สวัสดีค่ะ กลับมาพบกันอีกครั้งนะคะ บทความก่อนเล่าถึงบริการและกิจกรรมของ The University of Sheffield ไปแล้ว (คลิกอ่านบทความ) บทความนี้เราจะขอเล่าถึงความแตกต่างระหว่างมหาวิทยาลัยไทยและอังกฤษ ซึ่งจากการสังเกตของเรา พบความแตกต่างดังนี้ค่ะ
ระบบการเรียนการสอน มหาวิทยาลัยของอังกฤษ
- เน้นการศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเองและการทำงานกลุ่ม ทั้งการสัมมนา การอภิปรายในชั้นเรียน และการนำเสนอ ควบคู่ไปกับการฟังบรรยาย
- ให้ความสำคัญกับการอ้างอิงถึงแหล่งที่มาในงานเขียน งานนำเสนอ เพื่อหลีกเลี่ยงการลอกเลียนแบบงานของผู้อื่น หรือที่เรียกว่า plagiarism โดยการใช้ระบบตรวจสอบความเหมือนของงานเขียนที่เรียกว่า Turnitin ว่าเหมือนกับงานเขียนของผู้อื่นหรือไม่ หากมีสัดส่วนความเหมือนกับงานเขียนของผู้อื่นสูงเกิน 30% จะถือว่าเป็นการลอกเลียนแบบงานของผู้อื่น อาจถูกปรับตกในงานชิ้นนั้นได้
- ไม่แจกเอกสารการบรรยาย แต่จะอัพโหลดสไลด์หรือเอกสารที่จะใช้ในชั้นเรียนให้ศึกษาด้วยตัวเองล่วงหน้า ซึ่งเราแนะนำว่าให้อ่านไปก่อนเข้าชั้นเรียนทุกคาบนะคะ ไม่อย่างนั้นเราจะไม่เข้าใจบทเรียน ซึ่งทำให้ไม่ได้ประโยชน์จากการเรียนเท่าที่ควรค่ะ
- ไม่มีชั่วโมงการเล่าถึง course syllabus แยกต่างหาก แต่เราจะได้รับตารางเรียนก่อนเริ่มเรียนผ่านระบบออนไลน์ และผ่านแอพพลิเคชันของมหาวิทยาลัย และในชั่วโมงเรียนครั้งแรก หลังจากกล่าวถึง course syllabus แล้วจะเริ่มเรียนทันที
- หลาย ๆ วิชาจะไม่มีการสอบ จะให้คะแนนจากงานที่มอบหมายเป็นหลัก (งานเดี่ยวและงานกลุ่ม) รวมถึงการมีส่วนร่วมในชั้นเรียน การเข้าชั้นเรียนค่ะ
- ระยะเวลาที่ใช้ในการเรียน ปริญญาตรี ใช้เวลา 3 ปี ปริญญาโท 1ปี ปริญญาเอก 4 ปีค่ะ
บริการอื่น ๆ ของมหาวิทยาลัย
- ไม่มีโรงอาหารรวมประจำมหาวิทยาลัย แต่จะมีคาเฟ่ตามคณะต่าง ๆ เมนูจะมีให้เลือกไม่มาก ส่วนมากจะเป็นอาหารแบบเย็น เช่น แซนวิช ขนมปัง สลัด อาจจะมีอาหารร้อนบ้าง แต่ไม่มีอาหารตามสั่งแบบมหาวิทยาลัยไทย ส่วนเครื่องดื่มจะเป็นกาแฟ ชา น้ำผลไม้ น้ำอัดลม น้ำเปล่าธรรมดา น้ำเปล่าอัดแก๊ส
- มีผับและบาร์อยู่ในมหาวิทยาลัย บางแห่งเป็นของมหาวิทยาลัย บางแห่งทีเอกชนเป็นเจ้าของจะมีส่วนลดให้นักศึกษาด้วย (ผับและบาร์พบได้แทบทุกถนนในเมืองค่ะ)
- ต้องจ่ายเงินหรือสมัครสมาชิกเพื่อใช้บริการศูนย์กีฬาภายในมหาวิทยาลัย ที่ประเทศไทย นักเรียนสามารถใช้บริการศูนย์กีฬารวมถึงใช้อุปกรณ์กีฬาส่วนใหญ่ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย แต่สำหรับที่นี่ การใช้บริการศูนย์กีฬาจะต้องเสียค่าบริการต่อครั้ง หรือถ้าหากใช้บริการเป็นประจำก็สามารถสมัครสมาชิกได้ เพราะราคาจะถูกกว่าจ่ายต่อครั้งค่ะ
- ห้องสมุดเปิด 24 ชั่วโมงทุกวันตลอดปี ไม่เฉพาะช่วงสอบ และมีห้องอาบน้ำให้บริการภายในห้องสมุดด้วยค่ะ เห็นครั้งแรกถึงกับงงกันเลยทีเดียว
- หากต้องการพบแพทย์ต้องนัดหมายล่วงหน้าผ่านทางระบบออนไลน์หรือทางโทรศัพท์ แพทย์ที่ศูนย์สุขภาพจะเป็นแพทย์ทั่วไป (GP) หลังจากพบแพทย์เราจะได้รับใบสั่งยา (prescription) ให้เราไปซื้อยาที่ร้านขายยา จะไม่มีการจ่ายยาในศูนย์สุขภาพหรือสถานพยาบาลค่ะ
- สามารถสูบบุหรี่ภายในบริเวณมหาวิทยาลัยได้ แต่ต้องสูบในบริเวณที่จัดไว้ให้เท่านั้น ไม่สามารถสูบภายในอาคารได้ (ค่าปรับเรื่องการสูบบุหรี่ในที่ห้ามสูบแพงมากค่ะ)
- ที่จอดรถในมหาวิทยาลัยมีจำกัด ส่วนมากจะต้องชำระค่าจอดรถเป็นรายชั่วโมง ชั่วโมงละประมาณ 1 ปอนด์หรือแพงกว่าค่ะ
- การเดินทางในมหาวิทยาลัย ส่วนมากจะใช้การเดินเป็นหลัก หรือใช้จักรยานค่ะ ภายในมหาวิทยาลัยไม่มีรถ Shuttle bus ให้บริการ แต่เราสามารถใช้บริการรถเมล์ที่วิ่งผ่านในมหาวิทยาลัยได้ แนะนำให้ซื้อตั๋วรายสัปดาห์หรือรายเดือนจะถูกกว่านะคะ
- มีการทดสอบสัญญาณเตือนไฟไหม้ทุกสัปดาห์ โดยจะมีการแจ้งเกี่ยวกับการทดสอบ ทั้งในเรื่องเวลาที่จะทดสอบและจุดรวมพล เมื่อเข้าอาคารเป็นครั้งแรกในทุก ๆ อาคาร มาเรียนที่นี่ 1 ปี อพยพหนีไฟบ่อยกว่าอยู่เมืองไทย 20 ปีอีกค่ะ
โดยสรุปความแตกต่างหลักระหว่างมหาวิทยาลัยไทยและมหาวิทยาลัยอังกฤษจะเป็นเรื่องของระบบการเรียนการสอนค่ะ ที่อังกฤษจะเน้นการศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเอง และการอภิปรายในชั้นเรียนมากกว่าการฟังบรรยาย ซึ่งเรามองว่าเป็นสิ่งที่ดีนะคะ เพราะเราจะมีทักษะการค้นคว้าและวิจัย ซึ่งทำให้เราอยากเรียนรู้ไปตลอดชีวิต แต่สิ่งที่มหาวิทยาลัยไทยดีกว่าอย่างชัดเจนคือเรื่องอาหารค่ะ ตอนเขียนบทความนี้คิดถึงอาหารตามสั่งมาก โดยเฉพาะข้าวผัดกะเพราไก่ไข่ดาวค่ะ อาหารไทยอร่อยที่สุดในโลก ^^ ก่อนจะหิวไปมากกว่านี้ เราขอจบบทความนี้เพียงเท่านี้นะคะ ติดตามบทความหน้าได้เร็ว ๆ นี้ค่ะ