วันนี้รุ่นพี่จากคอร์ส Jewellery, Silversmithing and Related Products ที่ Birmingham City University จะมาแชร์ประสบการณ์หลังเรียนจบให้น้องๆ สายอาร์ตได้ฟังกันค่ะ
สวัสดีค่ะพี่ทด ทำอะไรบ้างตอนนี้?
สวัสดีครับ จริงๆ ตอนนี้ก็เป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร ภาควิชาออกแบบเครื่องประดับ ขายของ ขายเก่งเหลือเกิน (หัวเราะ)
แล้วก็รับงานดีไซน์เป็น part-time ร้านเพชรชื่อ Ananta เป็นแบรนด์ใหญ่แบรนด์นึงของไทยนั่นแหล่ะ ก็ไปเป็นดีไซน์เนอร์ให้เค้า ดูเรื่องดีไซน์ของด้วย ช่วยเลือกของด้วย ดูภาพลักษณ์ของสินค้าว่าจะไปในทิศทางไหนหรือว่าควรจะปรับปรุงหรือเปล่าอะไรแบบนี้ นอกจาก 2 อันนี้ที่เต็มเวลา 5 วันต่ออาทิตย์แล้วก็ยังรับงานพวกสายแฟชั่น คือก่อนหน้าที่จะไปเรียนก็ได้ทำงานสายแฟชั่น ทำพวกแฟชั่นโชว์ แฟชั่นสำหรับถ่ายภาพอะไรแบบนี้ พอจบมาแล้วถึงทำงานอย่างอื่นแต่ก็ยังมี connection อยู่ เค้าก็โยนๆ งานมาให้ช่วยทำมากกว่า ถ้างานมันไม่ได้ยากมากเราก็รับทำครับ
แล้วอีกอย่างนึงก็คือบางทีพอมาเป็นอาจารย์หรือเป็นดีไซน์เนอร์อิสระมาสักพัก เราก็มี connection รู้จักอาจารย์ในกลุ่มอื่นๆ หรือว่ากระทรวงอื่นๆ เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ หรือกระทรวงส่งเสริมการส่งออก เป็นต้น เค้าก็จะมีโปรเจคมาเรื่อยๆ แล้วด้วยการที่เรารู้จักคนเยอะ เค้าก็จะมีคนมาชวนไปทำงานพัฒนาสินค้าชุมชน พัฒนาผลิตภัณฑ์อะไรประมาณนี้ครับ
เล่าให้เราฟังหน่อยค่ะ
ก็ได้มีโอกาสไปลงพื้นที่ทำงานกับชาวบ้าน ในสายที่เป็นเครื่องประดับบ้าง ในสายที่เป็นผ้าบ้าง คือไม่ได้ทำแค่ Jewelry แล้ว แต่มันลามไปถึง Accessories คือจริงๆ มันยังเป็นผลิตภัณฑ์แหล่ะ แต่เราแค่เปลี่ยนสายของเราคือทำยังไงก็ได้ให้มันไม่หลุดจากคำว่า Jewelry ไปมาก งานที่ช่วยออกแบบในโซนกระเป๋าหรือ Jewelry ที่เป็นวัสดุแปลกๆ หรือใช้วัสดุที่ชาวบ้านเค้ามี มาทำเป็นงานในสไตล์เรา เพื่อเป็นตัวอย่างให้เค้าดูแล้วเค้าจะเอาไปพัฒนาต่อ คือเราก็มีหน้าที่ในการสร้างต้นแบบหรือหาไอเดียแปลกๆ ไปให้เค้ามองเห็นมากกว่า เพราะว่าอย่างในสายนี้พวกชาวบ้านเองเค้าไม่ได้มีไอเดียใหม่ได้ตลอดเวลา เพราะเค้าไม่ได้เห็นไม่ได้ดูงานศิลปะหรือรู้จักตลาดอย่างเรา เราแค่เอาความเป็นไปได้ในเชิงการตลาด แล้วก็ดีไซน์ที่มันดูแปลกขึ้นแต่ยังใช้เทคนิคหรือว่าสกิลเดิมของเค้าไปจับ มันก็เลยน่าจะสร้างภาพลักษณ์ใหม่ๆ ของสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ได้มากขึ้นครับ
ส่วน Tiara by Palat นี่ก็ไม่ได้ทิ้งนะ ก็ยังทำ แต่ว่าไม่ได้อัพเดท Page เลย (หัวเราะ) คือเห็นมั้ยอ่ะว่าเราทำงานเยอะมาก คือสำหรับ Tiara by Palat เนี่ย ความตั้งใจของเราคือเปิดช่องทางให้ลูกค้า คนที่สนใจสามารถพูดคุยกับเราได้สะดวกมากขึ้น เป็นอีกตัวเลือกนึงสำหรับคนที่ไม่อยากซื้อของที่มันมีสำเร็จรูปอยู่แล้ว ถ้าคุยกันแล้วโอเค เราก็ทำให้นะ
สิ่งที่ได้จากการเรียนที่ Birmingham City University
อย่างแรกเลยคือวิธีคิดนะ วิธีการทำงานอะไรเนี่ยค่อนข้างจะเปลี่ยนไป เวลาทำงานกับลูกค้าเราสามารถคิดพลิกแพลงได้โดยที่ยังสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้เหมือนเดิม
ที่สำคัญคือ ก่อนเราไปเรียนต่อ เราตั้งเป้าไว้ว่าอยากจะเรียนต่อโทเพื่อที่จะมีวุฒิกลับมาเป็นอาจารย์ ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร หรือวิทยาลัยช่างทองหลอง ซึ่งเป็นที่ที่เรารักมาก แล้วก็เป็นศิษย์เก่าด้วย เพราะเรามีทั้งสกิลที่เราเรียนมาจากอาชีวะแล้วก็สกิลจากการออกแบบก็คิดว่าน่าจะสอนคนได้ ตอนนี้พอเป็นอาจารย์แล้วก็ต้องถือว่าการเรียนปริญญาโทสาขา Jewellery, Silversmithing and Related Products ที่ Birmingham City University ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราเป็นเราในวันนี้นะ
สนใจเรียนต่อ Birmingham City University ลงทะเบียนเพื่อรับข้อมูลเรียนต่อและคำปรึกษาฟรี คลิก
คอร์ส Jewellery, Silversmithing and Related Products
สำหรับคอร์ส Jewellery, Silversmithing and Related Products ก็จะเรียนเกี่ยวกับ art jewellery แล้วก็ skill ในการทำงาน Silversmithing ก็คือ เทคนิคการทำ jewellery นะครับ แล้วก็ Related Products อาจจะพูดถึงเรื่องของประดับตกแต่งด้วย ที่ไม่ใช่แค่แบบประดับบนร่างกายอย่างเดียวนะครับ ซึ่งในตัวนี้มันจะเป็นงานที่มันเป็น creative jewellery แล้ว มันจะไม่เหมือนกับ jewellery ที่เราเห็นกันทั่วไปตามท้องตลาดในบ้านเรานะ ที่มันจะเป็นงานพลอย งานเงิน งานทองคำอะไรอย่างงี้
แต่ว่า jewellery ในต่างประเทศอย่างประเทศอังกฤษเนี่ย เค้าจะพูดถึงเรื่องของการ create วัสดุใหม่ๆ น่ะครับ เอามาใช้ในการทำงานเครื่องประดับที่เอามาใส่บนร่างกายแล้วตอบโจทย์หรือว่า พูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับคนที่สวมใส่ เหมือนกับใช้ jewellery พูดแทนตัวเองโดยที่คนที่ใส่ไม่ต้องพูดอะไร อะไรประมาณนี้ครับ ซึ่งงานพวกนี้ก็จะขายในแกลเลอรี่ครับ จะไม่ได้ขายตามร้านทองเหมือนที่บ้านเราขายกันเนอะ
School Trip กับ Birmingham City University
School of Jewellery ที่ Birmingham City University เนี่ย ข้อดีอีกอย่างหนึ่งเลยคือมันอยู่ในยุโรปเนอะ ทีนี้ที่เยอรมันจะมีแฟร์ที่เรียกว่า Contemporary Jewellery ในเมือง Munich มีปีละครั้งนะ อาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเนี่ยเค้าก็จะแนะนำเราแหละ เค้าก็จะบอกว่าทำงานมาสักพักนึงแล้วตันหรือเปล่า ถ้างั้นลองไปดูงานของศิลปินอื่นๆ มั้ยที่เค้าทำงานในสาย Contemporary Jewellery เหมือนกัน
Contemporary Jewellery มันต่างจากสิ่งที่เราทำอยู่นะ พูดง่ายๆ มันคือ Art Jewellery อ่ะ อะไรที่มันดูค่อนข้างยากหรืออะไรที่มันเหมือนการทดลองวัสดุหรือภาพลักษณ์ที่แปลกๆ ที่คนอาจจะไม่ค่อยเข้าใจได้ง่ายๆ ถ้ากลับมาที่ไทย แต่ว่ามันคืออีกทางนึงเหมือนเป็นงานศิลปะที่สวมใส่ได้อ่ะ เพราะฉะนั้นอาจารย์ก็เลยอยากให้ไปดูที่ Munich
แล้วความน่ารักของงานนี้คือตัวงานจัดเหมือนที่ Impact arena บ้านเรา ก็จะเป็นแค่โซนเล็กๆ ที่มีไม่กี่บูธที่ที่ Jewellery แต่ว่าเค้าจะมีวิธีการจัดประกวด Contemporary Jewellery ของนักศึกษาและประชาชนทั่วไปที่สามารถส่งงานของตัวเองเข้ามาร่วมประกวดได้ คนไทยก็เคยมีได้รางวัลอันดับหนึ่งของโลกเหมือนกัน นอกจากแฟร์ที่อยู่ใน Hall แล้วก็มี Gallery เล็กๆ ในเมือง Munich เองที่เค้ารวมตัวกันช่วงนี้ ซึ่งแต่ละ Gallery ก็จะมีเชิญศิลปินบ้างหรือให้ศิลปินรวมตัวกันเองบ้าง แล้วก็จะมีแผนที่มาให้ ซึ่งเราก็สามารถเดินตามได้ เที่ยวอาทิตย์นึงก็ไม่หมด แล้วเราก็จะได้เห็นงานของศิลปินที่หลากหลายมากๆ เราสามารถเข้าไปคุยกับตัวศิลปินได้เลย ไปขอพลิกงานดูได้ เค้าน่ารักมาก ฝรั่งเค้าไม่ได้หวงความรู้เหมือนคนเอเชีย เค้าก็จะมีคำแนะนำว่าลองทำแบบนั้นสิ แบบนี้สิ
แล้วด้วยความที่คอร์สเรามันเป็น Contemporary Jewellery แล้วอาจารย์ก็สนับสนุนเด็กไม่รู้ในทางที่ถูกหรือที่ผิดนะ คือให้เด็กใส่งานที่ทำในคลาสไปด้วยแล้วเดินให้ทั่วเมือง แล้วตอนนั้นของเราเป็นสร้อยอันไม่ใหญ่ แต่อย่าลืมนะเราทำให้ผู้หญิง สาวมากอ่ะวันนั้น ดอกไม้อันเท่านี่! อยู่ตรงนี้ (หัวเราะ) เพราะว่าอาจารย์เราเค้าชอบเดินดูในเมือง แล้วก็จะชี้ว่าไหน Jewellery เราก็จะต้องโชว์ว่าอยู่นี่จ้า
ก็สนุกดี ไปแค่ประมาณ 3 วัน คือจริงๆ กะว่าจะอยู่นานกว่านั้นเพราะอยากไปดูปราสาทน็อยชวานสไตน์ (Schloss Neuschwanstein) ที่เป็นต้นแบบปราสาทของเจ้าหญิง Disney แต่พอเอาเข้าจริงเรารู้สึกว่าเราอยากเดินแฟร์มากกว่า ในขณะที่เพื่อนจีนเราไปปราสาทเลย เดินดูงานวันเดียวแล้วก็ไปปราสาทเลย คือความสนใจของคนเราไม่เหมือนกัน แต่เราก็มีเพื่อนสนิทคนไต้หวันที่เดินดูงานด้วยกัน เราเก็บ 3 วันเกือบครบนะ เดินขาลากอ่ะ
สนใจเรียนต่อ Birmingham City University ลงทะเบียนเพื่อรับข้อมูลเรียนต่อและคำปรึกษาฟรี คลิก
“3 Final List: Designer of the Year 2019″
คือ Designer of the year เนี่ยเราถูกเสนอชื่อเข้าไป แล้วผ่านเข้าไปเป็น Final list 3 คนของสาย Immerging design ซึ่งเป็น Designer of the year แต่เป็นรุ่นเล็กนะ คือเป็นดีไซน์เนอร์หน้าใหม่ที่ทำงานในสาย Jewelry ระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 5 ปี ก็นี่เป็นครั้งแรกของเรานะที่เข้าประกวดอะไรแบบนี้ ซึ่งการได้ Final list ก็ถือเป็นการประสบความสำเร็จของเราในก้าวนึงแล้วนะ ส่วนของเราที่เอาไปโชว์นะมันค่อนข้างกระจัดกระจาย มันไม่เป็นเรื่องเดียวกัน สิ่งที่เราไปโชว์ตอนนั้นมันก็มี Tiara ของเรา, มีงานเครื่องประดับชุดประจำชาติไทย ของ น้ำตาล ชลิตา ที่ใส่เข้าประกวดบนเวที Mis Universe ปี 2016,
งานเครื่องประดับชุด Preliminary ของ มารีญา ที่ใส่เข้าประกวดบนเวที Miss Universe ปี 2017
เพราะฉะนั้นพลังในการพรีเซนต์ออกไปมันไม่มากพอกับของเพื่อนเรา ปีนี้เลยยังไม่ได้ winner นะ แต่ปีหน้าเราตั้งเป้าไว้แล้วละ (ยิ้ม)
จริงๆ ทั้ง 3 คนที่เป็น final list นี่ก็เป็นเพื่อนกันหมดเลย เป็นอาจารย์ที่ศิลปากรกันหมด เราก็ดีใจกับเพื่อนๆ นะ เพราะอีกสองคนก็เก่งมาก
พูดถึงการบริการจาก Hands On หน่อยค่ะ
พอหลังจากที่ตัดสินใจไปเรียนก็หาข้อมูลตามในอินเตอร์เนตนี่ละก่อน ก็คือเบราวซ์เลยว่าถ้าเราอยากจะไปเรียนที่อังกฤษเนี่ย เราจะต้องเตรียมอะไรบ้าง แล้ว Hands On เนี่ยครับเป็นหนึ่งในที่ๆ เด้งขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆ แล้วก็อย่างบ้านเราอยู่ในแถวๆ ปิ่นเกล้าอย่างงี้ ก็เลยลองไป Hands On เจอพี่บีที่สาขาปิ่นเกล้า ตอนแรกก็ยังไม่รู้ว่าจะเรียนอะไรด้วยซ้ำ ยังไม่รู้จัก Birmingham ยังไม่รู้จักอะไรเลย คือบอกแค่ว่าผมอยากเรียนอังกฤษ ผมจบ Jewellery มีที่ไหนในอังกฤษแนะนำบ้าง
ซึ่งพี่บีดูแลดีมาก ดีแบบ…แนะนำเราตั้งแต่ว่า ช่วยดูน่ะครับว่าเราอยากจะเรียนอะไรที่ไหน เค้าก็จะมีแบบทำเป็นลิสต์ออกมาว่าจะมีมหาลัยนี้ๆๆ น่ะครับในอังกฤษที่สอนในสิ่งที่เราอยากเรียน แล้วก็แบบไปคอยเลือกตามดู หรือว่าอาจจะมีกิจกรรมอะไรที่มันน่าสนใจจากประเทศอังกฤษน่ะครับ ที่เค้าจะมาทำกิจกรรมที่ไทยน่ะครับ ก็ถ้าเข้าไปใช้บริการของ Hands On เนี่ยเค้าก็จะช่วยเราดูในตรงนี้
ประกอบกับตอนนั้นพี่บีบอกว่าตอนนี้จะมีอาจารย์จากคณะดีไซน์ที่ BCU มาบรรยายแล้วก็ช่วยดู portfolio ว่ามันโอเคมั้ยสำหรับที่จะส่งไป เราก็เลยไปตามที่เค้าบอก เราเอา portfolio ไปปรึกษากับอาจารย์ที่เค้ามาจากมหาวิทยาลัย แล้วเค้าก็บอกว่า “portfolio ดีมากเลยนะ ผมให้ offer ไปเลยแล้วกัน” ตอนนั้นก็ตกใจนะ คือในใจเรายังมีตัวเลือกมหาวิทยาลัยอื่นๆ ในยุโรปด้วย แต่สุดท้ายลงตัวที่นี่เพราะว่าเรียนแค่ปีเดียวด้วย หลายๆ อย่างก็ลงตัว
แล้วหลังจากนั้น Hands On ก็จะแบบ keep contact เราตลอดเวลาว่า ถ้าเราสนใจแล้วเราจะต้องทำ apply ยังไงต่อไป ทำ application อะไรมั้ย ต้องเตรียมเอกสารอะไรมั้ย ดูแลไปจนถึงขั้นที่แบบว่า เราเตรียมเอกสารทุกอย่างพร้อมแล้ว เราจะบินแล้วเค้าก็ยังเตรียมลิสต์อุปกรณ์ของที่เราต้องเตรียมไปอยู่ที่อังกฤษให้อีกน่ะ มันก็คงไม่มีที่ไหนแล้วมั้งที่จะแบบดูแลดีเท่าที่ Hands On อย่างงี้ครับ
ก็ยังไงก็อยากจะฝาก Hands On ทั้ง 5 สาขาไว้ในอ้อมอกอ้อมใจของหลายๆ คนด้วยนะครับว่า จริงๆ แล้วก็โอเค มันก็เป็นที่ๆ นึงที่แบบทำให้เราทุกอย่างโดยที่เราเองก็ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรด้วยครับ
สนใจเรียนต่อ Birmingham City University ลงทะเบียนเพื่อรับข้อมูลเรียนต่อและคำปรึกษาจากพี่ๆ Hands On ตัวแทนมหาวิทยาลัยอย่างเป็นทางการประจำประเทศไทย ฟรี คลิก