ทำไมถึงเลือกเรียน MA Marketing Communications ที่ University of Westminster โดย พี่แน๊ต

  • Share this:

marketing

ทำไมถึงเลือกเรียน MA Marketing Communications ที่ University of Westminster

การเขียนบทความนี้ พี่แน๊ตขอตอบในฐานะ “รุ่นพี่” ที่เคยไปศึกษาอยู่ที่สหราชอาณาจักร มิใช่ในฐานะ “counsellor” ละกันนะจ๊ะ เพื่ออรรถรสในการเล่า

Question: ทำไมถึงเลือกเรียน MA Marketing Communications ที่ University of Westminster

P’ Nat: ที่พี่เลือกเรียนคอร์สนี้ หลักๆ น่าจะมาจากความอยากของตัวเองล้วนๆ เพราะอยากเรียนด้านการตลาดมาตั้งแต่ป.ตรี แต่ท่านแม่ให้เลือกเรียนอีกสาย พอเรียนแล้วมันไม่ใช่อ้ะ! ก็เลยตั้งมั่นอย่างแน่วแน่ว่า ป.โทฉันยังไงก็ต้อง Marketing

คือจริงๆนี่ จะต้องไปต่อที่อเมริกาตามที่ท่านพ่อขอ แต่ก็ไม่ได้ไปเพราะนอกจากจะหาคอร์สที่ถูกใจไม่เจอ(ด้วยตัวเองแล้ว) ยังท้อแท้กับการสอบ GMAT เป็นอย่างมาก (พี่คงเป็นคนไม่มีตรรกะและเหตุผลพอ อ่านโจทย์ยังไง มันก็ดูถูกทุกข้อ) ก็เลยไปแอบลองสมัครคอร์สที่ UK ดู​เพราะเพื่อนบอกว่าไม่ต้องใช้ GMAT

และแน่นอน คราวนี้พี่ขอใช้เอเจ้นท์ละฮ่ะ เพราะเวลากระชั้นชิดมาก (มันคือปลายเดือน Nov) ไม่สามารถศึกษา everything ใหม่ด้วยตัวเองละจ้ะ ขอย้อนไปนิ๊ดนึง คือตอนนั้นเพิ่งกลับมาจากจีน ไปร่ำเรียนภาษามา 8 เดือนกว่าๆ ในหัวพี่นี่มีแต่อักขระจีน ถึงแม้ปากจะพูดไทยก็ตาม แล้วท่านพ่อก็อยากให้ไปเรียนภายในเดือน Jan เอาจริงๆ สอบ IELTS ผ่านมาได้ก็บุญมากแล้ว

กลับมาที่จังหวะเปิดประตูออฟฟิสที่เอเจ้นท์ บอกเขาเลยมั่นๆ “อยากเรียนมาร์เกตติ้งค่ะ” วันนั้น…พี่แน๊ตก็เลยได้รู้จักกับ Marketing Communications! พอดูรายวิชาเสร็จ… “สมัครเลยค่ะพี่” … คือชอบมากกกก นอกจากจะเปิดรอบมกราคมแล้ว ตัวคอร์สมันเหมือนได้เรียนทั้ง Marketing และ นิเทศน์ ไปด้วยกันอีก ส่วนตัวเป็นคนสนใจพวกงานโฆษณาอยู่แล้ว คือชอบดูโฆษณามากกว่ารายการทีวีซะอีก เริ่มรู้สึกตัวว่าชอบจริงจังก็ตั้งแต่ช่วงมัธยมละมั้ง นั่งดูโฆษณาไปก็คิดไปว่า คนพวกนี้เขาคิดเนื้อเรื่องมาได้ยังไง นี่มันหนังสั้นชัดๆ เล่าได้กระชับ ดูแล้วเพลิ๊นเพลิน รู้สึกคนพวกนี้เจ๋งมากเลย อะไรยังงี้ ก็เลยเลือกเรียน MA Marketing Communications ที่ University of Westminster เผื่อจะเข้าใจงานแนวนี้บ้าง

เห็นม่ะ… เป็นความอยากล้วนๆ ไม่มีอะไรเจือปน…ฮ่าๆ

Question: รู้สึกยังไงกับประสบการณ์ที่ได้รับจากการไปเรียนที่ UK

P’ Nat: ถือเป็นช่วงเวลา1 ปีครึ่งที่สุดเจ๋งของชีวิตก็ว่าได้

1 ปีครึ่งที่ไปอยู่ด้วยตัวเองที่ London ในประเทศที่ตัวเองก็ไม่เคยไป แถมยังห่างไกลพ่อแม่อีก ทำให้รู้สึกว่าตัวเองโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก เพราะต้องจัดการชีวิตตัวเอง (เกือบ) ทั้งหมด ไม่มีใครช่วยเหมือนตอนอยู่กับครอบครัว(แต่น้องรูมเมทเราน่ารักมากเลยน่ะ บางวันก็ทำกับข้าวให้กิน ช่วยดำเนินเรื่องเช่าบ้านด้วยล่ะ พี่นี่พกโชคมาเต็มๆ เลยสินะฮ่ะ)

อีกเรื่องที่ทำให้การคิดการอ่านเราโตขึ้นมาอีกสัก 3 level คือ การที่เราไปแบบไม่รู้จักใครเลยที่ London ไม่มีเพื่อนเลย เราจึงจำเป็นต้องเจอกับผู้คนใหม่ๆ มากมาย (อยู่อย่างลำพัง พี่ทนไม่ไหวจริงๆ จ่ะ) ทำให้เราได้รับทั้งประสบการณ์ในชีวิตที่ดีและที่เสียใจ ซึ่งนั้นส่งผลจิตใจเราให้แข็งแกร่งขึ้นเติบโตขึ้นไปอีกหลายขั้น พร้อมลุยกับโลกมากขึ้น

Question: แล้วตั้งแต่กลับมาพี่คิดถึงอะไรที่ UK

P’ Nat: มันจะมีการคิดถึงแบบสองแง่นะ

แง่แรกคือ คิดถึงความสนุกตอนเป็น “นักเรียน” คือพอเรากลับไทยมา เราก็ต้องเริ่มบทใหม่ของชีวิตล่ะ คือการทำงาน ช่วงไหนที่ทำงานเหนื่อยสุดๆ จะคิดถึงความสนุกสุดหรรษาของชีวิตนร.ตอนนั้นมาก

ตอนอยู่ที่นู้นเวลาเราเรียนเสร็จ ตกเย็นวันศุกร์เสาร์ เราก็ปาร์ตี้กันกับเพื่อนคนไทยด้วยกัน สมกับนิยามเด็ก MarComm ที่เขาว่า work hard, play harder เลยล่ะ ซึ่งถือว่าตัวเองโชคดีด้วย ที่ได้เจอและใช้ชีวิตกับเพื่อนที่ดี คือถึงจะพากันดริ๊งค์แต่ก็ไม่พากันเสียคน ดูแลกันทั้งเรื่องเรียนและเรื่องเล่น มองย้อนกลับไปก็ตลกดีนะ คือดูเป็นกลุ่มที่ดื่มบ่อย แต่เวลาเรียนกับทำรายงานนี่ ก็ตั้งใจไม่แพ้กันนะ ฮ่าๆ (อ่านการจัดการความเครียดของพี่ได้ที่ลิงก์นี้จ้ะ)

แง่ที่สองคือ เสียดายยยย อยากกลับไปแก้ตัว… จากที่เล่าไปเมื่อครู่ เวลามองย้อนไปก็เสียดายที่ตัวเองน่าจะไปจอยกับเพื่อนกลุ่มอื่นบ้าง เพราะติดอยู่กับแต่เพื่อนคนไทย มัวแต่เป็นกระเหรี่ยงชาวไทยด้วยกัน ทำให้ภาษาอังกฤษตอนที่เรียนอยู่ตอนนั้นห่วยแตกมาก คือน่าจะแย่ขั้นสุดในช่วงชีวิต 25 ปี! กว่าจะรู้ตัวก็ปาไปจะครึ่งทางของการเรียนละ เด็กๆ ที่อ่านอยู่อย่าทำตามนะคะ!

ทุกวันนี้ก็เสียใจที่ไม่ได้ไปจอยกับเพื่อนต่างชาติเลย เพราะนอกจากจะได้ภาษาแบบ native แล้ว เรายังจะได้มุมมองความคิดจากของคนต่างชาติต่างวัฒนธรรมด้วย ซึ่งอาจจะมีทั้งดีและไม่ดี แต่มุมไหนที่ดีเราก็เอามาปรับใช้ (ก็มีแอบเอามาใช้บางเรื่องเหมือนกัน ได้มาตอนทำงานกลุ่มกับเพื่อนชาวอเมริกา)

แล้วก็…อยากกลับไปลองเข้าชมรมที่มหาลัย ไปเที่ยวเมืองต่างๆ ใน UK ที่ยังเก็บไม่หมด แล้วก็อยากไปเดินตาม gallery และ museum ต่างๆ อีกเยอะๆ อยากไปเดินเล่นใน park ช่วงหน้าร้อน อยากไปถ่ายรูปอีกเยอะๆ อยากลดชีวิตปาร์ตี้ เพิ่มการใช้ชีวิตแบบ hipster slow life (ฮ่าๆ)

Question: ขอคำแนะนำสักข้อหนึ่งให้ไว้สำหรับน้องๆ ที่จะไปเรียนต่อที่ UK หน่อยจ้ะ

Nat: เอาความคิดส่วนตัวของพี่เลยนะ (ขออภัยที่มีให้มากกว่าหนึ่งข้อ)

1.  จงไปเรียนในคอร์สที่ตัวเจ้าอยากเรียนเองหาให้เจอว่าอยากเรียนอะไรเพราะถ้า ไม่มีใจไปตั้งแต่ต้นตอนเรียนมันท้อแท้ง่ายมากๆอย่างน้อยถ้าเราชอบและเลือก เองเวลาที่เริ่มท้อใจให้มองย้อนกลับไปหรือหยิบ SoP ขึ้นมาอ่านดูว่าเรามี passion อะไรถึงอยากจะมาเรียนคอร์สนี้มันจะมีแรงฮึ๊ดสู้ขึ้นมา (จริงๆนะเอ้อ!)

2.  จงเป็นมนุษย์ที่พร้อมแจกสัมพันธไมตรีให้กับผู้คนในห้องเรียนและอย่าลืมลองเข้าชมรมด้วยจะได้ไป hangout ได้ทั้งเพื่อนไทยและเทศ

3.  การตั้งใจเรียนหนังสือเป็นสิ่งที่ดีแต่อย่าลืมตั้งใจใช้ชีวิตด้วย… ชีวิตในเมืองนอก 1 ปีที่พ่อแม่ให้มามันคงไม่มีอีกแล้วหลังจากนี้ที่เราจะลาออกจากงานไปอยู่เมืองนอก 1 ปีกว่าฉะนั้นอย่าลืมใช้ชีวิตให้คุ้มค่า ให้กลับมาแล้วเราโตขึ้นอย่างมีคุณภาพในสายตาคุณพ่อคุณแม่นะจ้ะ

สำหรับ น้องๆ คนไหนที่สนใจเรียนต่อสหราชอาณาจักร พี่แน๊ตยินดีให้คำปรึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้นค่ะ โดยสามารถติดต่อพี่ได้ที่สาขาสีลม หรือติดต่อมาที่เบอร์โทร 02-635-5230 และอีเมล์ pinhathai@hands-on.co.th ค่ะ

Enquiry Form

Please provide the following information and we will aim to respond within 48 hours:

Your details
Please enter your first name.
Please enter your last name.
Please enter a valid email address.
Please enter your phone number.
Please select a country you want to study.
Please select a year you want to study.
Please select your preferred branch.

* All fields required (in English)

  • Share this: