การศึกษาในอังกฤษ

ทำไมเลือกศึกษาที่อังกฤษ

คุณภาพของการเรียนการสอนและการทำวิจัย – รัฐบาลอังกฤษมีการตรวจสอบคุณภาพการเรียนการสอนและการทำวิจัยในมหาวิทยาลัยของรัฐทุกแห่ง ซึ่งเป็นการรับประกันมาตรฐาน สหราชอาณาจักรยังมีระบบการประกันคุณภาพที่ดีที่สุดสำหรับการศึกษาในระดับสูง

ภาษาอังกฤษ – ภายหลังจบการศึกษาจากสหราชอาณาจักร ภาษาอังกฤษของคุณจะต้องดียิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการทำงานและการใช้ชีวิต

แนวทางการเรียนการสอน – จะเน้นที่การคิดและการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ นักศึกษาจะเข้าร่วมชั้นเรียนและมีส่วนร่วมในหัวข้อวิจัย และในแต่ละหลักสูตรจะช่วยพัฒนาทักษะการแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างต่อเนื่องซึ่งมีความสำคัญกับการงานในอนาคตของคุณได้

หลักสูตรจะสั้นกว่าในประเทศอื่น – ในประเทศอังกฤษ หลักสูตรการเรียนการสอนจะใช้เวลาน้อยกว่าในประเทศอื่นๆ ซึ่งหมายความว่า คุณจะได้รับการรับรองวุฒิและกลับไปประกอบอาชีพได้ในเวลาที่สั้นกว่า ในข้อนี้ทำให้ประเทศอังกฤษถือเป็นทางเลือกที่ประหยัดกว่า

มหาวิทยาลัยในอังกฤษมีความแตกต่างกันหรือไม่

ถึงแม้ว่ามหาวิทยาลัยทุกแห่งจะได้รับทุนสนับสนุนและถูกตรวจสอบจากรัฐบาลอยู่แล้ว แต่ก็ยังมีความแตกต่างอยู่ระหว่าง “มหาวิทยาลัยที่เก่าแก่” และ “มหาวิทยาลัยที่สร้างใหม่” สำหรับมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่นั้น ได้สร้างมาก่อน ค.ศ. 1992 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเน้นเรื่องการเรียนการสอนและการทำวิจัย ซึ่งมักจะได้รับคะแนนสูงแบบสำรวจประเมินของรัฐ ตลอดจนตารางจัดอันดับ รวมทั้งอาจารย์และเจ้าหน้าที่จำนวนมากกว่า ก็เท่ากับว่ามีคุณสมบัติด้านความรู้และการศึกษายิ่งขึ้น มหาวิทยาลัยเหล่านี้จึงมักมีค่าใช้จ่ายที่และเกณฑ์ในการรับเข้าศึกษาที่สูงกว่า

ส่วนมหาวิทยาลัยที่สร้างใหม่นั้น จะมาจากทางสายวิทยาลัยอาชีวะหรือวิทยาลัยซึ่งได้รับการรับรองสถานะเป็นมหาวิทยาลัยในปี ค.ศ. 1992 จากรัฐบาลอังกฤษ มหาวิทยาลัยเหล่านี้มีชื่อเสียงทางด้านการฝึกทักษะวิชาชีพและเน้นการเตรียมพร้อมสำหรับการประกอบธุรกิจให้กับนักศึกษามากกว่าเน้นด้านการทำวิจัย บ่อยครั้งที่อาจารย์และเจ้าหน้าที่ไม่ได้มีวุฒิปริญญาเอกในสาขาที่สอน แต่มักมีประสบการณ์หลายปีในด้านธุรกิจอุตสาหกรรมมาแลกเปลี่ยน อัตราค่าเล่าเรียนและเกณฑ์ในการรับเข้าศึกษาอาจจะต่ำกว่าเล็กน้อย และมีหลักสูตรที่เปิดเรียนในเดือนมกราคม

มีวุฒิการศึกษาระดับใดบ้าง

ระดับปริญญาตรี – ปกติใช้เวลาเรียน 3 ปี มีทั้งสาขาศิลปศาสตร์ (BA) สาขาวิทยาศาสตร์ (BSc) สาขาวิศวกรรมศาสตร์ (BEng) หรือสาขานิติศาสตร์ (LLB)

ระดับสูงกว่าปริญญาตรี – ในระดับนี้มีหลากหลายสาขา หลักสูตรที่ได้รับความนิยม คือ สาขาการสอน และการทำวิจัย

สาขาการสอน:

ระดับปริญญาโท (MA, MSc, LLM) – หลักสูตรใช้ระยะเวลาศึกษา 1 ปี โดยปกติจะแบ่งออกเป็นการสอน 2 เทอม และการเขียนสารนิพนธ์ (Dissertation)

อนุปริญญา / ประกาศนียบัตรระดับสูง (PGDip / PGCert) – โดยปกติแล้วรายวิชาที่เรียนจะเหมือนกันกับในระดับปริญญาโท เว้นแต่ไม่มีการเขียนสารนิพนธ์  (Dissertation) ในบางสาขายังอนุญาตให้นักศึกษาได้ทำสารนิพนธ์เพื่อรับวุฒิปริญญาโทได้

การทำวิจัย:

ระดับปริญญาเอก ใช้ตัวย่อว่า PhD เป็นระดับชั้นสูงสุดที่คุณจะได้รับและขึ้นอยู่กับการเขียนวิทยานิพนธ์ของคุณ ผู้สนใจเรียนต่อ สามารถปรึกษา Hands On ในการยื่นใบสมัครและตามหาอาจารย์ที่ปรึกษา

ทำไมการศึกษาระดับปริญญาที่ประเทศอังกฤษจึงใช้เวลาน้อยกว่าที่อื่น

การศึกษาระดับปริญญาที่ประเทศอังกฤษใช้เวลาน้อยกว่าที่ประเทศอื่นเป็นเพราะโครงสร้างของระบบการศึกษาในสหราชอาณาจักรนั้น มุ่งเน้นให้นักเรียนเลือกเรียนสาขาที่ตนถนัดตั้งแต่ชั้นมัธยมปลาย ทำให้ผู้เรียนมีความชำนาญในสาขาวิชาที่ตนเลือก

การศึกษาระดับปริญญาตรีจะมุ่งให้นักศึกษาที่มีความรู้ในสาขาวิชาเดิม และพัฒนาให้เกิดความเชี่ยวชาญเพิ่มเติมในสาขาวิชาดังกล่าว

การศึกษาในระดับปริญญาโทจึงถือเป็นการลงลึกและสร้างความรู้เพิ่มเติมจากในระดับปริญญาตรี ดังนั้นโดยทั่วไป มหาวิทยาลัยจึงกำหนดให้นักศึกษาต้องมีพื้นฐานความรู้ หรือมีประสบการณ์การทำงานในสาขาวิชานั้นๆ มาก่อน

แนวทางการเรียนการสอนที่ประเทศอังกฤษแตกต่างจากที่อื่นไหม

วิธีการเรียนการสอนที่ประเทศอังกฤษแตกต่างจากในหลายประเทศ ตรงที่นักศึกษาได้รับการกระตุ้นให้มีการเรียนรู้ด้วยตนเองมากกว่าเรียนรู้จากสิ่งที่อาจารย์ผู้สอนสอนในห้องเรียน ในทุกระดับปริญญา คุณจะต้องศึกษาด้วยตัวของคุณเอง นั่นคือใช้เวลาในห้องสมุดและค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับวิชาที่เรียนจากอินเตอร์เน็ต คุณจะต้องทำการวิเคราะห์และทบทวนผลการวิจัยของคุณ และให้ความเห็นในเชิงวิเคราะห์ มากกว่าที่จะแค่เขียนรายงานสิ่งที่คุณค้นพบ คุณจะต้องเข้าร่วมการเรียนในชั้นเรียนและมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะในการอภิปรายกลุ่ม หากคุณไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ได้รับการบอกกล่าวหรือสิ่งที่ได้อ่านมา คุณควรจะคัดค้าน แต่อย่าลืมว่า คุณต้องโต้แย้งสำหรับความคิดเห็นและผลงานวิจัยของคุณในเชิงวิชาการเช่นกัน

จำเป็นต้องมีวีซ่าหรือไม่

สำหรับนักศึกษาไทยจำเป็นต้องมีวีซ่านักเรียน

การสมัครเรียน

เกณฑ์ในการรับสมัครเรียนต่ออังกฤษคืออะไร

การศึกษาระดับสูงในประเทศอังกฤษมีชื่อเสียงไปทั่วโลกในด้านคุณภาพการเรียนการสอน และยังคงรักษามาตรฐานการรับเข้าเรียนที่ยาก สิ่งสำคัญคือต้องกรอกใบสมัครให้ครบถ้วนเพื่อให้แน่ใจว่าจะได้รับโอกาสในการเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยที่เลือก

การพิจารณาใบสมัคร มี  3 ปัจจัยหลัก ได้แก่

  1. พื้นฐานการศึกษา
  2. ระดับความรู้ภาษาอังกฤษ
  3. ประสบการณ์การทำงาน หรือสิ่งที่เกี่ยวข้อง เช่นความสามารถ หรือความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง

อย่าลืมว่าสิ่งที่คุณกรอกในใบสมัครเป็นข้อมูลทั้งหมดที่มหาวิทยาลัยมีเกี่ยวกับตัวผู้สมัคร ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำมาตัดสินว่าจะรับเข้าศึกษาหรือไม่

เอกสารที่ใช้ในการสมัครมีอะไรบ้าง

เอกสารประกอบการสมัครเรียนต่อมหาวิทยาลัยในอังกฤษ ประกอบด้วย

  1. Transcript – วุฒิบัตรและหลักฐานการศึกษาที่เรียนมา หลักฐานนี้ควรระบุคำอธิบายเกรดที่ได้รับและระบบการให้คะแนน หากยังไม่สำเร็จการศึกษาให้ขอใบรับรองผลการเรียนล่าสุดจากทางมหาวิทยาลัยที่กำลังศึกษาอยู่
  2. หลักฐานคุณสมบัติความรู้ด้านภาษาอังกฤษ ปกติใช้คะแนนทดสอบจาก IELTS แบบ UKVI (หรือระบุให้ชัดเจนว่าคุณกำลังรอผลการทดสอบอยู่)
  3. Letter of Recommendation – จดหมายรับรอง / อ้างอิง 2 ฉบับ โดยอย่างน้อยหนึ่งฉบับต้องมาจากอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยที่กำลังศึกษาอยู่ (บางมหาวิทยาลัยในสหราชอาณาจักรมีแบบฟอร์มให้กรอกโดยเฉพาะ)
  4. Statement of Purpose – เรียงความแนะนำตัวเองและอธิบายวัตถุประสงค์การเลือกเรียนหลักสูตรนี้
  5. CV – ประวัติโดยย่อ โดยระบุรายละเอียดเกี่ยวกับประสบการณ์ในการทำงานหรือข้อมูลอื่นๆ
  6. หากได้รับทุนการศึกษา ควรแนบเอกสารยืนยันการได้รับทุนการศึกษา

* เอกสารทั้งหมดนี้ควรจัดเตรียมเป็นภาษาอังกฤษ และหากไม่สามารถส่งต้นฉบับได้ ให้เตรียมสำเนานั้นๆ โดยมีการรับรองอย่างถูกต้อง

เกณฑ์การพิจารณาด้านภาษาอังกฤษ

สำหรับการศึกษาต่อสหราชอาณาจักร นักศึกษานานาชาติจำเป็นจะต้องแสดงผลการวัดระดับทางด้านภาษาอังกฤษกับทางมหาวิทยาลัยเพื่อประกอบการตัดสินรับเข้าศึกษาต่อ

โดยทั่วไปทางมหาวิทยาลัยจะรับพิจารณาผลการทดสอบ IELTS แบบ Academic และ UKVI ซึ่งวัดระดับทางด้านภาษาทั้ง 4 ทักษะ คือ ฟัง, พูด, อ่าน และเขียน (เกณฑ์การพิจารณาขึ้นอยู่กับ คอร์สเรียนและมหาวิทยาลัย)

หากผลการทดสอบการวัดระดับทางภาษาไม่ถึงเกณฑ์ที่มหาวิทยาลัยกำหนด ผู้สมัครสามารถเรียนคอร์ส Pre-sessional เพื่อปรับพื้นฐานกับทางมหาวิทยาลัยได้ โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องยื่นผลการทดสอบ IELTS แบบ UKVI เท่านั้น

Tips: ทาง Hands On Education Consultants จึงมักจะแนะนำให้น้องๆ เลือกสอบ IELTS แบบ UKVI

นอกจาก IELTS มีแบบทดสอบภาษาอังกฤษอื่นให้เลือกสอบหรือไม่

โดยการสอบวัดระดับทางภาษามีหลากหลายแบบที่มหาวิทยาลัยในอังกฤษยอมรับ เช่น TOEFL, Pearson English test เป็นต้น แต่การสอบเหล่านี้จะเทียบเท่ากับ IELTS แบบ Academic เท่านั้น หมายความว่า

โดยส่วนใหญ่มหาวิทยาลัยจะไม่รับพิจารณาผลการทดสอบเหล่านี้สำหรับเข้าเรียนคอร์ส Pre-sessional

นอกจากนี้ยังมีการทดสอบ “TOEIC แบบ 4 Skills” ที่เทียบเท่า “IELTS แบบ UKVI” แต่การสอบนี้ไม่มีสนามสอบเปิดในประเทศไทย

กรณีเกรดเฉลี่ยไม่ตรงตามที่มหาวิทยาลัยกำหนด

การศึกษาในสหราชอาณาจักรมีหลักสูตรปรับพื้นฐาน เพื่อเตรียมพร้อมเพื่อเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย เช่น

หลักสูตร Pathway – สำหรับปรับพื้นฐานนักเรียนนานาชาติที่ต้องการเข้าเรียนต่อระดับปริญญาตรี

หลักสูตร Pre-master – สำหรับปรับพื้นฐานเข้าเรียนต่อระดับปริญญาโท

หลักสูตร MRES และ MPHIL – สำหรับปรับพื้นฐานเข้าเรียนต่อระดับปริญญาเอก

Tips: น้องๆ สามารถปรึกษาทาง Hands On Education Consultants เพื่อเลือกคอร์สเรียนที่เหมาะสมกับตนเองได้

Pre-sessional Course คืออะไร

Pre-sessional Course คือ คอร์สปรับพื้นฐานภาษาอังกฤษสำหรับผู้ที่ผลการทดสอบภาษาอังกฤษไม่ตรงตามที่มหาวิทยาลัยกำหนด มีระยะเวลาตั้งแต่ 4 – 12 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับคะแนนผลการทดสอบภาษาอังกฤษของผู้สมัคร

โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 700 – 1,000 ปอนด์ ต่อ 4 สัปดาห์ ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัย

วันปิดรับใบสมัคร

มหาวิทยาลัยในอังกฤษมักจะไม่มีกำหนดการปิดรับใบสมัคร

อย่างไรก็ตามหลักสูตรที่ได้รับความนิยมมักจะได้รับใบสมัครจากผู้ที่สนใจเป็นจำนวนมาก ทำให้มีการปิดรับใบสมัครอย่างรวดเร็ว

Tips: ทาง Hands On Education Consultants จึงมักจะแนะนำให้น้องๆ ยื่นใบสมัครเรียนให้เร็วที่สุด หากยังไม่มีผลการทดสอบภาษาอังกฤษ น้องๆ สามารถยื่นใบสมัครเรียนก่อนและส่งผลการทดสอบภาษาอังกฤษก่อนได้เลย

ขั้นตอนหลังจากส่งใบสมัคร

มหาวิทยาลัยจะทำการพิจารณาใบสมัคร โดยทั่วไปใช้เวลาประมาณ 2 – 6 สัปดาห์ ระยะเวลาที่ใช้พิจารณาจะขึ้นอยู่กับแต่ละมหาวิทยาลัย

*สำหรับระดับปริญญาเอก ทางมหาวิทยาลัยจะใช้เวลาในการพิจารณานานกว่า

เมื่อพิจารณาเรียบร้อย ทางมหาวิทยาลัยจะส่งผลการพิจารณาผ่านทางอีเมลของผู้สมัคร โดยแบ่งออกเป็น 3 แบบ ดังนี้

  1. Unconditional Offer – การตอบรับเข้าเรียนแบบไม่มีเงื่อนไข

เมื่อได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งที่สมัครไว้แบบ Unconditional Offer   ผู้สมัครต้องตัดสินใจเลือกข้อเสนอที่ต้องการ จากนั้นทำการ “ตอบรับ” เพื่อยืนยันกับทางมหาวิทยาลัย และดำเนินการจัดการเรื่องที่พักและการขอวีซ่าเป็นลำดับถัดไป

  1. Conditional Offer – การตอบรับเข้าเรียนแบบมีเงื่อนไขตามที่มหาวิทยาลัยกำหนด เช่น ต้องส่งผลคะแนนวัดระดับภาษาอังกฤษตามที่มหาวิทยาลัยระบุ หรือ ในกรณีที่ยังไม่สำเร็จการศึกษา ผู้สมัครจะต้องได้ผลการเรียนเป็นไปตามที่มหาวิทยาลัยระบุ

*หลังจากผู้สมัครสามารถทำตามเงื่อนไขที่มหาวิทยาลัยกำหนด ทางมหาวิทยาลัยจะส่ง Unconditional Offer ตอบกลับมาทางอีเมลเพื่อรับเข้าเรียน

  1. Rejection – การปฎิเสธตอบรับเข้าเรียน
การสมัครเรียนระดับปริญญาเอก

เอกสารสำคัญในการสมัครเรียนต่อระดับปริญญาเอก ที่มหาวิทยาลัยในอังกฤษ คือ ผู้สมัครจะต้องจัดทำ Proposal Paper ที่แสดงให้เห็นถึงแนวทางในการทำวิจัยในอนาคตของคุณ โดยมีความยาวไม่ควรเกิน 1,500 – 2,000 คำ และควรมีข้อมูลดังต่อไปนี้

  1. อธิบายให้กระจ่างถึงสาขาวิชาที่ต้องการทำวิจัย มีปัญหาหลักนำวิจัย และกำหนดขอบเขตงานวิจัย ส่วนนี้อาจใส่ชื่อหัวข้อวิจัย
  2. แสดงหลักฐานการทบทวนวรรณกรรมโดยระบุรายการนักวิจัยที่มีความทุ่มเทในสาขานี้ ให้แนะนำว่างานวิจัยของคุณจะเพิ่มหรือต่อยอดความรู้ที่มีอยู่อย่างไร
  3. อธิบายขอบเขตของปัญหา สมมุติฐาน และแนวทางในการทำวิจัย ให้รายละเอียดวิธีการทำวิจัย เทคนิคการวิจัยที่จะใช้ อาจรวมตารางเวลาการศึกษาวิจัย เพราะงานวิจัยเชิงปริมาณและการสังเกตอาจใช้เวลาในการรวบรวมข้อมูล แสดงหลักฐานของแผนการศึกษา
  4. อะไรคือลักษณะเฉพาะที่คาดหวังว่าวิทยานิพนธ์ได้ครอบคลุมหรืออธิบายความรู้เพิ่มเติมในสาขานั้นๆ
  5. บรรณานุกรม รวบรวมผลงานวิจัยที่คุณนำมาใช้ประกอบในการจัดทำข้อเสนอวิจัย

หลังจากนั้นผู้สมัครจะต้องเสนอ Proposal Paper ให้กับอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญจากแต่ละมหาวิทยาลัยพิจารณา เพื่อตอบรับเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาหัวข้องานวิจัยของคุณ

Tips: ทาง Hands On Education Consultants สามารถช่วยคุณยื่นเอกสารถึงอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญที่มหาวิทยาลัยในอังกฤษ ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น

 

ที่พักอาศัยใน UK

ประเภทของที่พักนักศึกษาใน UK

สำหรับที่พักนักศึกษาในอังกฤษ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ หอพักมหาวิทยาลัย และที่พักเอกชน

หอพักมหาวิทยาลัย คือ ที่พักนักศึกษาที่ทางมหาวิทยาลัยจัดเตรียมไว้ ซึ่งตั้งอยู่ทั้งในและนอกมหาวิทยาลัย

ที่พักเอกชน คือ ที่พักนักศึกษาที่บริษัทหรือบุคคลภายนอกเป็นเจ้าของ มีทั้งหอพักนักศึกษาโดยเฉพาะ และ บ้านเช่า

ประเภทของห้องพักใน UK

Share Room Facilities – นักศึกษาจะใช้ห้องน้ำ, ห้องอาบน้ำ, ครัว, และส่วนกลางอื่นๆ ร่วมกันผู้อื่น

Ensuite – ภายในห้องพักจะมีห้องน้ำส่วนตัว และใช้ครัวส่วนกลาง

Studio – ภายในห้องพักจะมีห้องน้ำและใช้ครัวส่วนตัว

Tips: Hands On Education Consultants สามารถช่วยน้องๆ หาที่พักนักศึกษาได้ผ่านทางมหาวิทยาลัยและบริษัทที่พักเอกชนที่เป็น partner ของเรา โดยไม่มีค่าบริการใดๆ ทั้งสิ้น