07สิ่งที่เรากำลังจะเล่าต่อจากนี้คือเรื่องจริง ไม่ใช่สแตนอิน ไม่มีสคริป กับสัปดาห์แรกกับชีวิตนักศึกษา ป.โท ที่ University of Reading เกือบลืมแนะนำตัวไปเลย เราชื่อ ศิ มาเรียน Entrepreneurship and Leadership ที่นี่ ซึ่งตัวเราเองมาเรียน pre-sessional ก่อนด้วย 11 weeks เราบินมาถึงล่วงหน้าก่อนเปิดเรียน 3 วัน เพราะหอให้เข้าได้ตอนนั้น เลยมีคนไทยบินมาพร้อมเราเยอะแยะไปหมด นี่ก็เกาะกลุ่มกับเพื่อนเลย
โอโห … หอไม่มีลิฟท์ และเราอยู่ชั้น 2 อื้อหือ! ถลกแขนเสื้อแป๊บ ค่อยๆ ยก (จริงๆ คือลาก 555) กระเป๋าเดินทางหนัก 30 โลขึ้นบันไดไป ประตูที่นี่เขาก็ฮิตเป็นแบบหนักๆ แถมมีสองชั้น เปิดแล้วเปิดอีก จนมาถึงหน้าห้อง ถอนหายใจแรงๆ ทีแล้วเปิดประตูเข้าไป ผ่าง!!! ห้องว่างเปล่ามากจ้า เตียงนี่ มีแค่ฟูกจริงๆ หมอนเหมินอะไรไม่มีทั้งนั้น ในห้องน้ำก็เช่นกัน นอกจากเครื่องสุขภัณฑ์แล้ว ก็มีไม้ขัดส้วมมือสองให้มาอีกอัน … นี่คงคล้ายๆ ตอนที่อากงอาม่าหอบเสื่อผืนหมอนใบมาไทยสินะ …
ย้อนกลับไปที่สนามบินตรง Immigration เจ้าหน้าที่ย้ำว่า ไปถึงมหาลัยฯ แล้ว ให้ไปเอา BRP (วีซ่าแบบระยะยาว) ก่อนนะ เราเลยเดินไปเอา BRP ก่อน ซึ่งนับเป็นความโชคดีของเรามาก ที่เราได้เป็นวีซ่าแบบระยาวเลย คือต้องบอกก่อนว่าแต่ละคนจะได้ไม่เหมือนกัน แล้วแต่ offer ของมหาวิทยาลัย ของบางคนเขาจะได้เป็นวีซ่าระยะสั้น คือแค่พอสำหรับเรียน pre-sessional แล้วหลังจากนั้นจะต้องต่อวีซ่าที่นี่อีก ซึ่งมันมีความวุ่นวายทางเอกสารนิดหน่อย อันนี้ต้องขอบคุณพี่อ้อม Hands On มากๆ คือนี่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย พี่เขาจัดการให้หมด ถ้ามาเองคงได้ต่อวีซ่าเองที่นู่นแบบงงๆ แน่นอน
หลังจากนั้นเราก็นั่งรถเมล์เพื่อเข้า city center ไปซื้อของ ความรู้สึกตอนที่เข้ามาในเมืองคือเหมือนอยู่ในเกม The Survival หรืออะไรทำนองนั้นเลย มันมีความตื่นเต้นตลอดเวลาในระหว่างการหาของ เพราะเราเองก็ไม่คุ้นชินกับสถานที่ แถมยังตื่นตระหนกกับราคาข้าวของที่แพงจนต้องปาดน้ำตาแล้วปาดน้ำตาอีก และระยะเวลาที่กระชั้นเข้ามา เพราะร้านค้าที่นี่ปิด 6 โมงเย็น แต่เราเพิ่งมาถึงตอน 3-4 โมง คือจะรีบกลับบ้านกันไปไหน รอคนไทยด้วยสิเห้ย ฮือออ
เป้าหมายแรกของวันนี้คือมือถือ! ชีวิตยุค 2017 นี้ ไม่มีเน็ต มันเหมือนจะขาดใจ เดินเข้าช็อป Three ซึ่งเป็นเครือข่ายมือถือหนึ่ง ที่ราคาไม่แรง ไปซื้อแบบเติมเงิน 30 วัน ที่มาพร้อมกับอินเตอร์เน็ต โดนไปเลย 20 ปอนด์ กับเน็ต 4GB (แพงจัง งืออ) พนักงานก็แนะนำว่าพอเปิดบัญชีที่อังกฤษแล้วอ่ะ แนะนำให้มาสมัครเป็นแบบรายเดือนก็ดีนะ โปรโมชันมันคุ้มกว่า แล้วถ้ามาเป็นแก๊งค์แบบนี้ มาสมัครกับไอ ไอจะให้ส่วนลดพวกยูเป็นพิเศษเลย นี่ก็หูตาลุกวาวกับคำว่าส่วนลดมาก โอเค รอฉันสมัครธนาคารแป็บ
พอเชื่อมต่อกับโลกภายนอกเป็นที่เรียบร้อย ต่อมาก็เป็นเรื่องของปากท้อง เริ่มต้นจากการไปตามหาจานชามก่อน เราไปได้มาจากร้าน Tiger ซึ่งเขาขายของกระจุ๊กกระจิ๊กเก๋ๆ ในราคาน่ารักๆ และของในร้านจะสับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แล้วแต่่วันว่าเราจะเจออะไร อย่างวันนี้ก็ได้ชุดช้อนส้อมมา โอเค กินข้าวได้ละ แต่จะกินอะไรล่ะ!? ข้างๆ กัน มี Sainbury ซึ่งเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตราคาประหยัด เดินเข้าไป ซื้อนู่นนี่นิดหน่อยกลัว ส่วนสบู่แชมพูถ้าอยากได้หลากหลายก็ไปที่ร้าน Boots
และที่จะขาดไม่ได้เลยนั่นก็คือเครื่องนอน อย่างที่เล่าไป หอให้มาแค่ฟูกจริงๆ ตามรูปภาพ เราเลยเดินมุ่งหน้าไปที่ร้าน Primark ซึ่งเป็นร้านขายของราคาถูก ขายพวกเสื้อผ้า แล้วก็ข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้านนี่แหละ ถึงจะไม่ได้เยอะมาก แต่แบบก็ถือว่าเก๋อยู่ หยิบทุกอย่างตั้งแต่หมอน ผ้าปูที่นอน ไส้ผ้านวม ปลอกผ้านวม แป๊บเดียวเท่านั้นอ่ะ เต็มตระกร้าใหญ่เลยจ้า แล้วก็เดินไปจ่ายตังค์ แคชเชียร์ยังต้องถามอ่ะ ว่าวันนี้มีอะไรกันหรอ เห็นคนมาซื้อของแบบนี้เต็มเลย มาถึงร้านนี้ก็ตระหนักได้ว่า เราควรกลับกันได้แล้ว หนักมาก! นี่ฉันต้องแบกทุกอย่างขึ้นรถเมล์ไปจริงๆ หรือนี่
ซึ่งความพีคอยู่ตอนที่ขึ้นรถเมล์นี่แหละ คือเดินกลับไปที่ป้ายรถเมล์อันเดิมที่ลงมา แล้วก็พยายามจะมองหาป้ายฝั่งตรงข้าม ไม่มี … เลยมโนไปเองว่า รถเมล์ที่นี่ อาจจะวนเป็นวงกลม อ่ะ ขึ้นป้ายเดิม ก็น่าจะกลับมหาลัยฯ ได้ พอรถมาก็ขึ้นไปนั่งชั้น 2 นั่งเม้ากับเพื่อน รีวิวของกันไป จนรู้ตัวอีกที รถเมล์กำลังเลี้ยวเข้าอู่จ้า! เห้ย อะไรยังไง ไฟปิดในรถปิด มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นคนขับเดินกลับเข้าตึกไปแล้ว เดี๋ยวก่อนนน กรูลงบันไดมา ประตูรถบัสก็ปิด ปุ่มเปิดอยู่ไหนๆ เคาะกระจกเรียกก็ไม่มีใครได้ยิน เหลือบไปเห็นปุ่ม Emergency open กดเข้าไป ประตูถึงเปิดออก กรี๊ดดด ออกมายืนงงๆ อยู่ที่หน้าอู่รถเมล์ ที่ไม่มีป้ายรถเมล์ … นี่อยู่ตรงไหนของเมืองก็ไม่รู้ Uber ก็เรียกไม่ได้ขึ้นมาซะงั้น จนสุดท้าย ไลน์ไปขอเบอร์บริษัทแท็กซี่ที่เขามาส่งเราเมื่อเช้าจากเพื่อนอีกคน ก็เรียกรถมาได้ แต่ขึ้นไม่ได้อีก! เพราะคนเกิน แท็กซี่ที่นี่ถ้าเป็นคันเล็กแบบรถเก๋งบ้านเรา เขาจะบังคับให้ขึ้นได้แค่ 4 คนเท่านั้น เราก็เสียสละให้น้องๆ เอาของๆ เรากลับไป แล้วเราเดินไปป้ายรถเมล์ในเมือง ซึ่งใช้เวลาเดินประมาณ 10 นาที แล้วขึ้นรถเมล์กลับหอ
วันรุ่งขึ้น มีเวลา 1 วันเต็มๆ ในการจับจ่ายซื้อของ ตื่นแต่เช้า เพราะเมื่อคืนสลบตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืด ออกไปทานข้าวเช้าในเมือง แล้วเริ่มต้นซื้อของต่อ ซึ่งเป็นโชคของเรา ที่วันนี้เราได้มาเจอกับกลุ่มคนไทย ที่เขาเช่ารถมา เลยมีที่เก็บของ ไม่ต้องแบกหนัก ก็เลย ซื้อแหลกเลยจ้า สารพัดสิ่งที่ยังขาด ได้ไปร้าน Wilko ซึ่งเป็นร้านอารมณ์ขายของสารพัดชนิด ออกไปทางข้าวของเครื่องใช้ในบ้าน พวกจานชาม สบู่ น้ำยาล้างจาน กล่องเก็บอาหาร จริงๆ ก็มีความกระจัดกระจายในหมวดสินค้านะ แต่ที่ทุกอย่างเหมือนกัน คือราคาถูก! ด้านล่างของ Wilko ก็มีร้าน Tk Maxx ซึ่งเป็นร้านที่นำของมียี่ห้อ และมีตำหนิ มาลดราคาขายกัน มีทั้งเสื้อผ้า เครื่องครัว ไปจนถึงข้าวของเครื่องใช้ในห้องน้ำ แนะนำว่าให้มาซื้อเครื่องครัวที่นี่ เพราะมันจะเป็นอะไรที่อยู่กับเราไปอีกนาน เพราะฉะนั้น เลือกของดีๆ กันหน่อยเนาะ จริงๆ จะบอกว่าในอังกฤษมีร้านคอนเสปแบบนี้เยอะมาก ที่ขายหลายๆ อย่างรวมกัน ซึ่งร้านพวกนี้มันจะแตกต่างกันที่ราคา และดีไซน์ของสินค้าที่เขาคัดมา หลังจากช้อปจนเต็มมือแล้ว ก็ขับรถกันไปต่อ See Woo ซึ่งเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตจีนสาขาใหญ่ที่อยู่ไกลออกไป แบบรถเมล์เข้าไม่ถึง ซึ่งที่นี่มันดีมาก คือ มีเครื่องปรุงจากเมืองไทยแบบครบ! ญี่ปุ่น จีน เกาหลี ก็มา ไม่มีคิดถึงแน่นอน นี่เลยได้้ข้าวสารยี่ห้อที่คุ้นเคยมากระสอบนึงไว้หารกัน แล้วก็ไปต่อที่ Morrison ซึ่งเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ แน่นอนว่ารถเมล์ก็มาไม่ถึงตรงนี้อีกเช่นกัน แต่จะบอกว่า … ถ้าเรามีบัญชีธนาคารที่นี่เมื่อไหร่ เราไม่จำเป็นต้องมาซุปเปอร์มาร์เก็ตอีกเลย เพราะว่าเราสามารถสั่งออนไลน์ได้ แถมค่าส่งก็ไม่โหดร้าย เริ่มต้นแต่ 0.01 ปอนด์เท่านั้น!
ทางด้านของงานซักผ้านั้น สำหรับคนที่อยากจะซักผ้าปูที่นอนที่เพิ่งซื้อมา เราจะต้องเติมเงินลงไปในบัตรซักผ้าก่อน ถึงจะใช้ได้ คงต้องใช้บัตรเครดิตจากเมืองไทยไปก่อน เติมแค่พอซักครั้งสองครั้งพอ ที่เหลือค่อยเติมจากบัครเดบิตที่นี่จะได้ไม่เสียค่าธรรมเนียม ค่าซักจะตกอยู่ที่ครั้งละ 2.5 ปอนด์ ซึ่งยังไม่รวมค่าปั่นแห้งอีก 1 ปอนด์ นอกจากการเติมเงินบัตรซักผ้าแล้ว เราขอแนะนำนวัตกรรมผงซักฟอกแบบแคปซูล คือมันดีมากสำหรับแม่บ้านมือใหม่อย่างเรา เพราะมันไม่ต้องตวงอะไรเลย ในแคปซูลมีทั้งผงซักฟอกและน้ำยาประผ้านุ่ม แค่โยนเข้าไปใต้กองผ้าในถังปั่นจบ! หลังจากซักเสร็จแล้ว ก็ต้องเอาเข้าเครื่องปั่นต่อ ก่อนจะปั่น อย่าลืม! ดึงแผ่นกรองขึ้นมาเคาะฝุ่นออกก่อน ไม่งั้นเสื้อผ้าจะเต็มไปด้วยฝุ่น แล้วก็ทำใจนิดนึงว่าเสื้อผ้าอาจจะหด … ตัวไหนหวงๆ ก็เอาไปตากต่อที่ห้องก็ได้ แห้งเหมือนกัน
สำหรับวันเปิดเรียนวันแรก มันจะเป็นเหมือนปฐมนิเทศก่อน มารับรู้ก่อนว่าใน 11 สัปดาห์ที่กำลังจะถึงนี้เราจะต้องเจอกับอะไรบ้าง รวมถึงรับทำบัตรนักเรียน ที่เราขอแนะนำว่า ให้อัพรูปสวยๆ มาจากที่บ้านไป เพราะถ้าให้มหาลัยฯ ถ่ายให้นั้น แต่งหน้ามาแน่นแค่ไหน มันก็จะมลายหายไปพร้อมกับพื้นหลังสีฟ้าที่คนจบทางด้านศิลปะอย่างเราคิดว่ามันไม่โอ รวมไปถึงการเปิดบัญชีธนาคารที่มาบริการถึงที่ โดยเป็นของ Santander ซึ่งมีสาขาอยู่ในมหาวิทยาลัย แต่ถ้าใครอยากจะเปิดของเจ้าอื่นๆ อย่าง Lloyds หรือ Barclays ก็ต้องไปขอ Student Statement จากทางมหาลัย แล้วไปสมัครอีกทีในเมือง แต่ส่วนตัวเรา เราไม่ได้สมัครเจ้าอื่นนอกจาก Santander นะ ก็สงบสุขดีทุกวันนี้ ซึ่งบัญชีที่ทางธนาคารแนะนำจะมีสองแบบ คือแบบ Basic ไม่เสียตังค์ในการเปิด ได้บัตรเดบิตที่กดเงินได้ ซื้อของออนไลน์ได้มา กับแบบ International student ซึ่งพอเขาบอกว่ามันเสียตังค์เดือนละ 5 ปอนด์ เราก็ไม่ได้ฟังคุณประโยชน์ของบัญชีแบบนี้อีกเลย แต่คร่าวๆ ประมาณว่ามันจะฟรีค่าธรรมเนียมการโอนเงินระหว่างประเทศอะไรทำนองนั้น
ซึ่งพอเราสมัครธนาคารเสร็จปั๊บ เราจะยังไม่ได้บัตรเดบิตในทันที เพราะฉะนั้นเตรียมเงินสดไว้ก่อนนะ ยังต้องใช้อีกอาทิตย์นึง แล้วธนาคารจะส่งจดหมายมา 3-4 ฉบับ แต่ละฉบับจะมีรหัสที่ต้องประกอบกันสำหรับการสมัคร Online banking ซึ่งทำได้เองบนเว็บไซต์ของธนาคาร ส่วนการตั้งรหัสบัตรเดบิต ต้องไปทำที่ตู้ ATM เมื่อได้บัตรมาแล้ว บอกเลยว่าชีวิตง่ายๆ มาก ใช้แทนเงินสดไปเลยจ้า รูดได้เกือบทุกที่ ซึ่งพอได้บัญชีแล้ว แนะนำมากว่าให้เติมเงินลงในบัตรนักศึกษาด้วย เพราะว่าเวลาเราซื้ออาหารในมหาลัยฯ มันจะมีส่วนลดให้ด้วย คุ้มอยู่ๆ
ชีวิตที่นี่ในสัปดาห์แรกมันจะมีความตะกุกตะกักหน่อย เวลาในหนึ่งวันจะหมดไปเร็วมาก เพราะเราจะยังทำอะไรช้ากันอยู่ ไม่คุ้นก็งี้แหละ แต่พอผ่านไปสักพัก ชีวิตจะเริ่มลงตัวขึ้น หายใจคล่องขึ้น สุดท้ายนี้เราอยากจะขอสรุปสิ่งที่ต้องทำคร่าวๆ เมื่อมาถึงอังกฤษไว้ดังนี้ …
- จับกลุ่มเพื่อนไว้ให้แน่น มาวันแรกมันหลงมันงงจริงๆ ไว้หารแท็กซี่เข้ามหาลัยด้วย ไว้ช่วยกันขนของขึ้นหอด้วย
- เช่ารถ! ชีวิตจะง่ายขึ้นมากกับการขนของ จับกลุ่มหาเพื่อนหารกันเลย มีดี เชื่อเหอะ
- ถ้าไม่ได้เช่ารถ ให้ซื้อตั๋วรถเมล์แบบ All-day เพราะมันจะนั่งไปกลับเท่าไหร่ก็ได้ใน 1 วัน
- มือถือซื้อแบบเติมเงินไปก่อนเดือนนึง เดือนต่อไปค่อยตัดสินใจว่าจะเติมเงินต่อหรือเปลี่ยนเป็นรายเดือน
- Primark เหมาะสำหรับการซื้อเครื่องนอน ยกเว้นหมอน! แนะนำให้ไปซื้อที่ House of Fraser แทน เน้นคุณภาพหน่อย จะได้ไม่ปวดคอ และถ้ามาถึงช่วงเดือน June – July ถือว่าโชคดีมาก เพราะเป็นช่วงลดราคาของเขา
- อาหารเป็นสิ่งที่ซื้อตุนไม่ค่อยได้ เพราะที่นี่อายุอาหารสั้นมาก โดยเฉพาะขนมปัง! นี่กินขนมปังหมดอายุเป็นประจำอ่ะพูดเลย 555
- เงินสดเอามาพอใช้สักอาทิตย์ เพราะเราจะยังไม่มีบัตรเดบิตที่ทำให้ชีวิตง่าย
- มีอะไร ไลน์ไปถามพี่ๆ Hands On ได้ นี่ก็ถามเหมือนกัน ถามทุกอย่างเลย 555
สนใจเรียนต่อ University of Reading ลงทะเบียนเพื่อรับข้อมูลเรียนต่อและคำปรึกษาจากพี่ๆ Hands On ตัวแทนมหาวิทยาลัยอย่างเป็นทางการประจำประเทศไทย ฟรี คลิก