สวัสดีค่ะ เพื่อนๆ เผลอแป๊ปเดียวปุ๋มก็มาอยู่ที่ Leeds ได้เกือบสองเดือนแล้วค่ะ ตอนนี้เข้าสู่ช่วงเปิดเทอมจริงกันแล้ว เลยอยากจะมาสรุปคอร์สเรียน Pre-sessional ที่เพิ่งเรียนไปให้ฟังว่า ตลอด 6 สัปดาห์ของคอร์สนี้นั้น เราได้อะไรมาบ้าง
คอร์สเรียน Pre-sessional ที่ว่านี้ึิคือคอร์สเรียนภาษาอังกฤษค่ะ สำหรับเรานั้น แม้ตอนยื่นคะแนนสมัครเข้ามหาวิทยาลัยมา จะมีคะแนนสอบ IELTS ที่ผ่านเกณฑ์แล้ว แต่พี่ที่ปรึกษาของทาง Hands On ก็แนะนำมาว่า หากไม่ได้เรียนหลักสูตรอินเตอร์มาก่อน หรือยังไม่มั่นใจในพื้นฐานภาษาของตนเอง ก็ควรลงเรียนคอร์ส Pre-sessional เผื่อไปด้วย เพราะนอกจาก จะช่วยพัฒนาภาษาอังกฤษแล้ว จะได้มีเวลาปรับตัวให้เข้ากับเมืองและระบบการศึกษาของมหาวิทยาลัย ซึ่งพ่อแม่เราก็เห็นด้วย สุดท้ายจึงตัดสินใจมาเรียนคอร์สนี้ค่ะ
คอร์ส Pre-sessional ของ University of Leeds นั้น หลักสูตรแบ่งออกเป็น 10 สัปดาห์ และ 6 สัปดาห์ ซึ่งเราก็เลือกเรียนที่ 6 สัปดาห์ไปค่ะ (เพื่อนที่ลงคอร์ส 10 สัปดาห์เล่าให้ฟังว่า 4 สัปดาห์นั้นจะเน้นเรียนพื้นฐานภาษาทั่วไป อย่างแกรมม่า และการเขียน ส่วนสัปดาห์ที่เหลือก็จะเข้มข้น และเจาะลึกเข้าสู่สายการเรียนตัวเองมากขึ้น ซึ่งจะเป็นการมาเรียนรวมกับพวก 6 สัปดาห์อย่างเราค่ะ)
โดยที่นี่นั้นนักเรียนจะถูกแบ่งห้องออกไปตามสายการเรียนปริญญาโทของตัวเอง เพื่อให้เนื้อหาที่เรียนจำเพาะขึ้น เช่น Language for Bussiness สำหรับนักเรียนสายธุรกิจ Language for Engineering สำหรับเด็กวิศวะ ส่วนเราที่ลงเรียนปริญญาโทสาขา Food Science and Nutrition ก็ถูกจับมาอยู่ในคอร์ส Language for Science ค่ะ
สำหรับเด็กคอร์สภาษาสำหรับสายวิทยาศาสตร์ปีนี้ มีนักเรียนในคอร์สรวมกันเกือบร้อยคน ทางสถาบันภาษาก็จะแบ่งนักเรียนเป็นกรุ๊ปย่อยๆ ประมาณ 16-17 คนเพื่อให้ง่ายต่อการสอน และด้วยความที่เป็นคอร์สเรียนภาษา นักเรียนส่วนใหญ่ก็เป็นเด็กเอเชียแบบเรานี่ล่ะค่ะ เกิน 70% เป็นคนจีน แต่ก็พอมีชาติยุโรปปะปนมาบ้าง อย่างสเปน และฝรั่งเศส ส่วนห้องเรามี 17 คน เป็นจีนไปซะ 16 มีเราหลุดเป็นคนไทย เข้าไปคนเดียวเอง
อยู่ที่นี่เราเรียนจันทร์ถึงศุกร์เลยค่ะ การเรียนส่วนใหญ่จะแยกไปเรียนตามกรุ๊ปของตัวเอง คาบละ 2-3 ชั่วโมงเช้าถึงบ่าย บางวันก็จะมีคลาสเรียนรวมเกือบร้อยคนในห้องเลคเชอร์ใหญ่ และในบางครั้งก็จะมี Tutorial ที่ต้องเข้าพบอาจารย์ตัวต่อตัวด้วย
สำหรับ Language for Science นั้น เนื้อหาที่เรียนส่วนใหญ่ก็จะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ต้องใช้ใน การเรียนปริญญาโทสายวิทยาศาสตร์ค่ะ อย่างหลักการเขียน Essay การอ่านงานวิจัย การจดบันทึก (Reading Record) หลักการเขียนอ้างอิง และการทำ Presentation
การเรียนในห้องส่วนใหญ่จะเน้นการอภิปรายและแสดงความเห็น อาจารย์จะโยนก้อนคำถาม มาให้พวกเรา Discuss ก่อนหาข้อสรุปร่วมกัน ทุกคนต้องผลัดกันพูดเยอะทีเดียว ซึ่งก็ดีมากเลยเพราะ ทำให้เรากล้าที่จะใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารกันมากขึ้น ตัวอย่างก็เช่น ห้องเราเป็นเด็ก Food ทั้งหมด ก็จะมีคลาสที่ได้มานั่ง Discuss กัน ว่าขอบข่ายสายอาชีพของพวกเรามันเกี่ยวกับอะไร แล้วช่วยกันสร้าง Mind Mapping ออกมา
โดยตลอด 6 สัปดาห์ของการเรียนนั้นก็จะมีงานให้ทำตลอด ซึ่งแต่ละงานจะมีคะแนน และมีผลต่อการผ่าน/ไม่ผ่านคอร์สด้วย (ข้อนี้สำคัญมาก! สำหรับคนที่ได้ Conditional Offer) ตัวอย่างงานหินๆ ของคอร์สก็เช่น การเขียน Essay ค่ะ แค่เปิดเรียนมาวันแรก เราก็ได้รับโจทย์มาซะแล้ว ว่าต้องหางานวิจัยทางวิทยาศาสตร์มาหนึ่งชิ้น และเขียน Essay ยาว 900 คำเกี่ยวกับงานวิจัยชิ้นนี้ โดยมีเวลาให้ 2 อาทิตย์
โอ้โห!… ฟังอาจจะดูโหด แต่จริงๆ แล้วไม่ยากและเป็นงานที่มีประโยชน์มากๆ ค่ะ เพราะตลอด 2 อาทิตย์นั้น เราจะได้เรียนหลักการเขียน Essay อย่างเป็นลำดับขั้น ตั้งแต่การจัดโครงสร้างบทความ การเขียนเกริ่นนำ การกล่าวขึ้นต้นประโยค การสร้างความเชื่อมโยงระหว่างพารากราฟ เป็นต้น ซึ่งนี่ล่ะคะจะเป็นประโยชน์มากเมื่อเราต้องเขียน Essay จริงๆ ในปริญญาโท งานนี้มีทั้งต้องส่งแพลน การเขียน ส่งดราฟแรก เขียนรีไรท์ใหม่ เรียกได้ว่าเป็นอะไรที่ทุกคนกล่าวขวัญถึงและทำกันจนหัวฟู เลยล่ะค่ะ หลายๆ คนหอบโน๊ตบุ๊คมานั่งทำในห้องสมุด จะได้หาหนังสือมาใช้ประกอบการเขียนได้ง่าย ซึ่งเราก็หนึ่งในนั้น
อีกงานนึงที่น่าสนใจเป็นคะแนนกว่า 50% ของคอร์สคือการทำ Presentation กลุ่ม เค้าให้จับกลุ่มกัน 4 คน แล้วทำการนำเสนองานวิจัยที่น่าสนใจค่ะ ทั้งที่ชีวิตผ่านการทำ power point มาเป็นสิบ แต่รู้สึกเหมือนเป็นครั้งแรกที่ได้มีคนมาสอนว่า หลักการนำเสนองานจริงๆ เป็นอย่างไร เพราะอาจารย์สอนตั้งแต่การจัดโครงสร้างในงานนำเสนอ ไปจนถึงสำนวนและวิธีการพูด ให้ดูน่าสนใจ อันนี้พอทำงานเป็นทีม พวกเราก็ถึงกับไปเปิดห้องซ้อมในห้องสมุดกันเลย จริงจังสุดๆ!
ซึ่งนอกจากการเรียนในด้านภาษาแล้ว คอร์สนี้ยังมีการสอนเรื่องระบบต่างๆ ของมหาวิทยาลัยด้วยค่ะ เช่น การเข้าสู่ระบบห้องสมุดออนไลน์ การค้นหาข้อสอบเก่า การดาวน์โหลดโปรแกรมที่จำเป็นผ่านระบบไอทีของมหาวิทยาลัยเป็นต้น และก็จะมีกิจกรรมให้ทำอย่าง โจทย์ที่ให้เข้าไปยืมหนังสือในห้องสมุด หรือให้คลาสเรียนในห้องปฏิบัติการ (Laboratory) เพื่อให้เราคุ้นชินกับสถานที่ต่างๆ ในมหาวิทยาลัยก่อนเปิดเรียนจริง (ตอนนั้นมีแต่คนงงว่าทำไมเรียนคอร์สภาษาได้ทำการทดลองในห้องแลปด้วย)
แล้วอีกสิ่งหนึ่งที่ชอบในการเรียนคอร์สนี้คือ ในตารางเรียนจะจัดให้เราต้องเข้าพบอาจารย์ ตัวต่อตัวด้วยค่ะ โดยจะมีทุกอาทิตย์ ครั้งละประมาณ 10-15 นาที เพื่อให้อาจารย์ที่ปรึกษาได้พูดคุยกับเรา ถึงฟีดแบคงาน จุดอ่อนที่ต้องแก้ไขด้านภาษา และให้คำแนะนำต่างๆ ที่ตรงกับตัวเราจริงๆ เป็นคนๆ ไป โดยจะเราจะต้องไปพบอาจารย์ที่ห้องส่วนตัวในศูนย์ภาษา หรือ Language Zone ค่ะ
Language Zone นั่นก็เป็นอีกส่วนที่เราชอบมากๆ เหมือนกัน เพราะเหมือนเป็นศูนย์ที่รวมรวม ข้อมูลเกี่ยวกับภาษาไว้ (ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาอื่น) เป็นเหมือนห้องสมุดด้านภาษาโดยเฉพาะที่เรา สามารถมายืมหนังสือหรือวิดีโอ และใช้ซอฟแวร์ฝึกภาษาในคอมพิวเตอร์ เพื่อพัฒนาทักษะด้านภาษา ของเราเพิ่มเติมได้ค่ะ อาจารย์ก็จะเชียร์อยู่บ่อยๆ ว่าถ้ามีเวลาว่างก็อย่าลืมเข้ามาใช้บริการศูนย์ภาษากัน
เนื้อหาและการเรียนก็เป็นไปแบบนี้ล่ะค่ะ จนครบ 6 สัปดาห์ ก็จะมีงานเลี้ยงเล็กๆ อำลาสำหรับการจบคอร์ส และมอบเกียรติบัตรให้กับนักเรียนทุกคนว่าผ่านคอร์สเรียนภาษาแล้วนะ ส่วนเพื่อนร่วมห้องเรา จากที่เคยเป็นคนแปลกหน้าต่างถิ่นต่างภาษา พอจบคอร์สปุ๊บทุกคนก็สนิทกันเลยค่ะ วันสุดท้ายของการเรียนก็มีไปกินเลี้ยงฉลองกันด้วย ซึ่งเราบอกเลยว่าคิดไม่ผิดที่มาลงเรียนคอร์สนี้จริงๆ เพราะนอกจากความรู้และได้เตรียมความพร้อมก่อนเริ่มเรียนปริญญาโท เรายังได้รู้จักเพื่อนและ รู้จักมหาวิทยาลัยมากขึ้นด้วยล่ะค่ะ
สนใจเรียนต่อ University of Leeds ลงทะเบียนเพื่อรับข้อมูลเรียนต่อและคำปรึกษาจากพี่ๆ Hands On ตัวแทนมหาวิทยาลัยอย่างเป็นทางการประจำประเทศไทย ฟรี คลิก