Hands On Education Consultants

พาลัดฟ้าไปเที่ยว Northern Ireland

วันนี้ Hands On ได้ไกด์จาก Lancaster  University พาเที่ยว Northern Ireland ค่ะ ตามติดพี่ลูกปลา จากคอร์ส MSc International Business and Strategy กันได้ที่นี่ 🙂

หลายครั้งที่เราได้ยินชื่อประเทศอังกฤษเรามักจะนึกถึงเมืองใหญ่ๆ อย่าง London, Edinburgh, Oxford, หรือไม่ก็ Cambridge เราเชื่อว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยเคยไปเมืองเหล่านี้ แต่จะดีกว่ามั๊ยถ้าเราลองไปในสถานที่ที่ไม่เคยไปอย่าง “ไอร์แลนด์เหนือ” หลายคนอาจจะรีบเปิด Google Map หาทันทีว่าที่นี่คือที่ไหนกัน

ไอร์แลนด์เหนืออยู่ไม่ใกล้ ไม่ไกลจากเกาะอังกฤษ เอาจริงๆ ไอร์แลนด์เหนืออยู่เกาะเดียวกันกับไอร์แลนด์ แต่กลับเป็นส่วนหนึ่งของประเทศอังกฤษ การเดินทางไปไอร์แลนด์เหนือมีแค่สองทางเท่านั้น คือ นั่งเครื่องบินและนั่งเรือไป ส่วนตัวเราเดินทางไปไอร์แลนด์เหนือกับสายการบิน Easy Jet สายการบิน low cost ของที่นี่เองแหละ จาก Manchester ไปไอร์แลนด์เหนือ ก็แค่ประมาณ 40 นาทีเอง แต่จะมีแค่ตอนเช้าและเย็นเท่านั้น เราตัดสินใจใช้เวลาอยู่ที่นี่ 2 วันเต็มๆเลย เราเลยเลือกเดินทาง flight เช้า 8.40 น. เพื่อจะได้เที่ยวได้เต็มที่ เรายังเดินทางแบบชิวๆ โดยการขับรถเที่ยวเองรอบๆ เมืองด้วย

เราเลือกมุ่งหน้าไป Giant’s Causeway เป็นอย่างแรก ที่นี่เป็นอุทยานของที่อังกฤษ ค่าเข้าอยู่ที่10.5 ปอนด์ แต่ถ้าจองออนไลน์จะเหลือแค่ 9 ปอนด์ ที่นี่ยังได้รับการยอมรับให้เป็นมรดกโลกโดย UNESCO ในปี 1987 ด้วยนะ ที่นี่เปิดตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 6 โมงเย็นเลย เราว่ามาดูพระอาทิตย์ตกที่นี่น่าจะฟินไม่น้อยเลยทีเดียว ถ้าใครยิ่งชอบเดิน Trail ยิ่งต้องมาที่นี่เลยนะ เค้ามีทั้ง Trail แบบเพิ่งเริ่มเดินไปจนถึงแบบที่ยากมากต้องปีนผาด้วยแหละ

ทางอุทยานมีรถบังรับ-ส่ง ค่าขึ้นครั้งละ 1 ปอนด์ แต่เราแนะนำให้เดินเข้าไป แล้วนั่งรถกลับ ระหว่างทางที่เดินก็ซึมซับบรรยากาศรอบๆ เดินถ่ายรูปชิวๆบอกเลยว่าสวยมาก แต่ถ้าใครที่เป็นสายลุย เราว่าเดินต่อไปแหะ วิวสวย ส่วนเราอดเดินต่อเพราะเราต้องรีบไปที่อื่นต่อ

 

เราว่ามาพักที่นี่ดีกว่านะ ตื่นเช้ามาได้เจอวิวสวยๆ คือมันดีมากเลยอ่ะ เราไม่น่าจองที่พักในเมืองเลย

หลังจาก Giant’s Causeway เราก็เดินทางกันต่อไม่ใกล้ไม่ไกลเท่าไหร่ แค่ซัก 30 นาที เราก็ถึง Carrick-a-Rede Rope Bridge แล้ว ค่าเข้าที่นี่ไม่แพงนะ เมื่อเทียบกับวิวที่จะได้เห็น แค่ 7 ปอนด์เองนะ เราว่าคุ้มมากๆ เลยแหละ ที่นี่มีมาตั้งแต่ 350 ปีที่แล้วละแหละ เป็นสะพานที่ชาวประมงให้ขนปลาแซลมอลขึ้นมาหลังจากจับแถวนั้น เพราะที่นี่เคยเป็นแหล่งจับแซลมอนที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง

ที่จ่าย 7 ปอนด์ไม่ใช่แค่ไปเดินข้ามสะพานเท่านั้นนะ แต่ เราต้องเดินเข้าไป 1 กิโลเมตร ถึงจะถึงสะพาน แต่จากที่เรารู้สึกเราว่าไกลกว่านั้น แต่เอาจริงๆ มันก็เพลินนะ เดินไปถ่ายรูปไปชิวๆ อากาศก็ดี ทั้งลม ทั้งหนาว บางที่ก็มีฝนตกลงมาแบบงงๆ แค่ 5 นาทีก็หยุดแล้วงี้

ถ้าได้นั่งดูพระอาทิตย์ตกที่นี่ก็น่าจะสวยไม่น้อยเลย บรรยากาศเย็นๆ ริมหน้าผา พร้อมพระอาทิตย์ตก มันคงจะโรแมนติกสุดๆไปเลย

ในที่สุดก็มาถึงสะพานซักที เอาจริงๆมันสูงนะ และเป็นสะพานไม้แบบจริงๆ ถ้าลมมาทีก็แกว่งที เล่นเอาขาสั่นได้เลยทีเดียวแหละ

จะหกโมงแล้วแต่ฟ้ายังสว่างอยู่เลย เราเลยขอขับรถเลยต่อไปอีกนิดนึง เพื่อไปดู Dunluce Castle ปราสาทเก่าริมหน้าผาที่สร้างขึ้นโดยตระกูล MacQuillan ในปี 1513 มีความคลาสสิกมากเลยทีเดียว

ปกติที่นี่จะเปิดให้เข้าตั้งแต่ 10.00-17.00 แต่ฤดูหนาวจะเปิดถึงแค่ 16.00 เพราะที่นี่จะมืดเร็วมากๆ ค่าเข้าผู้ใหญ่จะอยู่ที่ 5 ปอนด์ แต่เราไม่ได้เข้าเพราะมาช้าไป ได้แต่เดินเล่นรอบๆปราสาท เอาจริงๆแค่รอบๆก็สวยแล้ว ได้ฟิลเหมือนอยู่ในหนังสงครมสมัยก่อนเลยหล่ะ

หลังจากเที่ยว Carrick-a-Rede Rope Bridge เสร็จแล้ว เราก็ต้องรีบกลับไปในเมืองเพราะว่าจองที่พักไว้แล้ว ก่อนจะไปนอนก็ต้องหาอะไรกินก่อน หิวแล้ว เราเลือกร้านดังย่านกลางเมืองของที่นี่เลย ร้านนี้ชื่อว่า Home เป็นร้านสเต็กชื่อดังของที่นี่ อยู่ใจกลางเมืองเลย ข้างๆเป็น Belfast City และตรงข้ามเป็น Town centerถ้าคิดเป็นเงินไทยอาจจะดูแพง แต่รับรองราคาสมเหตุสมผลกับรสชาติ และบรรยากาศแน่ๆ ใครจะกินอาหารแถวๆนี้ระวังเรื่องที่จอดรถนิดนึงนะ ห้ามจอดจุดที่มีเส้นเหลืองสองเส้น และถ้าจอดแล้วอย่าลืมจ่ายด้วย เพราะที่นี่ปรับแพงมาทำเราซีดไปเลยแหละ

เช้าวันที่สองก็ได้เริ่มต้นขึ้น เราแพลนว่าวันนี้จะไปเดินเล่นในเมืองชิวๆ เราเริ่มต้นวันด้วยการไปเที่ยว Belfast Castle สำหรับเราสถานที่นี้ได้รับการปรับปรุงเรียบร้อยแล้ว ทำให้ความเก่าและความขลังมันหายไป ถ้ายังคงเป็นปราสาทเก่าๆ มันคงจะดูสวยงามและน่าดึงดูดกว่านี้เยอะ

สำหรับใครที่ชื่นชอบประวัติศาสตร์หรือหนังเรื่อง Titanic เราขอแนะนำพิพิธภัณฑ์ที่มีทั้งประวัติเรือ วิธีการต่อเรือ อธิบายสาเหตุการจม และอุปกรณ์หลายๆ อย่างที่สามารถลองเล่นลองจับกันได้ แต่ค่าเข้าก็จะโหดอยู่นิดนึง 18 ปอนด์ แต่ถ้าเป็นคนที่ชอบแนวนี้ เราว่าคุ้มอยู่นะ

หลังจากที่เราเที่ยวในเมืองในครึ่งเช้าของวัน ทำให้รู้ว่าเราสนุกกับสถานที่ที่เป็นธรรมชาติมากกว่าในเมืองที่มีแต่ตึก ทำให้เราตัดสินใจออกไปขับรถเล่นนอกเมืองอีกครั้ง เอาจริงๆ ก็ไม่ได้ไปที่ไหนไกลหรอก เราไปแถวๆ ที่เราไปเมื่อวาน เพียงแต่ไม่ได้ไปสถานที่เดิมนะ เราตัดสินใจตามรอยหนัง Game of Throne แทน ทั้งๆ ที่ไม่เคยดูเรื่องนี้เลย

 

The Dark Hedge เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ซีรีย์ Game of Throne ไปถ่ายทำ เป็นต้นไม้ธรรมดาที่แต่ก่อนตระกูล Stark ปลูกเพื่อให้ร่มเงา เป็นทางเข้าบ้าน Georgian mansion ที่นี่สวยมากจน HBO ต้องขอมาถ่ายทำที่นี่ ซึ่งเห็นได้ในฉากที่พระราชาเดินออกไปรบ ถ้าอยากถ่ายรูปที่นี่แบบสวยๆ ไม่ติดคน เราขอแนะนำให้ไปตอนเช้าเลย เพราะว่าคนน้อยกว่าและแสงสวยกว่าด้วย

หลังจากที่เดินถ่ายรูป และจินตนาการว่าตัวเองเข้าไปอยู่ในซีรีย์แล้ว เราก็ออกเดินทางต่อ ขับรถไปเรื่อยๆ พร้อมกับหาสถานที่เที่ยวใกล้ๆ ต่อไป แล้วเราก็เลื่อนหน้าจอไอโฟนไปเจอกับ Ballintoy Harbour

เอาจริงๆ ที่นี่ไม่มีป้ายบอกทางเข้านะ เหมือนเป็นชายหาดที่รู้กันว่ามีนะ แต่ไม่ใช่ที่เที่ยว ที่นี่อยู่ระหว่างทางไป Giant’s causeway และ Carrick-a-Rede Rope Bridge ถ่ายรูปออกมาสวยมากๆ เราโชคดีที่วันนี้แดดดี ไม่มีฝน ท้องฟ้าแจ่มใส ผู้คนต่างออกมานั่งอาบแดดบ้าง จิบกาแฟบ้าง นั่งคุยกันบ้าง ไม่ก็เดินเล่นถ่ายรูปกัน บรรยากาศน่ารักมากๆ เลยแหละ และที่นี่ก็เป็นอีกที่หนึ่งที่ใช้ถ่าย Game of Throne ด้วยนะ เป็นส่วนที่ถ่าย Iron Island นั่นเอง

ภาพตรงหน้ามันสวยมากๆ ลองจินตนาการนึกถึงตอนเด็กๆ ที่พวกเราวาดรูปภูเขา ท้องฟ้า บ้าน ภาพที่เห็นตรงหน้าเป็นดังภาพในจินตนาการของเราตอนเด็กเลย เราเชื่อว่าส่วนใหญ่คงมีภาพที่คล้ายกัน ภูเขาที่เป็นรูปสามเหลี่ยม ทุ่งหญ้าสีเขียวที่มีสัตว์ยืนกินหญ้าอยู่ บ้านหลังเล็กที่ตั้งห่างๆ กัน ฟ้าสีฟ้าที่ตัดกับหญ้าสีเขียว และก้อนเมฆที่รูปร่างหน้าตาไม่ต่างกับในจินตนาการเลย

ก่อนที่เรามาที่นี่ เราคิดว่าจินตนาการในตอนเด็กมันก็แค่จินตนาการ แต่จริงๆ แล้ว มันมีอยู่จริง เชื่อเราเหอะ ที่นี่คุ้มค่าที่จะมาจริงๆ 🙂

 

สนใจเรียนต่อ Lancaster University ลงทะเบียนเพื่อรับข้อมูลเรียนต่อและคำปรึกษาจากพี่ๆ Hands On ตัวแทนมหาวิทยาลัยอย่างเป็นทางการประจำประเทศไทย ฟรี คลิก