี่เค้าก็จะดูแลเราทั้งเรื่องเอกสารและรายละเอียดต่าง ๆ อย่างละเอียดจริง ๆ ค่ะ อย่างเช่นว่า เราต้องการเอกสารอะไรบ้าง หรือว่าจะต้องกรอกรายละเอียดอะไรบ้าง เพราะถ้าพูดตามตรงคือตอนนั้นก็ยังทำงานอยู่ ทำงานจนถึงสิ้นเดือนสิงหาคม แล้วเราบินเดือนกันยายน ก็คือก่อนหน้านั้น เป็นพี่ Hands On จัดการรายละเอียดต่าง ๆ ให้แบบเยอะมากกกก ดูตั้งแต่ cover letter หรือว่า resume รายละเอียดอะไรต่าง ๆ ว่าต้องทำอะไรบ้าง รวมถึงที่พัก ว่าจะอยู่เป็น student accommodation หรือว่าจะอยู่แบบเป็น apartment ดี หรือว่าเป็น service apartment ก็คือมีตัวเลือกให้เลือกเลยค่ะ เรื่องวีซ่าก็ช่วยดูให้ค่ะ เป็นแบบว่าคอยตามเราว่าไปตรวจ IOM หรือยัง ทำรายละเอียดต่าง ๆ ตามขั้นตอนหรือยัง ยังไม่ติดโควิดใช่มั้ย เพราะช่วงนั้นโควิดก็ระบาดหนักมาก คือถ้ายังไม่ติดโควิดก็รีบไปตรวจก่อนเลย พี่เค้าก็คือช่วยวาง timeline เพราะรู้ว่าช่วงนั้นเราไม่ค่อยว่างค่ะ

International Business กับ MBA ก็มีหลายที่เปิดสอนเยอะมาก ในลอนดอนเองก็มีหลายมหาวิทยาลัย แล้วทำไมถึงลงตัวที่ King’s College London คะ?

Pat: เพราะข้อดีที่ King’s คือไม่ require GMAT หรือว่าคะแนนอื่น ๆ คือต้องการแค่ IELTS ตัวเดียวแล้วจบ แล้วถ้าไปดูตัวคอร์สรายวิชา ก็จะมีตัวที่เค้ากำหนดไว้ให้ แล้วก็มีตัวที่เราเลือกเองได้ในเทอม 2 ซึ่งตัวที่เราเลือกได้ ซึ่งถ้าดูตามลิสต์แล้ว มันเป็นวิชาที่มีหลากหลายสาขาให้เราเลือกแล้ว ส่วนตัวก็มีความอยากเรียน Entrepreneurship นิดนึง ทำให้เรากังวลว่าบางมหาวิทยาลัย เค้าไม่ได้สอน Entrepreneurship ละเอียดมากพอ แต่ของ King’s College London คือเค้าเลือกมาเลยว่าเราจะเรียน Entrepreneurship ธรรมดา หรือจะเรียน Entrepreneurship for family business ซึ่งเราคิดว่ามันตอบโจทย์เด็กไทยหลาย ๆ คนมากกว่า แบบโอเค ที่บ้านมีธุรกิจนะ ต้องทำงานไปก่อนแล้ววันนึงกลับไปทำงานที่บ้าน ก็เหมือนเป็นตัวเลือกที่ดีค่ะ

ส่วนเรื่อง ranking ก็มีดูบ้างนะว่า ranking ประมาณไหน แต่ว่าถ้าถามว่าเป็นปัจจัยหลักในการเลือกมหาวิทยาลัยมั้ย ก็ไม่ได้ขนาดนั้นค่ะ คืออยากเลือกจาก location เลือกจากอะไรหลาย ๆ อย่างมากกว่า

สนใจเรียนต่อ King’s College London ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ฟรี คลิก

รีวิว MSc International Management 

มารีวิวคอร์สเรียนบ้าง คอร์สนี้เรียนอะไรบ้าง ใช่อย่างที่เราคิดไว้มั้ยคะ

Pat: ต้องบอกเลยว่าใช่ ค่อนข้างเป็นไปตามแนวทางที่เราคิดไว้แล้วกัน เรียนหฤโหดดี เรียนเยอะ (หัวเราะ) ถ้าถามก็คือเรียนครบเลยนะ มี Marketing, Management, Consult เยอะมากค่ะ คือคอร์สเรียนที่นี่จะสอนให้เราได้ทั้ง soft skill และ hard skill ให้เราพร้อมที่จะทำงานจริง

อย่างวิชา International Management in Practice: Application and Critical Thinking จะเรียนต่างจากวิชาอื่น ๆ เลยค่ะ คือแต่ละช่วงก็จะได้กิจกรรมในห้องเรียนที่แตกต่างกันไปเลย มีตั้งแต่กิจกรรมนอกห้องเรียนแบบว่าไปปีนผา ไปโน่นนี่นั่น เค้าบอกว่าตัว hidden agenda จริง ๆ แล้วก็คือให้ลองทำงานกันเป็นทีม ไม่ใช่แค่ในห้องเรียนแต่ว่าเป็นในแต่ละสถานการณ์ว่าจะช่วยเหลือกันยังไง หรือให้แสดงบทบาทสมมุติเป็นท่านทูตไปดีลงาน ก็เหมือนมีกิจกรรมต่าง ๆ ให้ทำ รวมถึงมี critical thinking เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ทำให้ตัวนี้จะเหมือนเป็น workshop ของหลาย ๆ skill set มากซึ่งไม่ได้มีแค่ hard skill แต่มี soft skill เข้ามาด้วย เราเรียน simulation, เรียน negotiation skill, เรียน presentation skill คือมันมี skill set หลาย ๆ อย่างที่ให้เรียน

ในส่วนของ hard skill ที่มันถูกรวมไปกับวิชาที่เรียนอยู่แล้ว เช่น International Business Strategy เราก็เรียนกลยุทธ์จ๋าไปเรียน เรียน International Marketing ก็คือการตลาดจ๋าไปเลย แล้วก็ทำ case study เกือบทุกสัปดาห์ของเกือบทุกวิชาเลย

หรืออย่างวิชา Comparative Management and Governance ด้วยความที่เราเรียนคอร์ส International Management เนื้อหาที่เราเรียนทางมหาวิทยาลัยก็จะอยากให้เราเห็นมุมมองของหลาย ๆ ประเทศด้วย เช่น ถ้าเป็นประเทศ A มี management behaviour อย่างไร หรือ management behaviour ของแต่ละประเทศเป็นยังไง เค้าก็จะ scope down มาให้เรา แล้วเราก็จะเรียนเป็น case study ต่าง ๆ ไปด้วย

วิชาที่ชอบ

Pat: Entrepreneurship in Family Business เพราะอาจารย์มี passion ในการสอนมาก ๆ ค่ะ เค้ามีความรู้ดีแล้วก็เตรียมเนื้อหามาค่อนข้างดี ตอนเปิดเทอมเค้าให้เด็กเขียนว่าอยากเรียน business ไปในด้านไหน มีธุรกิจประเภทไหนที่อยากเรียน และอาจารย์ก็จะพยายามหา case study ที่มันเกี่ยวข้องมาให้เรา

แล้วก็อีกวิชานึงที่ชอบคือวิชา Leadership in Context คืออาจารย์มีประสบการณ์ที่หลากหลายมากค่ะ อาจารย์น่าจะเคยอยู่มาในหลาย ๆ ประเทศแล้ว เค้าก็เลยสามารถอธิบายได้ว่า ถ้าเป็นบริบทในประเทศนี้ leadership จะเป็นประมาณนี้ ถ้าเราจะไปดีลงานธุรกิจระดับ global เราจะต้องเข้าไปทางไหน มีข้อห้ามตรงไหนบ้าง แล้วก็เป็น case study ทั้งฝั่ง เอเชีย ยุโรป คือเรียนหลาย ๆ ด้านค่ะ

บรรยากาศในห้องเรียนบ้าง เพื่อน ๆ เป็นยังไงบ้าง

Pat: หลาย ๆ คนช่วยกันเรียนมากเลยนะ คอยเตือนว่าทำงานนี้หรือยัง ทำงานโน้นหรือยัง บางทีคำถามที่เพื่อนถามอาจารย์ในห้องก็เป็นคำถามที่ดีมาก ๆ บางทีเราเรียนเรายังคิดว่าอาจารย์เค้าสอนอะไรไปนะ ยังประมวลผลไม่ทันเลย ในขณะที่เพื่อนคือมีคำถามแล้วอะไรแบบนี้ค่ะ มันก็แบบโอเค เพราะเราไม่ได้แข่งกันนะ เหมือนทุกคนก็ช่วย ๆ กันไปมากกว่า

แล้วในห้องจะมีเพื่อน ๆ มาจากอิตาลีด้วย คือที่ KCL มีคอร์สนึงที่ collab คู่กันกับ Luiss University ที่อิตาลี ก็จะเป็น double master’s degree เลย คือเรียนที่อิตาลี 1 ปี แล้วก็เรียนต่อ King’s College London อีก 1 ปี เด็กจากอิตาลีก็จะ critical thinking จัด ๆ เลย ฝั่งยุโรปก็จะถามคำถามที่ทำให้เราฉุกคิดว่า ทำไมตอนเราทำเคสเราไม่เคยคิดด้านนี้เลย ก็ได้มุมมองใหม่ ๆ เยอะเลยค่ะ

Assignment เป็นอย่างไรบ้าง?

Pat: โห ถ้าให้นับนิ้วคงไม่พอ (หัวเราะ) เยอะมากค่ะ มันก็มีทั้งงานเดี่ยว งานกลุ่ม พอทำ assignment เสร็จ บางวิชาก็พรีเซนต์ต่ออีก มี Q&A คือเอาให้ชัวร์เลยว่าสิ่งที่เราพรีเซนต์มาเราเข้าใจมันจริงหรือเปล่า แล้วบางที Q&A ก็ไม่ได้เปิดให้แค่อาจารย์ถาม แต่มีเปิดให้เพื่อนในห้องถามด้วย ซึ่งพอเปิดให้เพื่อน Q&A ได้และทุกคนทำเคสเดียวกันมา เค้าก็จะสามารถยิงคำถามที่มันหลากหลายมุมมองมากขึ้น

อย่างล่าสุดเลย เรามีทั้งหมด 12 กลุ่ม เค้าส่งงานของทั้ง 12 กลุ่มทางออนไลน์เลย พอถึงตอนพรีเซนต์ปุ๊บ อาจารย์ก็แค่โยน presentation เราขึ้นจอ แล้วเราก็ต้องเดินไปพรีเซนต์เลย ทั้ง ๆ ที่เราจะคิดว่าไม่เป็นเราที่โดนสุ่มหรอก (หัวเราะ)

กิจกรรมนอกห้องเรียน

Pat: ที่คอร์สมีไป field trip ด้วย คือเราก็จะเลือกได้นะคะว่าเราจะไปที่ไหน อย่างของรุ่นเรามีให้เลือก 2 ที่คือ จะไปที่โรม อิตาลี หรือจะไปที่เบอร์ลิน เยอรมนี ซึ่งถ้าเป็น business ของอิตาลีจะเป็นอารมณ์ small business แต่ถ้าเป็นเบอร์ลินจะเป็น start-up เราก็สามารถเลือกได้ว่าเราอยากดูธุรกิจด้านไหน อยากจะดู case study ของที่ไหน แล้วก็เลือกไปได้ค่ะ ไป 5 วัน ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมค่ะ รวมค่าตั๋วเครื่องบินกับที่พักแล้วด้วย แต่เราต้องทำวีซ่าเชงเกนเองนะ (หัวเราะ) ก็เหมือนได้เป็น enjoy กับคอร์สค่ะ

Dissertation หรือ Company Project

Pat: อาจารย์บอกว่าปีนี้เป็นปีแรกที่ทางมหาวิทยาลัยเค้าเปิดให้เลือกระหว่างจะทำ dissertation หรือว่าจะทำเป็น consulting project ซึ่งถ้าเป็น dissertation ข้อดีก็คือเราสามารถเลือกหัวข้อที่เราต้องการได้เลย มีหัวข้ออะไรที่เราสนใจเป็นพิเศษมั้ย ก็สามารถไปตรงนั้นได้

หรือเราจะเลือกเป็น consulting project ก็ได้ โปรเจกต์นี้คือก็จะทำเป็นกลุ่มค่ะ ซึ่งก็จะเปรียบเสมือนเตรียมตัวให้เราเป็น consultant มากกว่าว่ามันจะมีขั้นตอนอะไรบ้าง แล้วเราก็จะได้ดีลงานกับบริษัทจริง ๆ ซึ่งตอนนี้เราก็ได้เลือกบริษัทไปแล้ว ต่อไปเราก็จะต้องนัดไปคุยกับบริษัทเองโดยที่มีอาจารย์เป็น backup ให้เรา แล้วสามารถเลือกกลุ่มเพื่อนได้ ข้อดีคือเราได้เรียนรู้การทำงานในทีมไปในตัว ในเวลาที่มีจำกัด เราจะต้องแบ่งงานนะ เราจะต้องดีลงานอะไรยังไง คือถ้าทำ consulting project เวลาส่งงานเราจะต้องมี group presentation ให้กับทางบริษัท แล้วเราก็จะต้องมี report สำหรับเรื่องที่เราให้คำปรึกษาเค้า คำแนะนำที่เราแนะนำเค้าไปอีก 1 group report แล้วก็มีอีกอันนึงแยกเดี่ยวของเราเองด้วย เท่ากับว่าเราจะต้องมี 3 งานที่ต้องส่ง

สนใจเรียนต่อ King’s College London ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ฟรี คลิก

รีวิว King’s College London

facility ในมหาวิทยาลัยเป็นยังไงบ้าง student support ของมหาวิทยาลัยเป็นอย่างไร?

Pat: ถือว่า business school เค้า support ดีนะคะ ไม่ว่าจะเป็นตัว online database เองหรือว่าทุกอย่างมันก็แทบจะไปอยู่ออนไลน์หมดแล้ว เราก็สามารถดึงข้อมูลออนไลน์ได้ จะทำงานอะไรก็คือออนไลน์ ข้อดีคือถ้าเป็นคลาสเรียน lecture ถึงแม้เราไม่ได้เข้าเรียน เค้าก็จะมีอัดวิดีโอให้ทุกครั้ง หรือว่าเราเข้าแล้วเราไม่เข้าใจในบางจุด เราก็สามารถกลับไปย้อนดูได้อีกรอบ

ส่วนพวก study room ที่นี่ถ้าห้องไหนว่าง เค้าให้เป็น study room หมดเลย ถ้าห้องนั้นไม่มีคนเรียนอยู่ เราสามารถเข้าไปใช้ห้องเรียนได้เลย แต่ว่าข้อเสียของที่นี่คือเดินไปห้องสมุดไกลมาก ด้วยความที่แคมปัสอยู่ในเมือง ห้องสมุดก็จะอยู่อีกตึกนึงแยกกันไป เพราะฉะนั้นคือถ้าเจอห้องไหนว่าง ก็คือเข้าไปใช้ได้เลย

ส่วน Support อื่น ๆ เช่น Mental support ก็มี แต่ไม่เคยปรึกษาค่ะ เค้าก็จะคอยเช็ก mental health, well-being อะไรตลอด จริง ๆ อาจารย์หรือ course director ก็คือเข้าถึงง่ายมาก ๆ ถ้ามีปัญหาอะไรก็แค่อีเมลไปเค้าก็ตอบค่อนข้างเร็วค่ะ

รีวิวการใช้ชีวิตใน London

Pat: สนุกสนานดีค่ะ ก็ถือว่าสิ่งอำนวยความสะดวกครบดีนะ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้อยู่ student accommodation ที่มี facility พร้อมแบบจัดเต็ม แต่เราอยู่เป็น private apartment ก็ถือว่าค่อนข้างดี ก็ค่อนข้างตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์ค่ะ

คือลอนดอนมีกิจกรรมให้ทำเยอะ ในวันที่อากาศดี ส่วนใหญ่คนจะชอบออกมาเดินเล่นกัน ก็จะมีพวก Sunday market มีปิดถนนเดินเล่น Portobello ฝั่ง Notting hill อะไรแบบนี้ก็เยอะ ถ้าอยู่ลอนดอนข้อดีก็คือถ้าจะไปเที่ยวต่างประเทศก็สะดวก เพราะว่านั่งรถไฟไปสนามบินก็ง่าย

หรือว่าจริง ๆ ก็นั่งรถไฟไปฝรั่งเศสก็ใกล้มากค่ะ ประมาณ 2 ชั่วโมง ไปเบลเยียมก็ง่าย มันจะมีรถไฟ direct ไปเบลเยียม ไปฝรั่งเศส เที่ยวได้หมดเลย ถ้าได้วีซ่านักเรียนของที่อังกฤษเร็ว ก็แนะนำให้ทำวีซ่าเชงเกน (Schengen visa) มาเลย เพราะคิวเชงเกนที่นี่เดือดมาก ๆ คือคิวเชงเกนปีนี้คือเปิดวันเดียวเต็มไรงี้ อย่างของเราคือทำมาตั้งแต่ที่ไทยก็ถือว่าสะดวก ไม่มีปัญหาอะไร เที่ยวได้เลย แต่เอาวีซ่าอังกฤษให้พร้อมก่อนนะ แล้วค่อยไปทำวีซ่าเชงเกน (หัวเราะ)

อย่างแพทขอวีซ่า Schengen มาจากที่เมืองไทยได้วีซ่ามาปีนึง ก็ใช้ชีวิตง่ายขึ้น เพราะถ้ามาขอวีซ่า Schengen ที่อังกฤษจะได้สูงสุดแค่ 6 เดือน ก็ต้องคอยไปต่อวีซ่า

มีอะไรอยากฝากถึงน้อง ๆ ที่อยากไปเรียนต่อมั้ยคะ

Pat: ถ้าพร้อมแล้วก็รีบตัดสินใจก็ดี เพราะถ้ายิ่งยื่นเรื่องเร็วเท่าไหร่ เราก็จะมีโอกาสที่จะได้เข้าเรียนมากกว่าคนอื่น อีกอย่างถ้าเราสมัครช้าเราอาจจะเสียประโยชน์บางอย่างไปถ้าทางมหาวิทยาลัยตอบรับช้า เช่น ของเพื่อนบอกว่าตอบรับช้าจะไม่มีสิทธิ์ได้ยื่นสมัครขอรับทุนด้วยซ้ำ แต่อย่างของเราทางมหาวิทยาลัยตอบรับเร็ว เราก็มีโอกาสสมัครทุนได้

รีวิวการขอทุนกับ King’s Business School

Pat: ที่ Business School มีเปิดรับให้เขียนขอทุนได้ อารมณ์แบบว่าเขียน essay ว่าทำอะไรมาบ้าง ก็จะมีเซ็ตคำถามที่ต่างกันไป เหมือนเขียนเรียงความแข่งแล้วได้ทุนค่ะ แต่เด็ก Business School เด็กไทยได้ทุนหลายคนอยู่นะคะ

 

สนใจเรียนต่อ King’s College London ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ตัวแทนมหาวิทยาลัยอย่างเป็นทางการประจำประเทศไทยฟรี เพียงกรอกแบบฟอร์มด้านล่าง

Enquiry Form

Please provide the following information and we will aim to respond within 48 hours:

Your details
Please enter your first name.
Please enter your last name.
Please enter a valid email address.
Please enter your phone number.
Please select a country you want to study.
Please select a year you want to study.
Please select your preferred branch.

* All fields required (in English)

  • Share this: