แนะนำตัวให้เรารู้จักหน่อยค่ะ
Belle: ชื่อเบลล์ค่ะ เรียน MSc Marketing ที่ The University of Manchester ค่ะ
รีวิว MSc Marketing ที่ The University of Manchester
ทำไมถึงเลือกเรียนต่อคอร์สนี้คะ
Belle: จริง ๆ เบลล์เรียนจบสถิติมาตอนป. ตรีค่ะ แล้วก็เริ่มรู้ตัวเองแล้วว่าไม่ชอบเรียนสถิติขนาดนั้น ก็เลยพยายามเริ่มทำกิจกรรมในฝั่งของ Marketing เยอะแยะเลย เรียนจบก็ได้ทำงานในสาย Marketing มาตลอด พอทำงานไปสักประมาณ 3 ปีก็รู้สึกว่าอยากมา Specialize ทางนี้โดยตรง แล้วก็อยากมาเก็บประสบการณ์ความรู้ ช่วง Gap Year ระหว่างทำงานด้วยค่ะ ก็เลยตัดสินใจที่จะมาเรียนต่อทางด้าน Marketing
เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ ว่าทำไมเราถึงเลือกเรียนคอร์ส Marketing โดยเฉพาะ ทั้งที่มีคอร์ส Marketing เฉพาะทางมากมาย ทั้ง Marketing Management, Digital Marketing เป็นต้น
Belle: เบลล์มีประสบการณ์ทำงานด้าน Digital Marketing มาก่อน แล้วก็รู้สึกว่า Digital เนี่ยค่อนข้าง Specific นิดหนึ่ง พอมีโอกาสมาเรียนต่อก็เลยอยากเห็นภาพ Marketing ที่กว้างขึ้น ไม่อยากเข้าใจแค่ด้าน Online แล้ว แต่อยากเห็น Offline ที่เป็นแบบ Omnichannel ด้วย
แล้วทำไมถึงเลือกมหาวิทยาลัย The University of Manchester คะ
Belle: ถ้าถามว่าทำไมอยากมาเรียนมหาวิทยาลัยนี้ เพราะว่าจริง ๆ ตอนแรกดูจาก Ranking ก่อน และตัดสินใจแล้วว่าจะไม่อยู่ London แน่ ๆ รู้สึกว่าเมืองมันใหญ่ไป แล้วก็ค่าครองชีพแพง เลยมาลงตัวว่าเราอยากได้เป็นเมืองใหญ่ที่เราอยู่ง่าย ไม่อยากได้เมืองที่มีแค่ต้นไม้กับเป็ดอะไรแบบนี้ค่ะ (หัวเราะ) แล้ว Ranking ดีด้วย เลยเป็น Manchester พอดีค่ะ
🇬🇧 Top 10 มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดใน UK จาก Times Higher Education ประจำปี 2024
🌎 Top 35 มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก จาก QS World University Ranking ประจำปี 2025
*สนใจ เรียนต่อ The University of Manchester ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ฟรีทุกขั้นตอน คลิก
รีวิวเนื้อหา MSc Marketing
Belle: เรียน Marketing ก็จะแบ่งเป็น 3 เทอม เทอมแรกจะเป็นวิชาบังคับเลย 4 ตัว ก็จะเป็นเหมือนการปูพื้นฐานของ Marketing ทั้งหมด คือคนที่มีพื้นฐานหรือไม่มีพื้นฐานมาก่อนก็สามารถเรียนได้ โดยที่เวลาเรียนก็จะแบ่งเป็น Lecture กับ Seminar ซึ่ง Lecture คือเหมือนนั่งฟังอาจารย์พูดไปประมาณ 2 ชั่วโมง ส่วน Seminar ก็คือการนำเนื้อหา Theory ที่เราเรียนมา Discuss กับเพื่อน แบบ based on Case Study ที่ได้ในแต่ละวัน ประมาณนั้นค่ะ
ส่วนเทอม 2 เราจะเลือกวิชาเองหมดเลย มี 4 ตัวเหมือนกัน โดยเราจะเลือกวิชาในคณะ Marketing หรือจะไปเลือกคณะอื่นก็ได้ แล้วก็เทอมสุดท้ายจะเป็นให้เลือก Dissertation หรือ Group Project ก็คือถ้า Group Project ก็จะมี Company ที่มาเป็น Partner กับเรา อย่างปีนี้ก็คือ P&G ซึ่งถือว่าเป็น Big Company มาก ๆ เลยค่ะ เป็น Company ที่ทุกคนอยากทำงานด้วย ทุกคนก็เลยเลือก Group Project ค่ะ
เล่าเรื่องเนื้อหาที่เรียนให้ฟังหน่อยว่าเป็นยังไงบ้าง เช่น ปูพื้นฐาน Marketing อะไรบ้าง
Belle: โห! อันนี้จริง ๆ คือรู้สึกว่าปูให้ตั้งแต่พื้นเลย อย่าง Marketing คืออะไร ปกติอย่าง Offline เขา ทำ Marketing เขา based on อะไรบ้าง เช่น Customer Centric รวมถึงอัปเดต Online Digital อย่างพวกการยิง Ad Online ที่เป็นเทรนด์ในช่วงนี้ค่ะ การทำ social media ยังไงให้ดึงดูดลูกค้าได้มากขึ้น คือมีทั้ง Traditional แล้วก็มีที่เป็น Trending ด้วยค่ะ
แล้วเนื้อหาในห้องเรียนช่วยต่อยอดความรู้เรามั้ย จากที่เราเคยมีประสบการณ์ทำงานมาก่อน
Belle: จริง ๆ รู้สึกว่ายิ่งทำงานมาแล้วและมาเรียนต่อ จะเข้าใจทุกอย่างได้ง่ายขึ้น เพราะเหมือนเราเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่เรียนในห้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อทำงานในชีวิตจริงเป็นยังไง พอเรามาเรียนแล้วจะ make sense มากขึ้น แล้วก็เข้าใจ Logic ในแต่ละเรื่องว่ามีเหตุและผลรับรองยังไงบ้าง จริง ๆ ตอนทำงานเราเน้นแค่ Practical อย่างเดียว แต่เราไม่ได้มีพื้นฐานมาก่อนเลย แบบเน้นทำให้งานเสร็จ แต่ไม่ได้เน้นว่าการทำให้งานออกมาดีคืออะไร ประมาณนั้นค่ะ (หัวเราะ)
แล้วเทอม 2 เราเลือกวิชาเรียนอะไรบ้าง ใน Marketing หรือเลือกวิชาเลือกคณะอื่น
Belle: อย่างของหนู เทอม 2 วิชาที่เลือกมันจะ Link กับ Specialize ตอนเรียนจบ เวลาเราได้ใบจบมา สมมติว่าเราอยากได้ Specialize ในด้าน Marketing เทอม 2 เราก็ต้องเลือก Marketing ทั้งหมด อย่างเช่น ของหนูเลือกเรียน International Marketing, IMC (Integrated Marketing Communication) และ Services Marketing เป็นต้นค่ะ
ส่วนตัวหนูชอบ Services Marketing มาก วิชานี้คือเรียนเรื่อง การ Services ลูกค้า แล้วหนูทำงาน Part-Time ที่นี่ด้วย เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราเรียนในวิชา Services สามารถนำไปใช้กับการทำงาน Part-Time ได้เลย แล้วเหมือนมันก็ Link กันไป Link กันมา พออาจารย์ถามแล้วเราก็นำตรงนั้นมาใช้ได้เลย มันสนุกที่ได้ทำทั้ง Theory แล้วก็ Practical ไปด้วยค่ะ
ส่วน Integrated Marketing Communication อันนี้จะเรียนเกี่ยวกับการทำ Content ยังไงให้ Consistency ในทุก ๆ Channel ทั้ง Online, Offline, social media, Blog แล้วก็ International Marketing อันนี้อาจารย์ดีมาก ชอบมาก เขาก็จะสอนว่าการที่บริษัทหนึ่งจะไป Expand ในต่างประเทศได้ มีอะไรที่ต้อง Consider บ้าง ประมาณนั้นค่ะ
เล่าบรรยากาศการเรียนในห้องเรียน และเพื่อน ๆ หน่อยค่ะ คอร์สนี้คนเรียนเยอะมั้ยคะ
Belle: คอร์สนี้คนเรียนประมาณ 120 กว่าคนค่ะ คนไทยมีไม่เยอะมาก แค่ประมาณ 5-6 คน แล้วก็มีโอกาสได้รู้จักเพื่อนต่างชาติเยอะค่ะ เทอมแรก ๆ เขาจะสุ่มจับกลุ่มให้ เพราะฉะนั้นเราก็เลยจะได้รู้จักเพื่อนต่างชาติค่อนข้างเยอะ แล้วบรรยากาศในห้องเรียนคือทุกคนจะ Active มาก ๆ เลย พยายามตอบคำถามเวลาอาจารย์ถาม Participation แน่นมาก ๆ เพื่อนก็น่ารัก Competitive สุด ๆ เลยค่ะ (หัวเราะ) เพราะทุกคน Active มาก ก็เลยกลายเป็นว่าเราก็ต้องพยายามเนอะ แล้วบางทีอย่างเทอม 1 อาจารย์ก็จะ Force ให้ทุกคนตอบเลย ถ้าใครไม่ตอบเขาเรียกชื่อ ก็เลยกลายเป็นว่างั้นเราต้องตอบเองก่อนที่เขาจะเรียกชื่อเราค่ะ ตอบก่อนที่เขาจะถามในคำถามที่เราไม่รู้ (หัวเราะ) มันก็เหมือนการฝึกให้เรา Participate ในคลาสมากขึ้นประมาณหนึ่งค่ะ
จริง ๆ อาจารย์ใจดีมากและน่ารักทุกคน ขอพูดถึงอาจารย์กับมหาวิทยาลัยด้วยกันเลยแล้วกัน คือหนึ่งสิ่งที่ประทับใจมากกับการมาเรียนที่ The University of Manchester คือรู้สึกว่า Top university เขามีระบบในการดูแลนักเรียนและคอร์สเรียนที่ดีมาก ๆ ทุกปีจะมีการเก็บ Feedback จากนักเรียนไป เช่น การเรียนการสอนเป็นยังไงบ้าง การสอบหรือ Assignment แล้วก็นำไปปรับปรุงทุกปี อย่างหนูมีเพื่อนที่มาเรียน Marketing ปีที่แล้ว หนูก็ถามเขาว่าเป็นยังไงบ้าง พอมาเปรียบเทียบกับปีที่เราเรียนแล้ว ทุกอย่างมันดีขึ้นหมดเลย รู้สึกว่าที่เขาเป็น Top University ได้เพราะเขานำ Feedback ไปปรับปรุงจริง ๆ ในทุก ๆ อย่างเลย อย่างข้อสอบปีที่แล้วเป็น Close Book Exam ปีนี้ก็เปลี่ยนเป็น Open book ซึ่งจริง ๆ Close Book มันไม่ Practical เลยเพราะต้องจำ แต่ปีนี้พอเปลี่ยนเป็น Open Book หมดก็รู้สึกว่า Practical มากขึ้นค่ะ
แล้วเรื่องการทำ Assignment เป็นยังไงบ้างคะ?
Belle: จริง ๆ มีหลายหลายแบบเลยค่ะ ส่วนใหญ่จะเป็นงานกลุ่มแล้วก็ Individual Reflection เหมือนเขาอยากให้เราทำเป็นงานกลุ่ม เพราะจะได้ช่วยกัน Brainstorm Idea แล้วก็ Initiate Project ขึ้นมา อย่างเทอมแรกเขาจะจับกลุ่มให้หมดเลย ก็จะแล้วแต่ดวงว่าเจอคนดีหรือคนไม่ดี แต่อย่างของเราก็เจอคนที่ไม่ได้แย่มาก รู้สึกว่าโอเค พอเทอม 2 ก็จะเริ่มจับกลุ่มเองได้แล้ว โดย Presentation ส่วนใหญ่อาจารย์ก็จะห้ามดู Script คือเขาค่อนข้างอยากให้เราทำงานแบบ Professional เลย ประมาณนั้นค่ะ และหลังทำ Project จบ ส่วนใหญ่ Marketing ก็จะมี Self Reflection ต่อ คือเขียนเหมือนเป็น Passage โดย Reflect ว่าเรา Contribute อะไรในกลุ่มบ้าง และถ้าเราจะต้อง Initiative ต่อจากสิ่งนี้ เราจะต้องทำยังไงต่อบ้าง เหมือนได้ Reflect คิดทบทวนถึงสิ่งที่ตัวเองทำไปด้วยค่ะ
*สนใจ เรียนต่อ The University of Manchester ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ฟรีทุกขั้นตอน คลิก
รีวิว The University of Manchester
Belle: รู้สึกว่า The University of Manchester เป็นมหาวิทยาลัยที่ใหญ่ Facility ดี เพราะว่าอย่างตึก Business School ที่เรียน ก็เป็นตึกใหม่ที่เพิ่งสร้างขึ้นมา เพราะฉะนั้น Facility ก็เลยค่อนข้างใหม่ ค่อนข้างมีครบทุกอย่าง แล้วห้องสมุดก็เงียบใช้นั่งทำงานได้ แถมยังสวยด้วย ใช้ทำ Content ได้ด้วย แล้วยังมีห้องสมุด Alan Guebert อยู่ใกล้ ๆ แถวนี้ ซึ่งเป็นห้องสมุดที่เปิด 24 ชั่วโมง ถ้าวันไหนอยากปั่นงานทั้งคืน ก็ไม่ต้องไปนั่งคาเฟ่ นั่งทำตรงนั้นได้เลย
แล้วที่พักดี หนูได้พักที่พักของมหาวิทยาลัยซึ่งอยู่ใกล้ที่นี่มาก เป็นตึกใหม่ที่เพิ่งสร้าง คือเดิน 3 นาทีก็ถึง อย่างเรียน 9 โมงหนูตื่น 8 โมงครึ่งก็มาทัน แล้วหอก็ใหม่เลยรู้สึกว่า Facility ค่อนข้างดีค่ะ
ได้ใช้บริการ Service อื่น ๆ อย่าง Career Support หรือเข้าร่วมกิจกรรม Student Union บ้างมั้ยคะ
Belle: หนูไม่ค่อยได้เข้าชมรมขนาดนั้น เพราะแค่เรียนก็มี Assignment เยอะแล้ว แต่ว่าก็มี Career Service ที่ให้ Consult เกี่ยวกับการทำ Resume สมัครงาน กับการสัมภาษณ์ที่เคยได้ใช้ ประมาณนั้นค่ะ ตอน Review Resume หนึ่งครั้ง แต่ว่ายังไม่ได้ใช้ตอนสอบสัมภาษณ์หรือว่าสมัครงาน แต่เขาก็จะมีจัด Booth Camp หรือ Event เรื่อย ๆ ค่ะ แบบนำ Company ข้างนอกมาเพื่ออธิบายว่ามี Area สายไหนบ้างให้นักเรียนสมัครงาน เราก็ไป Join ได้ค่ะ
แล้วเพื่อน ๆ นักเรียนไทยที่มหาวิทยาลัยเป็นยังไงบ้าง อย่างที่ Thai Society
Belle: คือเรามาเรียนคนเดียวจริง ๆ มาไม่มีเพื่อนคนไทยเลย แล้วก็มารู้จักเพื่อนคนไทยที่นี่ อาจจะด้วยเป็นคน Generation เดียวกันก็ได้มั้ง มาปีนี้เหมือนว่าทุกคนอายุใกล้ ๆ กัน Activity ที่ทำก็คล้ายกัน เช่น ไปปาร์ตี้ (หัวเราะ) กินข้าว ปาร์ตี้ฉ่ำ พอถึงคืนวันศุกร์ก็รู้กันเลยว่าต้องมีแน่ ๆ มีแบบไป Event พอ Event เสร็จก็กลับมาปาร์ตี้ที่หอต่อ ใช้ชีวิตคุ้มค่ะ (ยิ้ม)
รีวิวเมือง Manchester
ใช้ชีวิตที่เมือง Manchester เป็นยังไงบ้าง ตรงกับที่เราคิดไว้มั้ย
Belle: ตอนแรกอาจจะไม่ได้มีภาพขนาดนั้นว่า Manchester เป็นยังไง แต่ทุกคนพูดมาว่าอันตรายเป็นเรื่องแรก พอมาถึงก็เลยระวังตัวมาก ๆ แต่พอได้มาอยู่จริง ๆ ก็ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น คืออย่างเราทำงาน Part Time ด้วย กลับบ้าน 4-5 ทุ่มทุกวัน ก็ไม่ได้รู้สึกว่าน่ากลัวขนาดนั้น หรือปาร์ตี้กลับตี 4 เดินกลับคนเดียวก็ทำได้ (หัวเราะ) จริง ๆ รู้สึกว่าความอันตรายอาจจะอยู่ที่การระวังตัวของแต่ละคนมากกว่า อย่างถ้าเราไม่ได้เอาโทรศัพท์ออกมาถือเล่นก็ไม่ได้อันตรายขนาดนั้น เก็บไว้ดี ๆ หรือใส่ไว้ในแจ็กเก็ตก็ถือเป็นวิธีระวังตัว แล้วก็เป็นเมืองที่อยู่ง่ายตรงที่ไปอยากไปที่ไหนก็ไม่ต้อง Take a Bus เราเดินได้เลย อาหารก็โอเค หมายถึงว่าร้านอาหารเยอะ แต่อาจจะไม่ได้มีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะขนาดนั้นถ้าเทียบกับ London แต่ถ้าใช้ชีวิตประจำวันรู้สึกว่าอยู่ง่ายแล้วก็เป็นเมืองที่ไม่เหงา แล้วก็เป็นเมืองใหญ่รองจาก London ก็เลยมี Airport ที่เชื่อมจากที่อื่นได้ด้วย ไปต่างประเทศก็มี Manchester Direct ไปเลย
เราได้ไปเที่ยวที่ไหนมาบ้าง ที่เป็นเมื่องอื่นนอกจากใน Manchester
Belle: 2 ชั่วโมงอาจจะไม่พอนะคะ (หัวเราะ) จริง ๆ ก็ไปเที่ยว London แล้วก็ Edinburgh เป็นเมืองใหญ่ ๆ ในอังกฤษ แล้วก็พวก One Day Trip จาก Manchester แบบ Liverpool, York, Sheffield อะไรแบบนี้ One Day Trip ง่าย แล้วออกต่างประเทศก็ง่ายนี่ก็เพิ่งไปกันมา อย่างไปฝรั่งเศสหรือสเปนจาก Manchester ค่าตั๋วก็ถูกค่ะ
แล้วในอังกฤษที่ไปมา ชอบเมืองไหนที่สุด
Belle: ยากจังคำถามนี้ จริง ๆ ถ้าของหนูที่ไปมาแล้วชอบจะเป็นเมืองเล็ก ๆ ชื่อ Knaresborough ไม่แน่ใจว่าเคยได้ยินมั้ย มันอยู่ใกล้ ๆ ระหว่าง York กับ Leeds เป็นเมืองแรก ๆ ที่ไปตั้งแต่ตอนมาเรียนช่วง Pre-Sessional แล้วเป็น Summer พอดีเลยรู้สึกว่าแบบเป็นเมืองที่สวยมาก Unseen ไม่คิดว่าจะเจอสิ่งนี้ที่นี่ เลยรู้สึกว่าเป็นเมืองที่ชอบค่ะ
รีวิวงาน Part-Time นิดหนึ่ง เป็นยังไงบ้างคะ
Belle: โอ๊ย! ฉ่ำ (หัวเราะ) คือทำงานอยู่ร้านอาหารไทยค่ะ แล้วก็ทำงานเยอะมาก ๆ ทำ 4 วันต่อสัปดาห์เลยค่ะ (หัวเราะ) แต่ว่าสนุกมาก พอมาทำงานที่นี่รู้สึกตัวเองชอบทำงาน Service มาก เป็นคนชอบคุยกับลูกค้า เลยทำให้รู้สึกว่าการทำงานมันเหนื่อยก็จริงแต่มันสนุก มันเป็นงานที่ไม่ได้ต้องใช้สมองขนาดนั้น แล้วเราเป็นคนที่ชอบพูดคุยอยู่แล้วเลยรู้สึกว่าแบบสนุกด้วยแล้วก็เหมือนได้ค้นหาตัวเอง กลับไปก็อยากทำงานใน Career สาย Service เหมือนกัน ประมาณนั้นค่ะ แล้วเงินค่าตอบแทนก็ดีด้วยค่ะ
ส่วน Tips ของที่นี่จะมาจาก Service Charge ซึ่งปกติร้านอาหารไทยบางร้านจะไม่มี Service Charge แต่ร้านนี้มี Service Charge 10% แล้วส่วนใหญ่ฝรั่งเขาจ่ายทุกโต๊ะค่ะ คือบวกขึ้นไป 30% – 40% จากค่าแรงขั้นต่ำต่อชั่วโมง ประมาณนั้นค่ะ
*สนใจ เรียนต่อ The University of Manchester ปรึกษาพี่ ๆ Hands On ฟรีทุกขั้นตอน คลิก
การเตรียมตัวเรียนต่อ
แล้วเราใช้เวลาเตรียมตัว และใช้เวลาในการตัดสินใจนานมั้ยคะ
Belle: จริง ๆ ตอนนั้นใช้เวลาน้อยมาก เพราะมีเพื่อนบอกว่าจะไปเรียนต่อ เราก็เลยได้คิดขึ้นมาพอดีว่า เอ๊ะ! ถึงเวลาที่เราจะต้องเรียนนต่อแล้วมั้ย ก็เลยเริ่มหาข้อมูลแล้วเพื่อนก็แนะนำพี่ Hands On มาค่ะ ส่วนตัวเคยติดต่อ Agency หลายที่ด้วยตัวเองมาก่อน แต่เจอแต่ละที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เลยรู้สึกว่าหรือจะไม่เรียนดี แต่พอดีเพื่อนแนะนำ Hands On เลยลองแกล้ง ๆ ไปคุยก่อน (ยิ้ม) ตอนแรกยังไม่คิดว่าจะเรียนเลยทำแกล้ง ๆ อยากรู้ว่าเอกสารที่ต้องเตรียมคืออะไรบ้าง เพราะว่าตอนนั้นยังไม่มีแม้กระทั่งผลสอบ IELTS แล้วภาษาอังกฤษก็คือไม่ได้เลย พอติดต่อไป พี่เขาก็ลิสต์มาให้เลยว่าเอกสารที่ต้องเตรียมมีอะไรบ้าง ก็เลยเริ่มหาข้อมูล เลือกมหาวิทยาลัย แล้วก็คุยกับที่บ้าน เริ่มเตรียมตัวตั้งแต่ตอนนั้นมา ตอนนั้นจำได้ว่า Timeline มัน Tense มาก ด้วยความที่เรายังไม่มีคะแนน IELTS เลย แล้วเราต้องเตรียม SoP (Statement of Purpose) ให้ทัน ซึ่งเขาจะมีรอบยื่นส่งเอกสารของมหาวิทยาลัยมาให้ ถ้าเราส่ง Late กว่านั้น ก็คือจะต้องรอปีถัดไป ทำให้การหาที่พักจะหายากขึ้นด้วย เพราะตอนนั้นเวลาค่อนข้างกระชั้นชิดมากค่ะ
การบริการจากพี่ Hands On
Belle : ของหนูเจอพี่ดีมาก อันนี้เรื่องจริง พี่ Hands On เขาลิสต์มาให้หมดเลยว่าหนูต้องเตรียมอะไรบ้าง เขา Follow up ทุก Step เลย แล้วก็วาง Timeline มาให้เลย อย่างเรื่องมหาวิทยาลัยก็บอกเขาไปว่าอยากได้มหาวิทยาลัยที่มี Ranking ดี พี่เขาก็ลิสต์มาให้ เราก็แค่มา Research ข้อมูลเพิ่มเองว่าชอบที่ไหนมากกว่ากัน เพราะว่ามันมีหลาย Factor ที่เราต้องคิด มีทั้งเมือง มีทั้งเรื่อง Ranking ด้วย แล้วบางทีเราไม่สามารถหาข้อมูลได้ว่าจริง ๆ แล้วเมืองนี้เป็นยังไงได้ขนาดนั้นจากอินเทอร์เน็ต เราก็เลยถามพี่ Hands On เขาก็จะให้ Contact นักเรียนที่เรียนที่นั่นมาให้เราคุย แล้วพี่เขาก็ตรวจ SoP ให้ด้วย ตามทุกอย่างให้หมดเลย อย่างช่วงที่มหาวิทยาลัยยังไม่ส่งจดหมายตอบรับมาให้ พี่เขาก็ตามให้หมดเลยค่ะ รู้สึกว่าพี่เขาน่ารัก ใส่ใจดีมาก (ยิ้ม) แล้วก็ได้เข้าร่วมงาน Pre-departure ที่ออฟฟิศของพี่ Hands On ด้วยค่ะ พี่เขาก็จะบอกว่าต้องมีเอกสารอะไรที่เตรียมบ้าง ชีวิตในเมืองเป็นยังไง และการเตรียมตัวก่อนเดินทาง คืองานนี้ทำให้เราเห็นภาพมากขึ้นเพราะว่าตอนนั้นหนูมาเรียนคนเดียว ไม่มีเพื่อนมาเลย ก็เลยไม่รู้อะไรในเมืองขนาดนั้น แต่การเข้า Pre-departure ทำให้เราได้รู้ว่า ถ้าป่วยต้องทำยังไง มีเอกสารอะไรบ้างที่ต้องเตรียม ก็ช่วยให้เห็นภาพมากขึ้นค่ะ
อยากฝากอะไรถึงน้อง ๆ ที่เขาวางแผนเตรียมตัวเรียนต่ออังกฤษบ้างคะ
Belle: อย่างของหนูก่อนมาเรียนรู้สึกว่าได้ Feedback จากคนที่มาเรียนก่อนหน้านี้เยอะมาก แล้วทุกคนก็จะพูดว่ามาเรียนต่อแล้วไม่ Joy ขนาดนั้น หรือทุกคนว่าดูไม่ Happy มาก ๆ เลย เมืองก็อันตราย สกปรก ไม่น่าอยู่เลย อะไรแบบนี้ แต่พอเรามาเรียนแล้วเรารู้สึกว่าทำไมเรา Happy จัง ก็เลยรู้สึกว่าทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับคน ฟังได้แต่ว่าสุดท้ายแล้วก็อยู่ที่เรา ก็เลือกเมืองที่เหมาะกับตัวเอง เลือกมหาวิทยาลัยให้เหมาะ คณะก็เลือกคณะที่อยากเรียนจริง ๆ อย่าเลือกคณะที่คิดว่าควรเรียน เพราะมีเพื่อนหลายคนที่เลือกคณะที่คนว่าดีควรเรียน แต่พอมาเรียนจริง ๆ แล้ว Suffer มาก ๆ แต่ขณะเดียวกันถ้าเราเลือกคณะที่เราชอบมันจะ Enjoy มาก ๆ แล้วก็ลองหาข้อมูลเองด้วย มี Agency ช่วยก็จริง แต่ว่าสุดท้ายแล้วต้องเป็นเรานี่แหละที่หาข้อมูลเอง (ยิ้ม)