พี่แจ๊ส รุ่นพี่นักเรียนออสเตรเลียได้มาแชร์ประสบการณ์เตรียมตัว การตัดสินใจ และการสัมภาษณ์เรียนต่อกับมหาวิทยาลัย ให้ฟังในบทความนี้
ก่อนมาเรียนต่อเรามีการเตรียมตัวหรือตัดสินใจยังไงบ้างคะ
Jazz: จริง ๆ ยาวมากเลย (หัวเราะ) ผมอยากเรียนต่อต่างประเทศมาตั้งแต่ก่อน 2-3 ปีที่แล้ว แต่มันดันชนช่วงโควิดก่อน ผมเรียนจบ Computer Science ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมา เพื่อนส่วนใหญ่ของผมก็จะเรียนอยู่ฝั่ง UK เป็นส่วนมากเพราะว่าเรียนปีเดียว ค่าใช้จ่ายก็จะไม่เยอะมากเท่าหลักสูตร 2 ปีที่ออสเตรเลีย ทีนี้ผมก็เลยมาดูว่าเราควรจะไปเรียนที่ไหนดี ในใจก็มีอยู่ 4 ประเทศ มี US, UK, Canada และ Australia แต่พอดูจากเพื่อนผมที่ไปเรียน UK เนี่ย คนไปเรียนเยอะมาก แล้วโอกาสหางานหลังเรียนจบมันก็ยากมาก เหมือนวีซ่าหลังเรียนจบประมาณปีนึงมั้ง อันนี้ตามที่ผมเข้าใจนะ (Hands On: ความจริง Post Study Visa ได้ 2 ปีค่ะ) แล้วผมอยากเรียนจบแล้วมีประสบการณ์การทำงาน ในที่ที่มันช่วยสร้าง Career Path ให้ผมได้ พอกลับมาไทยโปรไฟล์ของเราก็จะดีขึ้น หรือเป็นโอกาสต่อยอดทำงานในต่างประเทศไปเลย ทีนี้ UK ก็เลยต้องตัดทิ้งไป คราวนี้ก็เหลือ 3 ประเทศ แล้วอเมริกาก็เหมือนกัน ปัญหาเดียวกับที่อังกฤษคือหางานยาก ก็ตัดทิ้งอีก ทีนี้ก็เหลือแคนาดากับออสเตรเลียแล้ว แล้วทั้ง 2 ประเทศนี้มีโอกาสได้งานที่สูสี แต่แคนาดามันไกล แล้วออสเตรเลียที่ผมเข้าใจคือประเทศนี้มีความเป็น Multicultural ค่อนข้างหลากหลายมาก คนเอเชียเยอะก็เลยเลือกมาเรียนที่ออสเตรเลียครับ
ทำไมถึงเลือกเรียนต่อในหลักสูตร MBA คะ
Jazz: ทีแรกผมก็มองหลายคอร์สเหมือนกัน ผมจบ Computer Science มา ก็เลยอยากเรียนต่อด้าน Business เพิ่ม อยากจะเปลี่ยนจากฝั่งเทคโนโลยี มาทำฝั่ง Business มากขึ้น มาทำ Business Analyst ตอนนี้ผมทำงานเป็น Product Owner อยู่ที่ Ascend Group แล้วผมก็อยากรู้เรื่องด้าน Business ให้กว้างขึ้น เพราะพอเราขึ้นมาเป็น Management เราก็ต้องมีความรู้ที่กว้างขึ้น ก็เลยหาคอร์สด้าน Business สายต่าง ๆ จนได้ MBA มาเป็นหนึ่งในตัวเลือกนั้น แล้วก็ยังได้คุยกับคนที่มีประสบการณ์หลายคน ที่ทำงานด้าน Finance ด้าน Strategy ต่าง ๆ ก็เลยรู้สึกว่าคอร์สนี้เป็นคอร์สที่ดีในการปูพื้นฐานต่าง ๆ แล้วก็เหมือนเป็น Sandbox ให้ได้ผมเข้ามาศึกษาด้วย
ใช้เวลาในการเตรียมตัวเรียนต่อนานมั้ย ก่อนมาเรียนที่ Monash University
Jazz: 3 เดือนครับ เพราะว่าจริง ๆ คอร์ส MBA จะปิดรับประมาณปลายเดือนสิงหาคม ประมาณเดือนพฤษภาคมผมก็ไปคุยกับหัวหน้า หัวหน้าก็ถามว่าได้ข่าวว่าจะไปเรียนต่อ จะอยู่อีกกี่ปี ผมก็ตอบว่าจริง ๆ ผมก็อยากไปเรียนต่อเลยนะ เค้าก็แนะนำให้ผมไปดูเลย ผมก็ปรึกษาพี่ Hands On ประมาณเดือนมิถุนายน แล้วเอาข้อมูลทั้งหมดมานั่งดู ผมได้ไปคุยกับพี่ Hands On เค้าก็ส่งเอกสารต่าง ๆ มาให้ผมดู จากเกรดผม จากโปรไฟล์ผม ถ้าผมอยากเรียนด้าน Business มีคอร์สไหน มหาวิทยาลัยไหน น่าสนใจบ้าง ก็มีหมดเลยทั้ง Go8 เพราะผมอยากได้มหาวิทยาลัยท็อป แล้วผมก็มาคัดเมืองว่าอยากอยู่เมืองไหน เมลเบิร์นหรือว่าซิดนีย์ เพราะว่าพี่สาวผมอยู่ซิดนีย์ แล้วพี่สาวผมแนะนำว่าผมน่าจะอยู่เมลเบิร์นดีกว่า ทีนี้มหาวิทยาลัย Go8 ที่อยู่ในเมลเบิร์นก็มีเหลือ 2 มหาวิทยาลัยแล้ว ก็จะมี The University of Melbourne กับ Monash University ทีนี้ก็เลยมาดูคอร์ส MBA ว่าของที่ไหนดี แล้วก็มีโอกาสได้คุยกับ Professor ตอนสัมภาษณ์ แล้วให้เราถามอะไรก็ได้ ก็เลยสอบถามว่าคอร์สเป็นยังไง คนเป็นยังไง แล้วรู้สึกว่าสนใจที่ Monash University มากกว่า เพราะว่าที่ Monash University จะมีความ Practical มากกว่า และที่นี่ไม่มีสอบเลย เกรดทุกอย่างคือมาจากการทำ Business Report อย่างเดียว ทำ Report นี่ทำหนาปึ้ก ผมเป็นคนไม่อยากสอบด้วย ขี้เกียจอ่านหนังสือสอบ (หัวเราะ) ก็เลยเลือก Monash University แล้วผมก็ได้เรียนรู้ว่าสอบน่าจะง่ายกว่าการทำ Report ครับ (หัวเราะ) เพราะ Report ใช้เวลาทำเป็นเดือน ทำเล่มนึงที 70 กว่าหน้า แต่ก็ได้เรียนรู้เยอะก็เลยโอเค
แชร์การตอบสัมภาษณ์กับมหาวิทยาลัยก่อนได้มาเรียนต่อที่ Monash University หน่อยค่ะ
Jazz: ก่อนที่จะสัมภาษณ์ เค้าก็จะให้เราดูวิดีโอซึ่งเป็นเกี่ยวกับคอร์สนี้ทั้งหมด พอถึงวันสัมภาษณ์ เค้าก็จะถามว่าจากคอร์สที่ดูวิดีโอใน Webinar ไปเนี่ย คุณมีความคิดเห็นยังไงกับคอร์สเราบ้าง มีตรงไหนน่าสนใจ มีตรงไหนไม่น่าสนใจบ้างใน Course Guidelines ของเค้าตลอด 2 ปี เค้าจะบอกหมดเลยว่าเทอมหนึ่งเรียนตัวนี้ เทอมสองเรียนตัวนี้ บอกหมดเลยว่าแต่ละเทอมจะเรียนอะไรบ้าง
เสร็จแล้วเค้าก็จะถามว่าคอร์สประมาณนี้ คุณจะสามารถมีส่วนช่วยสร้างอะไรให้คนในคลาสได้บ้าง คุณสามารถเอาประสบการณ์ที่คุณมี จากสิ่งที่คุณทำมา เรียนมา มาแชร์ให้คนในคลาสได้บ้าง ผมก็ต้องขายตัวเองนิดนึง ผมเรียน IT มา มีความรู้ด้านไอที เคยทำงานด้าน Business Analyst เป็นคนที่อยู่ตรงกลางระหว่าง Business กับ IT และผมมีความสามารถในการคุย Business ได้ด้วย คุยภาษา Tech ได้ด้วย ทำให้ผมสามารถแชร์ความรู้เกี่ยวกับด้านเทคโนโลยีมาให้คนในคลาสได้ ยกตัวอย่างว่าผมทำสาย Product Owner ในการพัฒนา Product ผมก็จะมีสกิลในการทำ Design Thinking พวกนี้ด้วย ซึ่งผมเห็นว่าในเทอมที่สอง มี Unit เกี่ยวกับ Design Thinking ผมสามารถเอาความรู้ของผมมา Create Requirement ทำ User Journey ทำ Canvas ต่าง ๆ แชร์ให้คนในคลาสได้ ซึ่งจากการที่คลาสมันเรียนแค่พื้นฐาน ผมสามารถเอาประสบการณ์ที่ผมมีมาขยายต่อได้
ก็ต้องแอบทำการบ้านมานิดนึงว่ามันจะมีคอร์สประมาณนี้ เรามีสกิลตรงไหนที่แชร์ได้บ้าง ซึ่งถ้าเป็นอย่าง Finance เนี่ย ผมแชร์ไม่ได้ แต่ผมอยากเรียนรู้จากคนในคลาสนะ (ยิ้ม)
รีวิวบริการจากพี่ Hands On ในขั้นตอนการเตรียมตัวเรียนต่อให้ฟังหน่อยค่ะ
Jazz: เอาจริง ๆ เรียกได้ว่า Hands On นี่ก็ครบวงจรพอสมควร โดยบริการฟรีทั้งหมด ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรครับ ตอนที่มาปรึกษาคือผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย เพราะมหาวิทยาลัยที่ออสเตรเลียไม่ได้อยู่ในตัวเลือกผม เพื่อนผมเรียน UK หมดตั้งแต่เหนือจรดใต้ แต่ออสเตรเลียคือ No Idea เพราะผมไม่มีเพื่อนอยู่ออสเตรเลียเลย ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับออสเตรเลีย ไม่รู้ว่าวีซ่าต้องทำยังไงบ้าง แล้วก็ไม่รู้เรื่องที่พักเลย แต่ Hands On คือมีข้อมูลหมดเลยตั้งแต่ต้น เริ่มต้นปุ๊บผมก็ถามเลยว่าผมอยากเรียนออสเตรเลีย อยากเรียนคอร์สประมาณนี้ มีมหาวิทยาลัยไหนบ้างในแต่ละเมือง พี่เค้าก็ส่งเป็นลิสต์มาให้ บอกหมดว่าต้องสอบอะไรบ้าง สอบเสร็จปุ๊บ Hands On ก็ช่วยยื่นเอกสารต่าง ๆ ซึ่งปกติเวลายื่นเอกสารมหาวิทยาลัยก็จะมีความงง ๆ นิดนึง มันต้องเข้าระบบของมหาวิทยาลัย Hands On ก็แจ้งมาเลยว่าต้องส่ง 1 2 3 4 มา ซึ่งมันสะดวกกับผมมาก ตอนสัมภาษณ์ต่าง ๆ ผมก็ดำเนินการเองแล้วคอยอัปเดตพี่เก๋ พอในส่วนการยื่นวีซ่าก็จะมีพี่เมย์คอยแนะนำ เค้าก็จะแจ้งมาว่าต้องส่งอะไรมาให้บ้าง ผมก็ทำตามลิสต์เลยเพราะไปดูเองแล้วปวดหัว พอทุกอย่างเรียบร้อย ได้วีซ่า ได้ Offer จากมหาวิทยาลัย จ่ายตังค์เรียบร้อยแล้ว ทีนี้ก็เป็นเรื่องของการหาหอ ทาง Hands On ก็ยื่นเรื่องต่อไปให้ทาง Casita คุยต่อ ก็มีได้ราคาพิเศษตามช่วงที่เราจองครับ