น้อง ๆ หลายคนที่ยังเล็งเป้าอยู่ว่าจะไปเรียนต่อที่ประเทศไหนดี ระหว่าง สหรัฐอเมริกา (USA) กับ ออสเตรเลีย (Australia) แต่ไม่แน่ใจว่า 2 ประเทศนี้มีข้อดีหรือข้อแตกต่างกันยังไง ที่ไหนจะตรงใจและใช่เรามากกว่ากัน สำหรับการไปใช้ชีวิตเรียนต่อ ถ้าปริญญาตรี ก็ประมาณ 4 ปี และถ้าไปเรียนปริญญาโทก็ประมาณ 2 ปี ยังไม่รวมโอกาสทำงานหลังเรียนจบกับ Post-Study Work Visa ที่แต่ละประเทศจะให้เราได้อยู่ต่อในประเทศได้อีก ตั้งแต่ 1 ปีเป็นต้นไป จนถึง 4 ปี เรียกได้ว่า ได้ใช้ชีวิตในต่างประเทศกันแบบยาว ๆ เต็มกราฟไปเลยจ้า
ในบทความนี้ พี่ Hands On ขอหยิบยกข้อเปรียบเทียบเป็นเรื่อง ๆ ไป ให้น้อง ๆ ได้ลองอ่านและชั่งน้ำหนักกันดูอีกที ว่าประเทศไหนใช่เราจริง ๆ แล้วถ้าเราได้จุดหมายปลายทางที่อยากเรียนต่อแล้ว ก็ค่อยไปยังขั้นตอนต่อไป คือ เลือกมหาวิทยาลัยที่ใช่และคอร์สที่เราชอบอีกที เราจะได้มีลิสต์ตัวเลือกมหาวิทยาลัยแบบเฉพาะเจาะจงเป็นของตัวเอง ก่อนสมัครเรียนต่อในขั้นตอนต่อ ๆ ไป
เริ่มเลย US 🇺🇸 vs Australia 🇦🇺 !
ระบบการศึกษา สร้างหลักสูตรการศึกษาอันเข้มข้น ทุกสายวิชาเน้นงานลงมือทำ
🇺🇸 US 🧡🧡🧡🧡🧡
🇦🇺 AUS 🧡🧡🧡🧡
ถ้าให้เทียบเรื่องลักษณะของหลักสูตรการศึกษา หรือระบบการศึกษาระหว่าง 2 ประเทศนี้ สหรัฐอเมริกา (USA) มักจะถูกจัดอยู่ในลำดับของการศึกษาระดับโลกเป็นที่ 1 หรือ 2 ของโลกอยู่เสมอ โดยจะสลับตำแหน่งขึ้นลงแค่นิดเดียวเท่านั้น (กับที่สหราชอาณาจักร หรือ UK) จากชาร์ตอันดับของ World Population Review, U.S. News & World Report และ CEO World Magazine เป็นต้น ส่วนประเทศออสเตรเลีย จะตามมาในอันดับ Ranking ที่ 3 หรืออยู่ใน Top 10 ของโลก อาจจะมีอันดับขึ้นลงบ้างสำหรับออสเตรเลีย แต่คุณภาพการศึกษาของประเทศนี้ก็ยังจัดว่าสูงมากอยู่ดี เพราะฉะนั้นถ้าเทียบแล้ว อเมริกาจัดว่ามีหลักสูตรการเรียนการสอน Top โลก ได้คะแนนนำหน้าออสเตรเลียไปเลย
ด้วยสาเหตุหลักที่ว่า ระบบเศรษฐกิจ การเมือง นวัตกรรมใหม่ และสื่อเอนเตอร์เทนต์ระดับชั้นนำของโลก ต่างมาจากสหรัฐอเมริกาซะเยอะ ความเป็นหนึ่งในจุดศูนย์กลางของโลกนี้ทำให้งบประมาณการพัฒนาศาสตร์ความรู้ของ US ยิ่งพัฒนาอย่างรวดเร็ว แต่ในขณะเดียวกัน ประเทศออสเตรเลียก็ก้าวกระโดดตามเรื่องการศึกษาได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน นอกจากนั้นกิจกรรมสันทนาการและกิจกรรมชมรมในมหาวิทยาลัยของที่สหรัฐอเมริกาและประเทศออสเตรเลียก็มีให้ทำเยอะมาก โดยเฉพาะที่อเมริกาจะมีชมรมกีฬานักศึกษาที่โด่งดังในระดับรัฐและประเทศที่มีการแข่งขันกันตลอดทั้งปี
ประหยัดค่าเรียนตลอดทุกปีการศึกษา และค่าครองชีพในการใช้ชีวิตเรียนต่อ
🇺🇸 US 🧡🧡🧡
🇦🇺 AUS 🧡🧡🧡🧡
เรื่องค่าใช้จ่ายในการเรียนปริญญาตรี-โท-เอก สำหรับที่สหรัฐอเมริกา จะมีค่าใช้จ่ายที่สูงมากกว่า ถ้าเทียบอย่างในมหานคร เช่น ถ้าเทียบ New York กับ Sydney ค่าใช้จ่ายทั้งค่าเรียน และค่าครองชีพ ที่ New York จะต้องใช้งบประมาณที่สูงกว่ามาก ใน 1 ปี ค่าใช้จ่ายค่าเรียนรวมค่าใช้ชีวิตทั้งหมดที่ New York จะอยู่ประมาณ 1.5 – 2 ล้านบาท ต่อปี และสำหรับ Sydney จะอยู่ประมาณ 1.2 – 1.5 ล้านบาท ต่อปี
แต่ค่าใช้จ่ายตรงนี้อาจจะลดลงนิดนึง ถ้าหากเราเลือกไปเรียนต่อที่เมืองรองอื่น ที่ไม่ใช่เมืองใหญ่จ๋า ๆ อย่างที่อเมริกา เราก็จะสามารถเลือกไปเรียนเมืองเล็กหน่อย อย่างที่ Arizona หรือ Oregon ได้ ส่วนที่ออสเตรเลียเราก็เลือกเมือง Melbourne หรือ Perth ได้
นอกจากนั้นน้อง ๆ ต้องไปเช็คเรื่องส่วนลดค่าเรียนปริญญาตรีและโทที่แต่ละมหาวิทยาลัยได้จัดเตรียมทุนบางส่วนไว้ให้ และน้อง ๆ ยังสามารถทำงานพิเศษได้เพื่อเก็บค่าขนมไว้ใช้จ่ายส่วนตัว ที่สหรัฐอเมริกามีเงื่อนไขให้นักศึกษาทำงานพาร์ทไทม์ได้แค่ในมหาวิทยาลัยเท่านั้น ทำข้างนอกผิดกฎหมายนะจ๊ะ* แต่สำหรับที่ออสเตรเลียนักศึกษาสามารถทำพาร์ทไทม์ได้ทั้งในและนอกมหาวิทยาลัยเลย สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Hands On
ประสบการณ์ชีวิตโชกโชนขึ้น กล้าแสดงออก และได้อยู่ในวัฒนธรรมที่หลากหลาย
🇺🇸 US 🧡🧡🧡🧡🧡
🇦🇺 AUS 🧡🧡🧡🧡
การใช้ชีวิตที่ต่างประเทศเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับตัวเราไม่มากก็น้อย ที่แน่ ๆ คือระดับความรับผิดชอบของเราจะต้องสูงขึ้น ด้วยอุปสรรคและความท้าทายในชีวิตที่เราต้องเจอในช่วงนั้นจะทำให้เราได้รู้จักกับวิธีการแก้ปัญหาที่ดีและไม่ดี เป็นส่วนสำคัญของประสบการณ์ชีวิตของเราเอง และระหว่างการเรียนในหลักสูตรก็มีเรื่องของการสื่อสารข้ามภาษาที่เราต้องขยับมาพรีเซนต์ตัวเองเยอะ ๆ โดยเฉพาะที่อเมริกา จะมีการเรียนภาคบังคับที่นักศึกษาต้องแสดงความคิดเห็นเชิงโต้วาทีได้ การฝึกพูดฝึกพรีเซนต์จะต้องเฉียบขึ้น เพราะที่สหรัฐฯ แนวคิดหลักเค้าจะเปิดกว้างให้ทุกคนได้กล้าแสดงออกอย่างเต็มที่ ได้เป็นตัวของตัวเอง ด้วยการชูเรื่อง Freedom of Speech
ส่วนที่ประเทศออสเตรเลียจะเป็นเรื่องของบรรยากาศความคุ้นเคย ด้วยความที่ในประเทศมีคนเอเชียมีจำนวนเยอะมาก ทำให้นักเรียนไทยที่เดินทางไปถึงจะไม่รู้สึกเขินอายหรือไม่ชินทั้งเวลาเรียนและในชีวิตประจำวัน เมื่อต้องสื่อสารภาษาอังกฤษในโอกาสต่าง ๆ นักศึกษาที่ประเทศออสเตรเลียก็จะสามารถปรับตัวเข้ากับสภพแวดล้อมการเรียนได้อย่างรวดเร็ว และกล้าที่จะใช้ภาษาอังกฤษได้มากขึ้นไปพร้อม ๆ กับเพื่อนชาวเอเชียที่ได้เจอได้เรียนด้วยกัน แต่รวม ๆ แล้วความหลากหลายของเชื้อชาติและวัฒนธรรมที่สหรัฐอเมริกาจะมีสูงกว่า ในขณะที่ออสเตรเลียจะมีคนเอเชียเป็นสัดส่วนที่เยอะกว่า ไม่ได้หลากหลายเท่า
ได้ทำงานต่อในประเทศ หลังเรียนจบหลักสูตรปริญญาตรี โท หรือเอก
🇺🇸 US 🧡🧡🧡
🇦🇺 AUS 🧡🧡🧡🧡🧡
ส่วนในเรื่องของการทำงานหลังเรียนจบ หรือ Post-Study Work Visa ที่ออสเตรเลีย จัดว่ามีโอกาสที่สูงกว่า และมีขอบเขตการอนุญาตให้นักศึกษาทำงานที่กว้างกว่า ด้วยกฎหมายที่อนุมัติให้นักศึกษาต่างชาติได้ทำงานพิเศษอย่างถูกต้องตามกฎหมายระหว่างเรียนได้ เพราะฉะนั้นนักศึกษาที่จะไปเรียนต่อที่ออสเตรเลีย ตั้งแต่ระดับปริญญาเป็นต้นไปจะสามารถทำงานพิเศษ ทั้งใน และนอกมหาวิทยาลัยได้ และหลังเรียนจบยังสามารถทำงานต่อ ด้วยการต่อ Graduate Visa หลังจบการศึกษา โดยบัณฑิตปริญญาตรี สามารถทำงานได้ 2 ปี ปริญญาโททำงานต่อได้ 3 ปี และปริญญาเอกทำงานต่อได้ 4 ปี และล่าสุดยังมีประกาศเพิ่มเติม สำหรับสายงานที่กำลังขาดคนในประเทศออสเตรเลีย ทางรัฐบาลได้ประกาศต่ออายุวีซ่าหลังเรียนจบให้นักศึกษาทำงานต่อ บวกเพิ่มอีก 2 ปีได้ หากเรียนจบจากสาขาวิชาเฉพาะทางที่เขากำหนด อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่
ส่วนที่สหรัฐอเมริกา ทางรัฐบาลไม่อนุญาตให้นักศึกษาทำงานนอกมหาวิทยาลัยได้ เพราะฉะนั้นนักศึกษาจะต้องทำงานพิเศษได้เฉพาะในสถาบันเท่านั้น และหลังเรียนจบนักศึกษาจะสามารถขอ Post-Study Work Visa ได้ 1 ปี โดยของอเมริกาเขาจะเรียกการทำงานหลังเรียนนี้ว่า Optional Practical Training (OPT) และมีเงื่อนไขตามที่รัฐบาลกำหนดเท่านั้น แต่สำหรับนักศึกษาที่เรียนจบจากสาขาวิชา STEM ที่จัดว่าเป็นสาขาวิชาเฉพาะในสาย Science, technology, engineering และ mathematics จะสามารถทำงานได้สูงสุดรวมกันถึง 3 ปี หลังเรียนจบปริญญา
และนี่ก็เป็นการเปรียบเทียบข้อมูลข้อดีเบื้องต้น ระหว่างการไปเรียนต่อที่ USA และ Australia ถ้าน้อง ๆ สนใจและอยากทำความรู้จัก อยากรู้ลึกเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยเพิ่มเติม มาปรึกษาเรียนต่อกับมหาวิทยาลัยจากสหรัฐอเมริกา และออสเตรเลียได้เลยกับพี่ Hands On ผู้เชี่ยวชาญด้านการเรียนต่อต่างประเทศ